แชร์

16

ผู้เขียน: Scince
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-13 15:46:20

ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง

“เข้ามาสิ”

“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว

“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”

“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอน

เด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด

“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”

เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว่าพี่น้อง ยังไงก็มักจะมีสายใยบางๆ เชื่อมกันอยู่

ขณะที่ทั้งสองเดินออกจากห้อง พบว่าคนอื่นๆ นั่งรอที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งอาสี่ที่กลับบ้านดึกวันนี้ก้ร่วมโต๊ะด้วย

“กว่าจะมาได้” สะใภ้รองแสร้งบ่นพำพึมกับตัวเอง แต่ความจริงแล้วตั้งใจพูดให้คนอื่นได้ยินด้วย

“อาโหยว เสี่ยวเหลียนมานั่งข้างๆ ย่ามา ทำไมช่วงนี้ย่าถึงรู้สึกว่าเราสองคนไม่ได้เจอหน้ากันเลยทั้งที่อยู่บ้านเดียวกัน” ย่าหลี่กวักมือเรียก ท่าทางใจดีของท่านกลับมาอีกครั้งเหมือนครั้งแรกที่เจอหน้ากันไม่มีผิด

หลิวซือที่กำลังตักข้าวให้กับทุกคนอยู่ก็ชะงักมือ เพราะที่นั่งข้างๆ แม่สามีนั้น นอกจากลูกสาวของเธอที่นั่งข้างซ้ายแล้ว ข้างขวาก็ยังมีหวังหลินอีกคนที่มาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้

“จริงสิ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยเจอหลินเอ๋อร์เลยนี่นะ หลินเอ๋อร์ทักทายพี่เสี่ยวเหลียนเสียสิ” ย่าหลี่แนะนำหลานสาวให้รู้จักกัน

“สวัสดี” หวังหลินทักทายแบบขอไปที

เธอเกิดในเมือง ถือว่าตัวเองเป็นคนในเมือง เลยไม่ค่อยอยากจะสุงสิงกับคนชนบท เพราะฉะนั้นวันที่แม่บอกว่าลูกเลี้ยงของลุงใหญ่มาถึงเลยหาข้ออ้างไม่มาหา แต่ครั้งนี้เลี่ยงไม่ได้เลยต้องมาด้วยความจำยอม

“สวัสดีจ้ะ” เสี่ยวเหลียนไม่ใส่ในท่าทางไร้การศึกษาของอีกฝ่าย เพราะยิ่งหล่อนแสดงออกว่ารังเกียจมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งแสดงถึงตัวตนมากเท่านั้น

“รู้จักกันเอาไว้ ต่อไปก็ต้องเรียนที่เดียวกันแล้ว มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”

“ยายพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ” หวังหลินถามตาโต

“ก็หมายความว่าพี่เสี่ยวเหลียนสอบเข้าโรงเรียนระดับสองของเราได้แล้วยังไงล่ะ อีกไม่กี่วันก็ต้องไปสอบเลือกห้องแล้วไม่ใช่เหรอ วันนั้นอย่าลืมมารับพี่เขาไปด้วยล่ะ เผื่อโชคดีจะได้อยู่ห้องเดียวกัน”

“ฉันเพิ่งรู้ว่าโรงเรียนประจำจังหวัดของเรามาตรฐานต่ำขนาดนี้แล้ว แม้แต่คนชนบทก็มีสิทธิ์สอบเข้าได้ เหลือเชื่อจริงๆ” หญิงสาวเบ้ปากเมื่อได้ยินว่าญาติชนบทได้เข้าเรียนโรงเรียนอันดับต้นๆ ของในเมือง

“คนชนบทที่ไหนกันล่ะ พี่เขาย้ายเข้ามาอยู่ที่ทะเบียนบ้านของพวกเราแล้ว กลายเป็นคนบ้านหลี่โดยสมบูรณ์” ย่าหลี่ยิ้มเจื่อน พยายามอธิบายอย่างในเย็นให้หลานนอกคนนี้ฟัง

