อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก
“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ
“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้น
เธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง
“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง
“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป
“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องสาวสามี
“ก่อนอื่นต้องขอแนะนำอย่าเป็นทางการนะคะคุณนาย ฉันชื่อหลี่เซียน เป็นอาสามของเด็กคนนี้ค่ะ ส่วนคนนี้คือพี่สะใภ้ใหญ่ของฉัน หลิวซือ แล้วก็จ้าวเสี่ยวเหลียน ตัวต้นเหตุของเรื่องนี้”
หยางเถาฮวาหน้าเจื่อน ไม่รู้ว่าจะอึ้งกับคำไหนก่อนดี สามคนแต่กลับแซ่ไม่เหมือนกันเลย หรือจะอึ้งกับคำพูดเหน็บแนมของคนที่แนะนำตัวเองว่าเป็นอา ทว่าคำพูดคำจากลับไม่ให้เกียรติหลานสาวของตัวเองเลย
“สวัสดีจ้ะ ก่อนอื่นฉันต้องขอโทษแม่เสี่ยวเหลียนแทนลูกชายของฉันด้วยที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เดิมทีเขาก็พูดเรื่องนี้กับฉันแล้วล่ะ เป็นฉันเองที่ไม่เอาไหน ปล่อยให้เรื่องนี้ถูกคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องพูดถึงเป็นวงกว้าง จนต้องเลยเถิดมาถึงขั้นนี้”
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ตนไม่ได้อยู่แถวตรอกซอยนี้ อีกทั้งยังไม่ใช่สังคมโรงงาน ทำให้ไม่รู้ข่าวซุบซิบ แต่ที่รู้เรื่องเพราะแม่บ้านมาจ่ายตลาดและลูกชายของตนเองถูกพาดพิง เลยให้คนมาสืบถึงได้รู้ว่าเรื่องที่ลูกชายฝากฝังก่อนจะไปทำงานนั้นเป็นเรื่องจริง
“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกหรอกค่ะ ความจริงเราต้องขอบคุณลูกชายของคุณนายด้วยซ้ำที่ช่วยชีวิตลูกสาวของฉันเอาไว้” หลิวซือไม่คิดโทษอีกฝ่าย พอเธอมานั่งนึกดูอีกทีก็เหมือนจะเห็นผู้ชายตัวเปียกโชกคนหนึ่งจริงๆ แต่จังหวะนั้นเป็นห่วงลูกสาวมากเกินกว่าจะนึกถึงคนอื่น
“เข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะคะ” อาสามเห็นสองคนขอโทษกันไปมา แบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกันสักที
“ตายจริง นี่เป็นประวัติของลูกชายฉันค่ะ” หยางเถาฮวายื่นประวัติของลูกชายที่ตนอุตส่าห์ตั้งใจทำขึ้นมายื่นให้กับหญิงสาวที่นั่งทำตาปริบๆ
ทว่ากลับถูกอาสามคว้าเอาไปเสียก่อน แต่พอได้เห็นรูปเต็มตัวของอีกฝ่ายแล้วถึงกับอ้าปากค้าง เพราะต่อให้จะเป็นภาพขาวดำ แต่ความหล่อก็ทะลุมาแต่ไกล รูปร่างสูงโปร่งมีภูมิฐาน ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีการศึกษาดี แล้วยิ่งเห็นว่าเรียนจบจากโรงเรียนทหารโดยตรงก็อึ้งเข้าไปใหญ่
“พันตรีอย่างนั้นเหรอคะ” อาสามทวนยศของอีกฝ่าย
“ใช่แล้วล่ะค่ะ เขาเข้าเรียนโรงเรียนทหารตั้งแต่อายุ 15 ปี พออายุ 17 ปีก็สอบเทียบเรียนจบแล้วก็เข้ารับราชการทหารสังกัดมณฑลเลย ตอนนี้อายุ 22 ปีพอดี เพิ่งเข้ารับตำแหน่งพันตรีเมื่อต้นปีนี้เองค่ะ” คนเป็นแม่พูดถึงลูกชายด้วยความภาคภูมิใจ
หลิวซือได้ยินน้องสาวสามีพูดถึงตำแหน่งของอีกฝ่ายก็ไม่รอช้า รีบหยิบประวัติขึ้นมาอ่านคร่าวๆ ภายในใจที่หนักอึ้งรู้สึกเบาสบายเหมือนยกภูเขาออกจากอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผู้ชายไม่เอาไหนที่ไหน แต่เป็นถึงผู้พันที่มาช่วยชีวิตลูกสาวของเธอเอาไว้ได้
เสี่ยวเหลียนเห็นแม่กรอกสายตาอ่านประวัติแล้วฉีกยิ้ม ก็อดไม่ได้ที่จะสะกิดขอดู ตอนนี้เธอพอจะเดาได้แล้วว่าที่แม่พามานั่งตรงนี้จุดประสงค์คืออะไร
