หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง
“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม
“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม
“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”
“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาว
ที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถึงจริงๆ ที่เลือกแม่หม้ายมาเป็นภรรยา ดีกว่าแต่งหญิงสาวเข้าบ้านเป็นไหนๆ เพราะนอกจากจะต้องคอยเอาใจแล้ว งานบ้านงานเรือนผู้หญิงสมัยนี้ไม่ได้เรื่องแทบจะทุกคน
“ใช่ไหมละคะ เรื่องอะไรเราจะยอมให้สองแม่ลูกได้ดี ไม่สู้ยกให้ลูกหลานเราเองยังจะดีเสียกว่า” พูดจบก็เหล่ตามองผู้เป็นแม่ว่าจะมีความคิดเห็นยังไง
“แกพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก เฟินเอ๋อร์เพิ่งจะอายุย่าง 13 ปีเท่านั้น ถ้าจะให้แต่งกับคนอายุ 22 ปีมันก็ออกจะเกินไปสักหน่อย” ย่าหลี่ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“แม่คะ ลืมไปแล้วเหรอว่าแม่ไม่ได้มีหลานสาวแค่คนเดียว ลืมหวังหลินของฉันไปได้ยังไงละคะ” อาสามพูดถึงลูกสาวของเธอ เพราะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับจ้าวเสี่ยวเหลียนพอดี
“ไอหยา…แม่จะลืมหลานสาวแท้ๆ ไปได้ยังไง แต่แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะให้หลินหลินเรียนต่อ แล้วจะให้ลาออกมาแต่งงานได้ยังไง เซียนเอ๋อร์…แม่ผิดหวังกับแม่มาแล้วหนหนึ่ง อย่าให้ต้องผิดหวังกับหลินเอ๋อร์อีกเลยนะ”
ย่าหลี่ถอนหายใจ รู้สึกคิดหนักเมื่อได้รู้ความคิดของลูกสาว ลองให้ได้พูดแบบนี้ ท่านก็เดาได้แล้วว่าลูกสาวหมายตาผู้พันจางเสวี่ยอวี้
“แม่…เรียนสูงจะมีประโยชน์อะไร ต่อไปก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว สุดท้ายแล้วก็ยังต้องมาหาครอบครัวดีๆ ให้อีก ไม่สู้แต่งไปเสียเลยตอนนี้ คุณนายหยางก็เป็นคนมีศีลธรรมคนหนึ่ง ฉันมั่นใจว่าหล่อนจะต้องเป็นแม่สามีที่ดีแน่” อยู่มาขนาดนี้ เจอคนมาทุกรูปแบบในโรงงาน พอจะดูออกว่าหยางเถาฮวาเป็นคนดีคนหนึ่ง
ย่าหลี่ฟังแล้วก็คล้อยตาม เกิดเป็นผู้หญิงนั้นแสนจะลำบากใครบอกว่าสบาย ถ้าเกิดมาในครอบครัวที่เที่ยงธรรมก็แล้วไปเถอะ แต่ถ้าเกิดมาในครอบครัวที่เห็นความสำคัญแค่ลูกชายก็ลำบากหน่อย เหมือนกับท่านเอง กว่าจะมีทุกวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พอตัวเองได้เป็นแม่คนถึงไม่เลือกปฏิบัติ ออกจะเอนเอียงมาทางลูกสาวเสียด้วยซ้ำ
“ไม่รู้ล่ะ ฉันจะลองพูดเรื่องนี้กับพี่ใหญ่ดู หลินเอ๋อร์ก็เป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของลุงใหญ่ เขาคงไม่ใจดำกับหลานสาวหรอก” อาสามยืนยันกระต่ายขาเดียว ว่ายังไงตำแหน่งลูกเขยของท่านก็ต้องเป็นจางเสวี่ยอวี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