“ดีจริงๆ เลยนะคะ ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ แม่ขอให้ยายโอนชื่อฉันมาอยู่ที่ทะเบียนบ้านเขตนี้เพราะโรงเรียนประถมเขตนี้สอนดีกว่า แต่ยายบอกว่าฉันแซ่หวัง ก็สมควรอยู่ที่ทะเบียนบ้านหวัง แล้วขอถามหน่อยว่าหล่อนแซ่อะไร ถึงมีสิทธิ์ย้ายเข้ามาอยู่”

“หึ” สะใภ้รองแสยะยิ้ม เห็นด้วยกับคำพูดที่แม้จะไร้มารยาทของหลานสาว นึกในใจคนเดียวว่า แม่ลูกคู่นี้ถอดแบบกันมาไม่มีผิดเพี้ยนเลยจริงๆ

“หลินเอ๋อร์” หลี่เจียงตำหนิหลานสาวกลายๆ ถึงยังไงเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเลี้ยงไม่ควรปล่อยให้คนอื่นรังแก

“นับวันยิ่งพูดจาเลอะเทอะเข้าไปใหญ่ เสียวเหลียนเป็นลูกสาวของลุงใหญ่ก็ถูกต้องแล้วถ้าจะย้ายชื่อมาอยู่ที่ทะเบียนบ้านนี้ ส่วนเธอแซ่หวังก็ต้องอยู่ที่บ้านหวัง การศึกษาไม่ได้ขึ้นอยู่ที่โรงเรียนเพียงอย่างเดียวหรอก ดูจากวันนี้ก็รู้แล้วว่าคนที่สอบเข้าโรงเรียนอันดับต้นๆ ได้ก็ใช่ว่าจะดี” อาสี่พูดนิ่มๆ แต่ทำเอาคนฟังหน้าชาไปตามๆ กัน

“น้าสี่ นี่น้ากำลังด่าฉันอยู่เหรอ ฉันบอกแม่แล้วว่าคนที่นี่ไม่มีใครอยากต้อนรับ พวกเขามองว่าฉันเป็นคนนอก แม่ก็ยังจะดันทุรังให้ฉันมา ฉันแซ่หวังไม่ใช่แซ่หลี่” หวังหลินถูกปู่ย่าตามใจจนเคยตัว อีกทั้งเธอไม่คิดเกรงกลัวผู้เป็นแม่เลยสักนิด ถูกต่อว่าต่อหน้าคนมากมายมีเหรอที่จะทนไหว

ย่าหลี่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้า โชคทีท่านยังไม่พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของลูกสาว ไม่อย่างนั้นแต่งเข้าครอบครัวทหารไปมีแต่จะทำให้ขายหน้าเปล่าๆ

หลิวซือเห็นแบบนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งออก ลืมไปสนิทเลยว่าหวังหลินเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ และเชื่อว่าสามีเองก็เห็นข้อเสียของหลานสาวเรื่องนี้ เขาเลยไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกที่จะให้หลานสาวของตัวเองแต่งกับครอบครัวผู้พัน เพราะเขาเป็นคนที่รักในชื่อเสียงของตระกูลมาก

เรื่องราวจบลงด้วยการที่หวังหลินขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่เสี่ยวเหลียนก่อน เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ติดใจเอาความ เพราะพูดกับคนไม่มีสมองพูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ

ก่อนนอนคืนนั้นหลิวซือเข้ามาในห้องของลูกสาว พยายามพูดจาหว่านล้อมให้คำนึงข้อดีข้อเสียของการแต่งงานในครั้งนี้

“แกเห็นแล้วนะว่าอาสามจ้องจะงาบผู้พันไปเป็นลูกเขย"

“ตรงไหนคะ ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง” เสี่ยวเหลียนหัวเราะเบาๆ กับความคิดของผู้เป็นแม่

“เหลียนเอ๋อร์ แม่รู้ว่าแกอยากจะเรียนต่อ แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อชื่อเสียงของแกมันเสียไปแล้ว เรียนจบออกมาบ้านไหนจะอยากรับเป็นลูกสะใภ้ ต่อไปจะไม่ต้องอยู่เป็นโสดไปจนตายเหรอ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ ฉันกับผู้พันจางก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เขาทำดีช่วยเหลือคนก็ไม่ควรต้องมารับผิดชอบเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ แม่เองก็มีประสบการณ์มาแล้ว แต่งงานที่ปราศจากความรักมันลงเอยแบบไหน”

