ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง
“เข้ามาสิ”
“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว
“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”
“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอน
เด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด
“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”
เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว่าพี่น้อง ยังไงก็มักจะมีสายใยบางๆ เชื่อมกันอยู่
ขณะที่ทั้งสองเดินออกจากห้อง พบว่าคนอื่นๆ นั่งรอที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งอาสี่ที่กลับบ้านดึกวันนี้ก้ร่วมโต๊ะด้วย
“กว่าจะมาได้” สะใภ้รองแสร้งบ่นพำพึมกับตัวเอง แต่ความจริงแล้วตั้งใจพูดให้คนอื่นได้ยินด้วย
“อาโหยว เสี่ยวเหลียนมานั่งข้างๆ ย่ามา ทำไมช่วงนี้ย่าถึงรู้สึกว่าเราสองคนไม่ได้เจอหน้ากันเลยทั้งที่อยู่บ้านเดียวกัน” ย่าหลี่กวักมือเรียก ท่าทางใจดีของท่านกลับมาอีกครั้งเหมือนครั้งแรกที่เจอหน้ากันไม่มีผิด
หลิวซือที่กำลังตักข้าวให้กับทุกคนอยู่ก็ชะงักมือ เพราะที่นั่งข้างๆ แม่สามีนั้น นอกจากลูกสาวของเธอที่นั่งข้างซ้ายแล้ว ข้างขวาก็ยังมีหวังหลินอีกคนที่มาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
“จริงสิ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยเจอหลินเอ๋อร์เลยนี่นะ หลินเอ๋อร์ทักทายพี่เสี่ยวเหลียนเสียสิ” ย่าหลี่แนะนำหลานสาวให้รู้จักกัน
“สวัสดี” หวังหลินทักทายแบบขอไปที
เธอเกิดในเมือง ถือว่าตัวเองเป็นคนในเมือง เลยไม่ค่อยอยากจะสุงสิงกับคนชนบท เพราะฉะนั้นวันที่แม่บอกว่าลูกเลี้ยงของลุงใหญ่มาถึงเลยหาข้ออ้างไม่มาหา แต่ครั้งนี้เลี่ยงไม่ได้เลยต้องมาด้วยความจำยอม
“สวัสดีจ้ะ” เสี่ยวเหลียนไม่ใส่ในท่าทางไร้การศึกษาของอีกฝ่าย เพราะยิ่งหล่อนแสดงออกว่ารังเกียจมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งแสดงถึงตัวตนมากเท่านั้น
“รู้จักกันเอาไว้ ต่อไปก็ต้องเรียนที่เดียวกันแล้ว มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”
“ยายพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ” หวังหลินถามตาโต
“ก็หมายความว่าพี่เสี่ยวเหลียนสอบเข้าโรงเรียนระดับสองของเราได้แล้วยังไงล่ะ อีกไม่กี่วันก็ต้องไปสอบเลือกห้องแล้วไม่ใช่เหรอ วันนั้นอย่าลืมมารับพี่เขาไปด้วยล่ะ เผื่อโชคดีจะได้อยู่ห้องเดียวกัน”
“ฉันเพิ่งรู้ว่าโรงเรียนประจำจังหวัดของเรามาตรฐานต่ำขนาดนี้แล้ว แม้แต่คนชนบทก็มีสิทธิ์สอบเข้าได้ เหลือเชื่อจริงๆ” หญิงสาวเบ้ปากเมื่อได้ยินว่าญาติชนบทได้เข้าเรียนโรงเรียนอันดับต้นๆ ของในเมือง
“คนชนบทที่ไหนกันล่ะ พี่เขาย้ายเข้ามาอยู่ที่ทะเบียนบ้านของพวกเราแล้ว กลายเป็นคนบ้านหลี่โดยสมบูรณ์” ย่าหลี่ยิ้มเจื่อน พยายามอธิบายอย่างในเย็นให้หลานนอกคนนี้ฟัง
“ดีจริงๆ เลยนะคะ ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ แม่ขอให้ยายโอนชื่อฉันมาอยู่ที่ทะเบียนบ้านเขตนี้เพราะโรงเรียนประถมเขตนี้สอนดีกว่า แต่ยายบอกว่าฉันแซ่หวัง ก็สมควรอยู่ที่ทะเบียนบ้านหวัง แล้วขอถามหน่อยว่าหล่อนแซ่อะไร ถึงมีสิทธิ์ย้ายเข้ามาอยู่”
“หึ” สะใภ้รองแสยะยิ้ม เห็นด้วยกับคำพูดที่แม้จะไร้มารยาทของหลานสาว นึกในใจคนเดียวว่า แม่ลูกคู่นี้ถอดแบบกันมาไม่มีผิดเพี้ยนเลยจริงๆ
“หลินเอ๋อร์” หลี่เจียงตำหนิหลานสาวกลายๆ ถึงยังไงเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเลี้ยงไม่ควรปล่อยให้คนอื่นรังแก