ทางด้านจ้าวเสี่ยวเหลียนเองก็ร้อนรนไม่ต่างกัน ถ้าเป็นเธอในยุคปัจจุบัน ถูกแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอแล้วว่าที่สามีหน้าตาดี การศึกษาดี หน้าที่การงานดีขนาดนี้คงไม่ลังเลที่จะยอมออกเดตด้วย แต่ไม่ใช่กับเจ้าของร่างนี้
ถ้าแต่งงานไป แล้วสัญญาที่เคยให้ไว้กับเจ้าตัว ไหนจะยายหลิวที่เพิ่งไปได้แค่วันเดียวอีก แต่จะทำยังไงให้แม่ยอมใจอ่อน ไม่บังคับให้แต่งงาน ดูก็รู้ว่าแม่พอใจทางฝั่งนั้นมาก
ทางด้านหลิวซือก็ร้อนรนไม่แพ้กัน อยู่กับบ้านหลี่มาเป็นสิบๆ ปี ทำไมจะดูไม่อาการของหลี่เซียนไม่ออกว่าอยากได้ว่าที่ลูกเขยของเธอจนตัวสั่น ถึงขั้นไปฟ้องแม่สามีแล้ว ตอนนี้เธอออกมายืนรอสามีอยู่หน้าบ้านเพื่อเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง ไม่นานหลี่เจียงก็เดินกลับมา
“ทำไมมายืนตรงนี้” หลี่เจียงเห็นภรรยาคนสวยออกมายืนรออยู่หน้าบ้านก็ทำหน้าบึ้งไม่พอใจ เนื่องจากว่ามีคนเดินผ่านไปผ่านมาและมองภรรยาของเขาด้วยสายตาหวานเยิ้ม
ต้องยอมรับในความสวยของหลิวซือ ต่อให้อายุจุเข้าเลขสามแล้ว ทว่าก็ยังดูสาว ดูสวยเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
“ก็มารอคุณนั่นแหละค่ะ อย่าเพิ่งเข้าบ้านนะคะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
ครั้งนี้สีหน้าของเธอดูจริงจัง ทำให้หลี่เจียงเชื่อสนิทใจว่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญ เขาพยักหน้าแล้วก็เดินตามภรรยามายังมุมลับตาคนข้างหลังบ้าน
หลิวซือหันมองซ้ายขวาไม่เห็นใคร ก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งเป็นประวัติของจางเสวี่ยอวี้ให้กับสามี จากนั้นก็เล่าเรื่องวันนี้ให้กับเขาฟัง รวมถึงอาการอยากได้จนออกนอกหน้าของน้องสาวเขาด้วย
“ไม่หรอกมั้งคุณคิดมากไปเองหรือเปล่า ไหนบอกว่าน้องสามไปเป็นเพื่อนยังไงล่ะ” หลี่เจียงไม่เชื่อว่าน้องสาวจะมีความคิดแบบนั้น
“น้อยไปสิคะ นอกจากจะไม่ช่วยพูดแล้ว อาสามยังปฏิเสธแบบไม่คิดเลยด้วยว่าเสี่ยวเหลียนไม่เหมาะสมกับบ้านนั้น”
“หึ ก็มันเรื่องจริง” หลี่เจียงเห็นด้วยกับคำพูดของน้องสาว
“หลี่เจียง” หลิวซือเรียกชื่อสามีเสียงขึ้นจมูก
เวลาที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง เธอก็เหมือนคู่สามีภรรยาทั่วไป ไม่เหมือนอยู่ต่อหน้าแม่สามี ที่ต้องทำตัวเรียบร้อยไม่กล้าต่อปากต่อคำ
“เอาล่ะๆ คุณก็อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไป เท่าที่ผมฟังทางฝั่งนั้นก็น่าจะยอมรับเสี่ยวเหลียนแล้ว เหลือแค่ลูกสาวคุณเท่านั้นแหละที่จะยอมรับหรือเปล่า”
“ลูกสาวของเรา” หลิวซือแย้ง
“ใช่ๆ แล้วๆ ลูกสาวของเรา ส่วนเรื่องน้องสามคุณไม่ต้องคิดมากหรอก ยังไงพี่เขยก็ไม่ยอมให้หลินเอ๋อร์ลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาแต่งงานหรอก”
พอนึกถึงพี่เขยหวัง หลิวซือก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาได้บ้าง เพราะเขาค่อนข้างตั้งความหวังกับลูกสาวของพวกเขามากพอสมควร
“สบายใจขึ้นหรือยัง” เห็นภรรยาเริ่มมีรอยยิ้มบนใบหน้า ก็จับมือของเธอขึ้นมาหอมเบาๆ