หลิวซือได้ยินแบบนั้นก็สะอึกจนพูดไม่ออก เธอยอมรับว่าหลงในหน้าตาของพ่อเสี่ยวเหลียนจริง แต่จะเอาคนพรรค์นั้นมาเปรียบเทียบกับผู้พันมันเทียบกันได้ที่ไหนกันล่ะ

“ถ้ายายแกอยู่ ฉันเชื่อว่ายังไงก็ต้องเห็นด้วยกับเรื่องนี้”

“ถ้างั้นแม่ก็รอให้ยายกลับมาก่อนสิคะแล้วค่อยว่ากัน ผู้พันเองก็ไปปฏิบัตินอกพื้นที่ไม่รู้ว่าจะกลับวันไหน แล้วถ้าเกิดเขาไม่ได้กลับมาเร็วๆ นี้ฉันจะทำยังไง อนาคตของฉันไม่ต้องเสียไปเปล่าๆ เหรอ”

ได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้หลิวซือก็ตาสว่าง เธอเอาแต่คิดว่าจะยอมให้หลี่เซียนมาชุบมือเปิบเอาลูกเขยของตนเองไปไม่ได้ แต่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้

“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล อีกไม่กี่วันก็จะสอบเลือกห้องแล้ว ถ้าอย่างนั้นแกก็ทำตามปกติไปก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆ ให้ผู้ใหญ่จัดการกันเอง”

“หมายความว่ายังไงให้ผู้ใหญ่จัดการ ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าถ้าฉันได้เรียนแล้วก็ไม่มีทางลาออกกลางคันแน่นอน ถ้าพวกเขาอยากจะรับผิดชอบจริงๆ ก็ต้องรอให้ฉันเรียนจบได้ก่อนได้ แต่ถ้ารอไม่ได้ก็ถือว่าฉันกับเขาไม่มีวาสนาต่อกัน แม่ออกไปได้แล้วล่ะค่ะฉันง่วงนอนแล้ว”

เสี่ยวเหลียนคลุมโปง ไม่สนใจผู้เป็นแม่ที่อ้าปากเตรียมจะพูดโน้มน้าวตนเองอีก

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   120

    ช่วงดึกวันเดียวกันนั้น พ่อจางสังเกตเห็นความผิดปกติของภรรยา อยู่กินมานานเกือบสามสิบปี แค่อ้าปากก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร“มีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่าครับ” พ่อจางกอดภรรยาจากทางด้านหลัง มั่นใจว่าคนข้างๆ ยังไม่นอน“…." มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา“วันนี้เจ้าลูกชายตัวดีมาคุยกับผม เรื่องที่ขอยืดเวลาให้กวงเอ๋อร์อยู่ที่นี่ก่อน ทางผมไม่ติดอะไรนะถ้าคุณจะอยู่กับหลานต่อ”“ฉันจะกลับบ้านค่ะ ถ้าพวกเขาไม่ยอมให้ฉันเอาหลานกลับ ก็ให้พวกเขาเลี้ยงกันเอง ฉันจะไม่ยุ่งแล้ว” แม่จางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงน้อยใจ“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ถ้าคุณอยากจะกลับเพราะคิดถึงผมก็แล้วไปเถอะ แต่อย่ากลับเพียงเพราะอยากประชดลูกเลย เสวี่ยอวี้อาจจะไม่เป็นไร แต่อย่าทำให้ลูกสะใภ้ลำบากใจ ได้ยินว่าเธอยินดีที่ให้กวงเอ๋อร์ไปชิงเต่า แต่เจ้าลูกชายตัวดีไม่ยอม” พ่อจางรับหน้าที่เป็นคนกลา