“นับวันยิ่งพูดจาเลอะเทอะเข้าไปใหญ่ เสียวเหลียนเป็นลูกสาวของลุงใหญ่ก็ถูกต้องแล้วถ้าจะย้ายชื่อมาอยู่ที่ทะเบียนบ้านนี้ ส่วนเธอแซ่หวังก็ต้องอยู่ที่บ้านหวัง การศึกษาไม่ได้ขึ้นอยู่ที่โรงเรียนเพียงอย่างเดียวหรอก ดูจากวันนี้ก็รู้แล้วว่าคนที่สอบเข้าโรงเรียนอันดับต้นๆ ได้ก็ใช่ว่าจะดี” อาสี่พูดนิ่มๆ แต่ทำเอาคนฟังหน้าชาไปตามๆ กัน
“น้าสี่ นี่น้ากำลังด่าฉันอยู่เหรอ ฉันบอกแม่แล้วว่าคนที่นี่ไม่มีใครอยากต้อนรับ พวกเขามองว่าฉันเป็นคนนอก แม่ก็ยังจะดันทุรังให้ฉันมา ฉันแซ่หวังไม่ใช่แซ่หลี่” หวังหลินถูกปู่ย่าตามใจจนเคยตัว อีกทั้งเธอไม่คิดเกรงกลัวผู้เป็นแม่เลยสักนิด ถูกต่อว่าต่อหน้าคนมากมายมีเหรอที่จะทนไหว
ย่าหลี่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้า โชคทีท่านยังไม่พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของลูกสาว ไม่อย่างนั้นแต่งเข้าครอบครัวทหารไปมีแต่จะทำให้ขายหน้าเปล่าๆ
หลิวซือเห็นแบบนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งออก ลืมไปสนิทเลยว่าหวังหลินเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ และเชื่อว่าสามีเองก็เห็นข้อเสียของหลานสาวเรื่องนี้ เขาเลยไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกที่จะให้หลานสาวของตัวเองแต่งกับครอบครัวผู้พัน เพราะเขาเป็นคนที่รักในชื่อเสียงของตระกูลมาก
เรื่องราวจบลงด้วยการที่หวังหลินขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่เสี่ยวเหลียนก่อน เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ติดใจเอาความ เพราะพูดกับคนไม่มีสมองพูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ
ก่อนนอนคืนนั้นหลิวซือเข้ามาในห้องของลูกสาว พยายามพูดจาหว่านล้อมให้คำนึงข้อดีข้อเสียของการแต่งงานในครั้งนี้
“แกเห็นแล้วนะว่าอาสามจ้องจะงาบผู้พันไปเป็นลูกเขย"
“ตรงไหนคะ ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง” เสี่ยวเหลียนหัวเราะเบาๆ กับความคิดของผู้เป็นแม่
“เหลียนเอ๋อร์ แม่รู้ว่าแกอยากจะเรียนต่อ แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อชื่อเสียงของแกมันเสียไปแล้ว เรียนจบออกมาบ้านไหนจะอยากรับเป็นลูกสะใภ้ ต่อไปจะไม่ต้องอยู่เป็นโสดไปจนตายเหรอ”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ ฉันกับผู้พันจางก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เขาทำดีช่วยเหลือคนก็ไม่ควรต้องมารับผิดชอบเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ แม่เองก็มีประสบการณ์มาแล้ว แต่งงานที่ปราศจากความรักมันลงเอยแบบไหน”
หลิวซือได้ยินแบบนั้นก็สะอึกจนพูดไม่ออก เธอยอมรับว่าหลงในหน้าตาของพ่อเสี่ยวเหลียนจริง แต่จะเอาคนพรรค์นั้นมาเปรียบเทียบกับผู้พันมันเทียบกันได้ที่ไหนกันล่ะ
“ถ้ายายแกอยู่ ฉันเชื่อว่ายังไงก็ต้องเห็นด้วยกับเรื่องนี้”
“ถ้างั้นแม่ก็รอให้ยายกลับมาก่อนสิคะแล้วค่อยว่ากัน ผู้พันเองก็ไปปฏิบัตินอกพื้นที่ไม่รู้ว่าจะกลับวันไหน แล้วถ้าเกิดเขาไม่ได้กลับมาเร็วๆ นี้ฉันจะทำยังไง อนาคตของฉันไม่ต้องเสียไปเปล่าๆ เหรอ”
ได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้หลิวซือก็ตาสว่าง เธอเอาแต่คิดว่าจะยอมให้หลี่เซียนมาชุบมือเปิบเอาลูกเขยของตนเองไปไม่ได้ แต่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้
“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล อีกไม่กี่วันก็จะสอบเลือกห้องแล้ว ถ้าอย่างนั้นแกก็ทำตามปกติไปก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆ ให้ผู้ใหญ่จัดการกันเอง”
“หมายความว่ายังไงให้ผู้ใหญ่จัดการ ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าถ้าฉันได้เรียนแล้วก็ไม่มีทางลาออกกลางคันแน่นอน ถ้าพวกเขาอยากจะรับผิดชอบจริงๆ ก็ต้องรอให้ฉันเรียนจบได้ก่อนได้ แต่ถ้ารอไม่ได้ก็ถือว่าฉันกับเขาไม่มีวาสนาต่อกัน แม่ออกไปได้แล้วล่ะค่ะฉันง่วงนอนแล้ว”