ไม่ใช่การดูตัว แต่เป็นเพราะข่าวลือในตอนที่เธอตกน้ำ เธอเข้าใจผิดมาตลอดว่าคนที่ช่วยชีวิตคือพ่อเลี้ยง แต่ความจริงแล้วกลับกลายเป็นผู้ชายหน้านิ่งในภาพที่ใส่ชุดทหารเต็มยศ ถ่ายคู่กับปืนคู่ใจที่ใครเห็นแล้วเป็นต้องใจสั่นรวมถึงเธอด้วย นี่มันจางฮั่นชัดๆ หล่อแบบดิบเถื่อนนิดๆ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลาย
“เอ่อ คุณนายคะบอกตามตรงว่าทางเราคงไม่อาจเอื้อม” อาสามพูดขึ้น ทำเอาหลิวซือหันไปมองหน้าน้องสามีตาขวาง
เธอเป็นแม่แท้ๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ แล้วเรื่องอะไรที่คนอื่นจะมาออกความเห็น เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมมันใช่เรื่องที่จะพูดออกมาต่อหน้าอีกฝ่ายอย่างนั้นเหรอ
“อาสาม” หลิวซือเรียกเบาๆ ทว่าหลี่เซียนกลับทำหูทวนลมไม่ได้ยิน
ตอนแรกที่ตกลงมาเป็นเพื่อน เพราะอยากจะเห็นหน้าผู้ชายที่ช่วยชีวิตจ้าวเสี่ยวเหลียนเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่อีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ นี่มันลูกเขยในอุดมการณ์ของเธอชัดๆ ไม่สู้เก็บเอาไว้เป็นตัวเลือกให้ลูกสาวตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ ใครจะไปยอมยกให้หลานนอกสายเลือดกันล่ะ
“อาสามพูดถูกนะคะ คุณนายคะ ข่าวลือพวกนั้นฉันไม่สนใจหรอกค่ะ อีกอย่างฉันก็กำลังเรียนหนังสืออยู่ ยังไม่คิดเรื่องแต่งงาน” เสี่ยวเหลียนพยักหน้าเห็นด้วย
เธอรู้ว่าตอนนี้แม่แทบอยากจะยกเธอใส่พานให้กับอีกฝ่าย แต่สำหรับคนที่ผ่านโลกมาเยอะพอสมควรอย่างเธอแล้ว รู้ดีว่ายังมีผู้ชายอีกมากที่ดีกว่าหนุ่มหล่อคนนี้ สำคัญที่สุดคือนิสัยต้องเข้ากันได้ เพราะต่อให้หน้าตาดี ฐานะดีแค่ไหน ถ้านิสัยไม่ดีก็เท่านั้น
“เอางั้นเหรอ” หยางเถาฮวาพูดอะไรไม่ออก
ตนเดินทางมาเจรจาคนเดียว ไม่ได้พาแม่สื่อมาด้วย เพราะมั่นใจว่ายังไงอีกฝ่ายก็ต้องตอบรับลูกชาย แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธโดยไม่ทันได้ปรึกษากันก่อนเสียด้วยซ้ำ ทำให้รู้สึกอับอายอยู่เล็กน้อย
“ฉันต้องขอโทษแทนลูกสาวด้วยนะคะ แกยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจว่าอะไรคือชื่อเสียง แต่ถึงยังไงฉันก็คงต้องขอเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาสามีดูก่อน แล้วถ้าเกิดว่าทางฝั่งบ้านคุณนายไม่รังเกียจที่ลูกสาวฉันมาจากชนบท แล้วครอบครัวของพวกเราก็เป็นเพียงชนชั้นแรงงาน ถึงตอนนั้นก็ส่งแม่สื่อมาพูดคุยกันให้ถูกต้องตามธรรมเนียมจะดีกว่านะคะ”
หลิวซือพูดพร้อมทั้งยื่นประวัติลูกสาวที่มีรูปเธอขณะที่กำลังยิ้มอยู่ส่งไปให้
เสี่ยวเหลียนไม่รู้ว่ารูปนี้ถ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ น่าจะถ่ายตอนที่ร่างนี้มาในเมืองแล้ว เพราะเธอจำสะพานตรงนี้ได้ มันก็คือสะพานเดียวกับที่เจ้าของร่างกระโดดน้ำนั่นเอง
“ดี แบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ” หยางเถาฮวาพยักเห็นด้วยกับคำพูดของหลิวซือ
อาสามอ้าปากเตรียมจะพูด แต่กลับถูกหลิวซือพูดดักขึ้นเสียก่อน “ถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเราขอตัวก่อน บอกตามตรงว่าฉันเองก็ถูกทางโรงงานถามเรื่องนี้มาเหมือนกัน แต่ก็จนใจเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าพ่อหนุ่มที่ช่วยชีวิตลูกสาวคือผู้พัน จางเสวี่ยอวี้”
“ลำบากน้องหลิวแล้วล่ะ”
สุดท้ายแล้วการพบปะพูดคุยจบด้วยการจะส่งแม่สื่อมาทาบทามอีกที จ้าวเสี่ยวเหลียนขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด รวมถึงอาสามด้วย เพราะตอนนี้เธอเริ่มมีความคิดอยากจะได้ผู้ชายของหลานสาวมาเป็นลูกเขยของตัวเอง