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   119

    สิงหาคม 1980ครบกำหนดที่จางเหยากวงต้องกลับไปชิงเต่ากับคุณย่าของเขาแล้ว เจ้าอ้วนยังไม่รู้ชะตากรรมว่าต่อไปตัวเองจะต้องอยู่ห่างจากพ่อแม่ ตอนนี้สองพ่่อลูกกำลังเล่นของเล่นบนเตียงกันอยู่“ผมจำได้ว่าเครื่องบินของกวงเอ๋อร์มีเยอะกว่านี้ไม่ใช่เหรอครับ” สองพ่อลูกชอบเล่นเครื่องบิน ก่อนนอนทุกคืนเขาจะต้องได้เล่นเครื่องบินกับพ่อก่อน แล้วค่อยให้ย่าจางพาไปนอน“ฉันเก็บลงกล่องบางส่วนแล้วละค่ะ” พูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกจุกที่ลำคอทุกทีจางเสวี่ยอวี้ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจ ให้ลูกชายเล่นเครื่องบินไปก่อน แล้วหันมาปลอบแม่ของลูกแทน “ถ้าอย่างนั้นไม่สู้เราคุยกับแม่ให้ท่านกลับไปชิงเต่าก่อนดีหรือเปล่าครับ ผมจะจ้างพี่เลี้ยงมาอยู่ประจำ คุณยายท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเกินไป”ตอนนี้แม้ว่าที่บ้านของเขาจะมีแม่บ้าน แต่ทำงานเช้าเย็นก็กลับ หน้าที่เลี้ยงหลานเป็นของยายทวดและคุณย่า เขารู้ดีว่าพวกท

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   118

    จ้าวเสี่ยวเหลียนยุ่งอยู่กับการเลี้ยงลูกและเรียน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมใส่ใจน้องสาว ตอนนี้หลี่เฟินสอบเข้ามหาวิทยาลัยมณฑลได้แล้ว เดิมทีแม่หลิวอยากให้มาอยู่กับพี่สาว จะช่วยเลี้ยงหลาน แต่เพราะมหาวิทยาลัยกับค่ายทหารอยู่ไกลกันเดินทางลำบาก เสี่ยวเหลียนเลยเลือกให้น้องสาวอยู่หอพักแทน วันหยุดถึงมาหลานสาว“ไอหยา…ตัวหนักกว่าครั้งที่แล้วอีกนะ” น้าสาวยิ้มกว้างเมื่อได้อุ้มหลานชายวัยสี่เดือน ตอนนี้เขาใส่เสื้อผ้าของเด็กหนึ่งขวบไปแล้วเรียบร้อย“เขาห้ามทักว่าเด็กอ้วนเดี๋ยวจะป่วย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ยายหลิวดุหลานสาว“จริงเหรอคะ เสี่ยวกวงของเราไม่อ้วนเลย ออกจะผอมไปด้วยซ้ำ ต้องกินเยอะๆ นะ” พอรู้ว่าหลานชายจะป่วยเพราะคำพูดของตัวเอง น้าสาวก็กลับคำเสียอย่างนั้นเสี่ยวเหลียนได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า “เด็กคนหนึ่งจะป่วยก็คงไม่เกี่ยวกับคำพูดหรอก เป็นเพราะสภาพแวดล้อมแล้วก็สิ่งที่เขากินเข้าไปมากกว่า เจ็บป