“อือ แต่ก็ยังไม่วางใจหรอกนะคะ เพราะน้องสาวของคุณ”
“พอแล้วๆ ถ้าน้องสามจะทำเหมือนที่คุณว่าจริง ผมนี่แหละจะเป็นคนจัดการ ตอนนี้คุณไปพูดกับเสี่ยวเหลียนให้ยอมใจอ่อนก่อนเถอะ” เพราะถ้าถามเขา คิดว่าพูดกับน้องสาวยังง่ายกว่าพูดกับลูกเลี้ยงเสียอีก
สำหรับเขาแล้วถ้าลูกเลี้ยงอยากจะเรียนก็ส่งเรียนได้ แต่ถ้าไม่เรียนก็ต้องเป็นการดีกับเงินในกระเป๋า แล้วยิ่งได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีเขาก็ยิ่งวางใจ ต่อไปจะได้ไม่ต้องมีเรื่องปวดหัวเหมือนตอนนั้นอีก
สองสามีเดินกลับเข้ามาในบ้าน ก็พบว่าหลี่เซียนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่พี่ชายเดินเข้ามา หลี่เซียนก็เตรียมจะวิ่งเข้าหา แต่พอเห็นหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ก็กลืนคำพูดลงท้องไป
“กลับมาแล้วเหรอ”
“ครับ” หลี่เจียงพยักหน้ารับ
“กลับมาเหนื่อยๆ มานั่งดื่มชาก่อนเถอะ” ย่าหลี่กวักมือเรียกลูกชาย
“วันนี้อากาศร้อน ขอตัวไปล้างตัวก่อนดีกว่าครับ แม่ตามสบายเถอะ”
เป็นแม่ลูกกันมา ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าแม่มีเรื่องจะพูด ถ้าเดาไม่ผิดก็น่าจะเป็นเรื่องเดียวกับที่ภรรยาได้บอกไปแล้ว ถึงเขาจะไม่ได้รักลูกเลี้ยงเท่าลูกตัวเอง แต่วาสนาดีขนาดนี้ก็อยากจะให้อยู่แค่คนในครอบครัว หวังหลินคือคนตระกูลหวัง ไม่ใช่คนตระกูลหลี่
เช้าวันถัดมา เสี่ยวเหลียนก็รีบตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะมาช่วยยายหลิวจัดเตรียมของไหว้ ปล่อยให้สามีนอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนทั้งเธอและเขาต่างเปิดประสบการณ์และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำแต่ไม่กล้า เรียกได้ว่าอิ่มเอมทั้งสองฝ่าย แต่ต้องมาเสียใจทีหลังเพราะปวดระบมไปทั้งร่าง“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ออกมานอกห้องก็เห็นตะเกียงถูกจุดอยู่“อรุณสวัสดิ์” ยายหลิวทักทายหลานสาว“ทำไมไม่เปิดไฟละค จะเปิดจุดตะเกียงอีกทำไม” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเดินไปเปิดไฟในบ้านอีกด้วย“เห็นว่ายังเช้ามืดอยู่ กลัวว่าแสงไปจะเข้าไปในห้องรบกวนการนอนของผู้พัน”“เขาไม่เรื่องมากขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าให้กับความเอาใจใส่ของท่านที่มีต่อหลานเขย“แกน่ะไม่เคยคิดอะไรเผื่อใครต่างหากล่ะ ช่วงที่พวกเราเดินทางมาซูโจวผู้พันแทบไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะมัวแต่เฝ้าของ กลับมาเหนื่อยๆ ก็มาเจอเรื่อง