เสี่ยวเหลียนคลุมโปง ไม่สนใจผู้เป็นแม่ที่อ้าปากเตรียมจะพูดโน้มน้าวตนเองอีก
1 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่งผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชายเรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี
ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง“เข้ามาสิ”“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว
หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาวที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถ
อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้นเธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องส
ก่อนที่สองยายหลานจะออกจากบ้าน หลิวซือก็เดินมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน เธอรู้สึกว่าครั้งนี้ผู้เป็นแม่ทำเกินกว่าเหตุไปสักหน่อย“จะไปไหนกันแต่เช้าคะ”“ไปเดินเล่นน่ะ” ยายหลิวตอบ“ฉันนึกว่าแม่จะไปซื้อตั๋วรถไฟเตรียมกลับบ้านเสียอีก” หลิวซือเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเรียบเฉย คิดว่าเรื่องที่ท่านเตรียมจะกลับบ้านคงไม่บอกให้ตนรู้เป็นแน่ เลยพูดเรื่องนี้ออกไปเสียเลย เพราะเธอก็รู้สึกอึดอัด“รู้แล้วจะถามทำไม” ยายหลิวไม่แปลกใจที่ลูกสาวรู้ เพราะคิดว่าเจ้าของร้านค้าที่มาตามท่านไปรับโทรศัพท์น่าจะเป็นคนบอก“แม่ ถ้าแม่เป็นคนอื่นฉันก็ไม่สนใจหรอกนะ แต่นี่แม่เป็นแม่ของฉัน ฉันถามเพราะเป็นห่วง”“แกห่วงอะไรล่ะ ห่วงฉันกับลูก หรือว่าห่วงจะไม่ได้เงิน” ยายหลิวถามเสียงเรียบตั้งแต่ท่านมาถึงลูกสาวก็ถามถึงเงินเยียวยา หลังจากนั้นก็ถามแทบจะทุกวันเกี่ยวกับเงินเยียวยา ทั้งพูดทำนองว่าต้องการจะขอยืมเงินเพื่อไปวางมัดจำบ้าน เนื่องจากว่าบ้านที่อยู่มันค่อนข้างจะคับแคบ อยากเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ทว่าเท่าที่ท่านสัมผัส มันกลับไม่ง่ายเหมือนคำที่ลูกสาวพูด เพราะทุกอย่างล้วนรวมเป็นกองกลาง นั่นหมายความว่าหากครอบครัวของลูกสาวอยากจะย้ายออก พวกหล่อนจะ
ทุกคนเลิกงานกลับมา พบว่าบ้านว่างเปล่า ความหมายในที่นี้คือไม่มีอาหารวางบนโต๊ะเหมือนเมื่อสองวันก่อน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงจนทุกคนตั้งตัวไม่ทัน“อะไรกัน เลิกงานมาเหนื่อยๆ ยังต้องมาหิ้วท้องรออีกเหรอให้ตายเถอะ” สะใภ้รองกลอกตามองบนบ่นอุบ“เอาน่า คุณก็ไปช่วยพี่สะใภ้ทำมื้อเย็นเถอะจะได้เสร็จเร็วๆ” อารองผลักไหล่ภรรยาให้เดินเข้าในในครัว เขาเองก็หิวจนตายลายแล้วเหมือนกันหลิวซือถอนหายใจ แต่คิดว่าลูกสาวคงจะยังไม่หายป่วยเลยไม่ได้พูดอะไร สองสะใภ้ช่วยกันทำมื้อเย็น ส่วนย่าหลี่ก็ไม่ได้พูดอะไร เก็บความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน เพราะตอนนี้ภาพในหัวของท่านไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา ก็นึกถึงเงินก้อนในห่อผ้าเก่าๆ นั้นจนทำให้นอนไม่หลับทางด้านจ้าวเสี่ยวเหลียนตอนนี้กำลังนอนหนุนตักผู้เป็นยาย ฟังท่านเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง แต่แล้วเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น“ยายคะ พี่ใหญ่ แม่ให้มาตามไปกินข้าวค่ะ”ช่วงนี้ปิดเทอมก็จริง แต่เพราะกำลังจะขึ้นชั้นมัธยม หลี่เฟินผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนอนหนังสือก็มักจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด ไม่ค่อยอยู่บ้าน“หลานไปกินข้าวเถอะ ยายกับพี่เขากินกันมาแล้วล่ะ” ยายหลิวบอกหลานสาวถึงจะเป็นหลานที่ออกมาจากแม