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   117

    จ้าวเสี่ยวเหลียนอยู่โรงพยาบาล 3 วัน ถ้าเป็นคนอื่นคงออกตั้งแต่สองวันแรก แต่เพราะเป็นภรรยาของท่านนายพล เขาอยากมั่นใจก่อนว่าภรรยาและลูกปลอดภัย พ่อจางกับแม่จางมาถึงวันที่เสี่ยวเหลียนออกจากโรงพยาบาลพอดี จางเสวี่ยอวี้ตั้งชื่อลูกชายา จางเหยากวง“ไอหยา…เพิ่งคุยกันไม่กี่วันก่อนแท้ๆ หลานย่าก็รีบออกมาเสียแล้ว ไม่รอย่าเลย” ตอนนี้คุณแม่จางกำลังอุ้มหลายชายตัวอ้วนของท่านอยู่รีบอะไรกันละคะ ความจริงต้องออกตั้นแต่ช่วงต้นเดือนเสียด้วยซ้ำ อีกสองสัปดาห์ก้จะเปิดเทอมแล้ว ม่านม่านจะพักฟื้นทันหรือเปล่า" แม่หลิวมองหน้าลูกสาวที่กำลังอยู่เดือนด้วยความเป็นห่วง“นั่นสิ แล้วเรื่องอยู่เดือนจะทำยังไง” แม่จางถาม“สัปดาห์แรกน่าจะยังไม่มีอะไรหรอกค่ะ ยังไม่ต้องไปก็ได้ แต่หลังจากนั้นยังไงก็ต้องไปเพราะขึ้นปีสามแล้ว เนื้อหาเฉพาะมากขึ้น”“ไม่สู้ให้แม่พากวงเอ๋อร์กลับชิงเต่า พวกลูกจะไ

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   116

    จางเสวี่ยอวี้ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาเห็นของเหลวกำลังไหลออกมาจากร่างกายของภรรยา ก่อนหน้านี้เธอมีอาการเจ็บท้องอยู่หลายครั้ง แต่พอเกิดขึ้นจริงเขากลับทำอะไรไม่ถูก“จางเสวี่ยอวี้ เอาของที่เตรียมไว้ไปใส่รถเร็วเข้า” ในจิตสำนึกของเธอแล้ว ตัวเองอายุเท่ากันกับสามี พอน้ำคร่ำแตก อาการเจ็บท้องคลอดของเธอก็ถี่ขึ้น จนเหงื่อท่วมตัวว่าที่คุณพ่อมือใหม่สะดุ้งกับคำสั่งของภรรยา “ได้” เขารีบเดินไปหิ้วกระเป๋าที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้นานแล้วขึ้นรถ ไม่นานก็กลับเข้ามาอุ้มภรรยาไปโรงพยาบาล“ไม่ต้องกลัวนะ ทำใจให้สบาย” ยายหลิวจับมือปลอบใจหลานสาวตลอดทาง โชคดีที่บ้านพักกับโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาเดินทางแค่ 5 นาทีก็มาถึงโรงพยาบาลตอนนี้เสี่ยวเหลียนถูกเข็นไปยังห้องคลอด จางเสวี่ยอวี้เดินไปตามหวังหว่านอินที่ห้องตรวจด้วยตัวเอง ทำเอาคนไข้แตกตื่นไปตามๆ กัน“นายใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้เธอ

  • 1975 ชีวิตนี้ฉันขอลิขิตเอง   115

    กุมภาพันธ์ 1980ปิดเทอมฤดูหนาวเสี่ยวเหลียนไม่ได้กลับชิงเต่า เพราะจางเสวี่ยอวี้ไม่อยากให้เธอต้องเดินทางไกลช่วงที่หิมะตกหนัก“เข้าใจแล้วค่ะ วางแล้วนะคะ”“ใครโทรมาครับ” จางเสวี่ยอวี้เดินเข้ามาโอบเอวของภรรยา มือหนาลูบหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมานิดๆ ของภรรยา“แม่น่ะค่ะ โทรมากำชับ บอกว่าปิดเทอมนี้ไม่ต้องกลับบ้าน” เธอยิ้มตอบสามี รู้สึกดีทุกครั้งที่เขาลูบท้องลูกของพวกเธอ“ผมทำเรื่องขอย้ายไปอยู่บ้านเป็นหลังแล้ว คิดว่าสะดวกกว่าอยู่บนอาคาร”“ทำไมละคะ” เธอคิดว่าอยู่บนอาคารก็สะดวกดี ฤดูหนาวไม่ต้องคอยมากวาดหิมะบนหลังคา ติดแค่พื้นที่แคบไปสักหน่อยก็เท่านั้น“อยู่บ้านเป็นหลังดีกว่า อีกหน่อยคุณยายก็ต้องมาช่วยดูแลคุณ ท่านจะได้ไม่อึดอัดที่อยู่แต่บนอาคารอย่างเดียว”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status