หลังจากที่ซ่งเฉวียพาแม่ของเขากลับไปแล้ว จางเสวี่ยอวี้ก็ตัดสินใจคุยเรื่องนี้กับภรรยาอย่างจริงจัง เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็ไปรวมกับสหายยังจุดนัดพบเนื่องจากว่าเขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อนสหายหลายวัน คำนวณเวลาดูแล้วคงเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน สหายในกองทัพก็น่าจะเดินทางมาถึงยังจุดนัดพบ“วันนี้คุณใจร้อนเกินไปนะครับ” เขาพูดกับคนในอ้อมกอด ตอนนี้เธอกำลังอ้อนเขาเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน“ฉันรู้ค่ะ แต่บอกตามตรงว่าพอรู้ว่าย่าซ่งถูกทุบตี ภายในใจฉันก็รู้สึกไม่ยินยอม” เธอตอบอย่างเอาแต่ใจ“อืม แค่รอยฟันเด็ก ไม่ได้เหมารวมว่าแม่ของเขาจะเป็นคนทำนะครับ”“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆนะคะ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนั้นด้วย ทั้งยังเป็นใต้ร่มผ้าที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นอีกด้วย ถ้าวันนี้เราไม่เห็นหรือเรากลับมาช้ากว่านี้ ท่านจะมีชีรอดจนถึงสิ้นปีหรือเปล่า คนเต็มบ้านทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ถ้าท่านจะความจำเสื่อมฉันว่าก็
ตอนนี้เวลาหกโมงเย็น คนที่ออกไปหาปลาก็ทยอยกลับเข้าบ้าน รวมถึงคนบ้านซ่งด้วยเหมือนกัน ผู้นำหมู่บ้านกลับเข้าบ้านมาก่อนลูกชายไม่นาน วันนี้ท่านมีประชุมในตัวเมืองเลยกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกวัน“แค่คนแก่คนเดียวทำไมคุณถึงดูแลไม่ได้ คนอื่นต้องลงเรือหาปลากันทั้งวัน ตากแดดตากลม นี่ให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลแม่แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้” พี่ใหญ่ซ่งด่ากราด เนื่องจากกลับมาถึงบ้านแล้วภรรยาบอกข่าวร้ายว่าแม่เขาหนีออกจากบ้านอีกแล้ว“ใจเย็นๆ น่าพี่ใหญ่” ซ่งเฉวียน ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวคล้ำเพราะออกเรือหาปลาทุกวันตบไหล่พี่ชาย ด้วยกลัวว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้ใหญ่“แกจะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้ยังไงเจ้าสาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนทำพลาด เดือนนี้กี่ครั้งแล้วที่แม่หายตัวไป”“เอาน่า ลองแยกกันหาดูอีกทีแล้วกันครับ พ่อเอาปลาไปขายให้ส่วนกลางก่อนที่ปลาจะตายแล้วไม่มีราคา” ซ่งเฉวียนบอกกับผู้เป็นพ่อ
ข่าวเรื่องสองยายหลานกลับบ้านมาตอนนี้ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้านสายน้ำแล้ว เสี่ยวเหลียนไม่มีเวลาสนทนากับใคร เธอวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน หน้าที่รับแขกเลยเป็นของยายหลิวและหลานเขย“ไอหยา…วาสนาเสี่ยวเหลียนนี่ดีจริงๆ เลยนะ ได้สามีเป็นคนเมือง”“นั่นน่ะสิ แล้วนี่จะกลับมาอยู่ที่นี่กันแล้วเหรอ”“จะเป็นไปได้ยังไง มีผู้ชายที่ไหนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงบ้างล่ะ”“แกลืมไปหรือเปล่า ก็ลูกสาวนางหลิวไง แม่เสี่ยวเหลียนก็แต่งพ่อเสี่ยวเหลียนเข้าบ้านมาไม่ใช่เหรอ”“ฮ่าๆ จริงสิเนอะ เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”แต่แล้วรองเท้าจากที่ไหนไม่รู้ลอยมากลางวงสนทนา จางเสวี่ยอวี้ปฏิกิริยาเร็ว เขาใช้ถาดขึ้นมากันเอาไว้ ไม่ให้ยายหลิวถูกลูกหลง กลายเป็นว่ารองเท้ากระทบกับถาด ลอยไปฟาดปากคนที่หัวเราะอย่าพอเหมาะพอเจาะจนหุบปากไม่ทัน