1 กันยายน 1975วันนี้เป็นวันที่จ้าวเสี่ยวเหลียนต้องไปสอบเลือกห้อง เพราะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ นักเรียนบางคนเข้าเรียนได้เพราะเป็นคนในเขตพื้นที่ และได้โควตาพิเศษ อีกส่วนหนึ่งคือสอบเข้าเหมือนกับเสี่ยวเหลียน เลยทำให้ต้องสอบคัดเลือกอีกทีหนึ่งผู้ปกครองมาให้กำลังใจลูกหลานตัวเองเป็นจำนวนมาก รวมถึงอาสามของบ้านหลี่ด้วยที่มาเฝ้าลูกสาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสี่ยวเหลียนหยุดทักทาย เพราะหากจะเดินผ่านหน้าไปเลยก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่“อือ” อาสามพยักหน้าแบบขอไปที เพราะจุดที่ตนนั่งนั้นยังมีเพื่อนอีกหลายคน“นั่นใครเหรอ” เพื่อนบ้านคนหนึ่งสะกิดถาม“ลูกสาวคนโตพี่ใหญ่น่ะ” อาสามตอบ ถึงจะไม่ชอบหน้า แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องให้เกียรติพี่ชายเรื่องที่พี่ชายแต่งงานกับผู้หญิงหม้ายลูกติดคนแถวนี
ช่วงเย็นจ้าวเสี่ยวเหลียนตั้งแต่มาถึงก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดหาวิธีเอาตัวรอดกับงานแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ติดต่อยายหลิวตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเพิ่งจะไปได้แค่วันเดียว อย่างน้อยๆ ก็ต้อง 4-5 วัน แบบนี้คงไม่ทันการณ์เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของน้องสาวที่ดังอยู่ข้างนอก ทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ของตัวเอง“เข้ามาสิ”“พี่ แม่ให้มาตามไปกินข้าว” หลี่เฟินเดินมาหยุดตรงหน้าพี่สาว“เฟินเอ๋อร์ไปกินเถอะ บอกแม่ว่าพี่ไม่หิว”“พี่ แม่บอกมาแล้วว่ายังไงก็ต้องออกไปกินข้าว ถ้าพี่ไม่ไปฉันก็ห้ามกินข้าว” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนเด็กสาวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่คิดว่าถ้าอาสามมาที่บ้านส่วนมากแล้วก็จะมีเรื่องทุกที ยิ่งมาเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของพี่สาวก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองสันนิษฐานไม่ผิด“ไม่มีอะไรหรอกแค่เป็นห่วงยายน่ะ ถ้างั้นพวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”เห็นน้องสาวทำสายตาอ้อนวอนก็อดที่จะสงสารไม่ไหว แม้ว่าคนในครอบครัวจะไม่หวังดีกับเธอ แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้องสาวแตกต่าง เป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนไม่สนิทกัน เพราะพี่น้องเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน แต่คำว
หลังจากที่แยกกับหยางเถาฮวา อาสามก็ไม่ได้รีบกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับไปบ้านหลี่แทน อยู่รอจนกระทั่งย่าหลี่กลับจากทำงานถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้กับผู้เป็นแม่ฟัง“โชคดีขนาดนั้นเชียวเหรอ” ย่าหลี่ไม่อยากจะเชื่อ ผู้พันที่ไหนจะมาแต่งงานกับชนชั้นแรงงาน อย่างน้อยก็ต้องแต่งกับลูกหลานทหารด้วยกัน หรือไม่ก็ลูกสาวนายพลถึงจะเหมาะสม“นั่นสิคะ ทีแรกที่ติดต่อมาฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานขอคนแถวนี้เสียอีก แม่คะเราจะทำยังไงกันดีละคะ” อาสามถามผู้เป็นแม่ด้วยความกลัดกลุ้ม“จะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาแล้วว่าจะรับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่เรียกสินสอดให้คุ้มกับที่เจ้าใหญ่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ” ย่าหลี่นึกถึงสินสอดที่จะได้รับแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่“ได้ยังไงละคะแม่ อย่าเห็นแก่เงินน้อยนิดสิคะ นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นระยะยาว แค่นี้พี่สะใภ้ก็คอยื่นคอยาว ถ้าเกิดว่าหล่อนได้เป็นแม่ยายผู้พันจริงๆ คิดเหรอว่าต่อไปหล่อนจะยอมก้มหัวให้กับพวกเรา”“อืม ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล” ย่าหลี่คิดตามคำพูดของลูกสาวที่ผ่านมาท่านพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก พูดง่าย แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องให้ลำบากใจ เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ไม่มีปากมีเสียง ลูกชายของท่านตาถ
อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้นเธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องส
ก่อนที่สองยายหลานจะออกจากบ้าน หลิวซือก็เดินมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน เธอรู้สึกว่าครั้งนี้ผู้เป็นแม่ทำเกินกว่าเหตุไปสักหน่อย“จะไปไหนกันแต่เช้าคะ”“ไปเดินเล่นน่ะ” ยายหลิวตอบ“ฉันนึกว่าแม่จะไปซื้อตั๋วรถไฟเตรียมกลับบ้านเสียอีก” หลิวซือเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเรียบเฉย คิดว่าเรื่องที่ท่านเตรียมจะกลับบ้านคงไม่บอกให้ตนรู้เป็นแน่ เลยพูดเรื่องนี้ออกไปเสียเลย เพราะเธอก็รู้สึกอึดอัด“รู้แล้วจะถามทำไม” ยายหลิวไม่แปลกใจที่ลูกสาวรู้ เพราะคิดว่าเจ้าของร้านค้าที่มาตามท่านไปรับโทรศัพท์น่าจะเป็นคนบอก“แม่ ถ้าแม่เป็นคนอื่นฉันก็ไม่สนใจหรอกนะ แต่นี่แม่เป็นแม่ของฉัน ฉันถามเพราะเป็นห่วง”“แกห่วงอะไรล่ะ ห่วงฉันกับลูก หรือว่าห่วงจะไม่ได้เงิน” ยายหลิวถามเสียงเรียบตั้งแต่ท่านมาถึงลูกสาวก็ถามถึงเงินเยียวยา หลังจากนั้นก็ถามแทบจะทุกวันเกี่ยวกับเงินเยียวยา ทั้งพูดทำนองว่าต้องการจะขอยืมเงินเพื่อไปวางมัดจำบ้าน เนื่องจากว่าบ้านที่อยู่มันค่อนข้างจะคับแคบ อยากเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ทว่าเท่าที่ท่านสัมผัส มันกลับไม่ง่ายเหมือนคำที่ลูกสาวพูด เพราะทุกอย่างล้วนรวมเป็นกองกลาง นั่นหมายความว่าหากครอบครัวของลูกสาวอยากจะย้ายออก พวกหล่อนจะ
ทุกคนเลิกงานกลับมา พบว่าบ้านว่างเปล่า ความหมายในที่นี้คือไม่มีอาหารวางบนโต๊ะเหมือนเมื่อสองวันก่อน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงจนทุกคนตั้งตัวไม่ทัน“อะไรกัน เลิกงานมาเหนื่อยๆ ยังต้องมาหิ้วท้องรออีกเหรอให้ตายเถอะ” สะใภ้รองกลอกตามองบนบ่นอุบ“เอาน่า คุณก็ไปช่วยพี่สะใภ้ทำมื้อเย็นเถอะจะได้เสร็จเร็วๆ” อารองผลักไหล่ภรรยาให้เดินเข้าในในครัว เขาเองก็หิวจนตายลายแล้วเหมือนกันหลิวซือถอนหายใจ แต่คิดว่าลูกสาวคงจะยังไม่หายป่วยเลยไม่ได้พูดอะไร สองสะใภ้ช่วยกันทำมื้อเย็น ส่วนย่าหลี่ก็ไม่ได้พูดอะไร เก็บความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน เพราะตอนนี้ภาพในหัวของท่านไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา ก็นึกถึงเงินก้อนในห่อผ้าเก่าๆ นั้นจนทำให้นอนไม่หลับทางด้านจ้าวเสี่ยวเหลียนตอนนี้กำลังนอนหนุนตักผู้เป็นยาย ฟังท่านเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง แต่แล้วเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น“ยายคะ พี่ใหญ่ แม่ให้มาตามไปกินข้าวค่ะ”ช่วงนี้ปิดเทอมก็จริง แต่เพราะกำลังจะขึ้นชั้นมัธยม หลี่เฟินผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนอนหนังสือก็มักจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด ไม่ค่อยอยู่บ้าน“หลานไปกินข้าวเถอะ ยายกับพี่เขากินกันมาแล้วล่ะ” ยายหลิวบอกหลานสาวถึงจะเป็นหลานที่ออกมาจากแม