ยายหลิวพอรู้ว่าหลานสาวและหลานเขยจะไปส่งที่ซูโจวก็ทั้งดีใจและเกรงใจ ดีใจที่จะได้พาหลานสาวกลับไปไหว้ บอกกล่าวบรรพบุรุษตระกูลหลิว และเกรงใจหลานเขย เพิ่งกลับมาจากทำงานต่างเมืองแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยก็ต้องออกเดินทางอีกแล้ว“ลำบากหลานเขยแล้ว” ยายหลิวพูดขึ้น ขณะที่หลานเขยช่วยท่านยกกระเป๋าขึ้นไปบนรถไฟ“ไม่เป็นไรครับ”จางเสวี่ยอวี้ยิ้มรับ วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคืนได้ปลดปล่อยเต็มที่หลังจากที่กักเก็บลูกๆ มานาน ต่างจากจ้าวเสี่ยวเหลียนที่แทบไม่อยากจะขยับตัว“ของีบหน่อยนะคะ” ขึ้นบนรถไฟได้ เธอก็หลับมาตลอดทางยายหลิวส่ายหน้าให้กับความขี้เซาของหลานสาว แต่เพราะเธอเป็นคนเมารถ ท่านเลยเข้าใจปว่าหลานสาวน่าจะเมารถไฟด้วยเหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเมาอย่างอื่นที่สามีมอบให้ต่างหากล่ะตลอดการเดินทาง จางเสวี่ยอวี้ดูแลสองยายหลานเป็นอย่างดี จองตั๋วนอนให้จะได้โดยสารสะดวก ทั้งยังเป็นคนดูแลความเรียบร้อย เรียกได้ว่ามีเขาอยู่ ยายหลิวสบายตลอดทั้งทางใช้เวลาเดินทางห้าวันก็มาถึงซูโจว ชายหนุ่มมองไปรอบๆ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ เนื่องจากมีคลองขนส่งตลอดทั้งเส้นทาง ผู้คนสัญจรทางเรือมากกว
จ้าวเสี่ยวเหลียนยื้อให้ยายอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงเดือนกันยายน อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย ถึงเวลาที่ท่านจะต้องกลับซูโจวแล้วจริงๆ“ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยละคะ รอให้ถึงวันชาติฉันกับพี่เสวี่ยอวี้จะได้ไปส่งยายได้” หญิงสาวต่อรอง“กลับวันนี้หรือวันไหนก็เหมือนกัน จะยื้อต่อไปอีกทำไม” ยายหลิวส่ายหน้า มือก็สาละวนอยู่กับการจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางช่วงหลังแต่งงานเธอไม่ได้กลับบ้านเพื่อไปไหว้ครอบครัวเดิม เพราะครอบครัวของเธอก็คือยายหลิว ในเมื่อยายอยู่กับตัวเองที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องกลับส่วนหลิวซือเองก็ได้ติดอะไร ด้วยรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวเลือกอยู่ข้างใคร และเธอเองก็ถือว่าตัวเองทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวขึ้นเรือลำเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วเรียบร้อยจะว่าไปจ้าวเสี่ยวเหลียนเองก็ถือว่าโชคดีกว่ามาก แม้ว่าแรกเริ่มจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่หลังจากเลือกที่จะตกลงปลงใจกับจางเสวี่ยอวี้แล้ว ชีวิตของเธอเรียกได้ว่าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขณะที่สองยายหลานคุยกันอยู่นั้น จางเสวี่ยอวี้ก็กลับมาจากปฏิบัติงานนอกพื้นที่พอดี ที่ยายหลิวยอมใจอ่อนอยู่ต่อนานนับเดือนขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนหลานสาว