อาสามได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มค้าง ส่วนหลิวซือนั้นได้แต่นั่งนิ่งพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าเป็นชนชั้นแรงงานเหมือนกันเสียอีก
“ไอหยาคุณนายอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิคะ ทำความรู้จักกันก่อน” อาสามพูดแก้สถานการณ์ เห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายแล้วไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นคนมีเงิน เพราะแบบนี้ถึงได้บอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ
“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เสียงพูดถึงหนูเสี่ยวเหลียนดังเข้าหูมาทุกวัน กว่าที่ฉันจะติดต่อพวกคุณได้ไม่ใช่ง่าย” คนที่แนะนำตัวว่าเป็นหยางเถาฮวาพูดขึ้น
เธอเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้แล้วก็พยักหน้าพอใจ ก่อนหน้าที่ลูกชายจะไปทำงานได้บอกแล้วว่าไปล่วงเกินสาวคนหนึ่งเข้า ไม่รู้ว่าทางนั้นจะมาเอาเรื่องหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็รับปากรับผิดชอบไป เพราะตนล่วงเกินอีกฝ่ายจริง
“เดี๋ยวก่อนนะคะ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เสี่ยวเหลียนได้กลิ่นไม่ดีเลยถามออกไปอย่างงุนงง
“เสี่ยวเหลียนจ๊ะ ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอย่าเพิ่งพูดแทรก เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าเรื่องอะไร” คำพูดของอาสามทำเอาหยางเถาฮวาที่กำลังจะอ้าปากอธิบายต้องกลืนคำพูดลงท้องของตัวเองไป
“นั่นสิ รอให้อาสามพูดจบก่อน” หลิวซือพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องสาวสามี
“ก่อนอื่นต้องขอแนะนำอย่าเป็นทางการนะคะคุณนาย ฉันชื่อหลี่เซียน เป็นอาสามของเด็กคนนี้ค่ะ ส่วนคนนี้คือพี่สะใภ้ใหญ่ของฉัน หลิวซือ แล้วก็จ้าวเสี่ยวเหลียน ตัวต้นเหตุของเรื่องนี้”
หยางเถาฮวาหน้าเจื่อน ไม่รู้ว่าจะอึ้งกับคำไหนก่อนดี สามคนแต่กลับแซ่ไม่เหมือนกันเลย หรือจะอึ้งกับคำพูดเหน็บแนมของคนที่แนะนำตัวเองว่าเป็นอา ทว่าคำพูดคำจากลับไม่ให้เกียรติหลานสาวของตัวเองเลย
“สวัสดีจ้ะ ก่อนอื่นฉันต้องขอโทษแม่เสี่ยวเหลียนแทนลูกชายของฉันด้วยที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เดิมทีเขาก็พูดเรื่องนี้กับฉันแล้วล่ะ เป็นฉันเองที่ไม่เอาไหน ปล่อยให้เรื่องนี้ถูกคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องพูดถึงเป็นวงกว้าง จนต้องเลยเถิดมาถึงขั้นนี้”
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ตนไม่ได้อยู่แถวตรอกซอยนี้ อีกทั้งยังไม่ใช่สังคมโรงงาน ทำให้ไม่รู้ข่าวซุบซิบ แต่ที่รู้เรื่องเพราะแม่บ้านมาจ่ายตลาดและลูกชายของตนเองถูกพาดพิง เลยให้คนมาสืบถึงได้รู้ว่าเรื่องที่ลูกชายฝากฝังก่อนจะไปทำงานนั้นเป็นเรื่องจริง
“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกหรอกค่ะ ความจริงเราต้องขอบคุณลูกชายของคุณนายด้วยซ้ำที่ช่วยชีวิตลูกสาวของฉันเอาไว้” หลิวซือไม่คิดโทษอีกฝ่าย พอเธอมานั่งนึกดูอีกทีก็เหมือนจะเห็นผู้ชายตัวเปียกโชกคนหนึ่งจริงๆ แต่จังหวะนั้นเป็นห่วงลูกสาวมากเกินกว่าจะนึกถึงคนอื่น
“เข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะคะ” อาสามเห็นสองคนขอโทษกันไปมา แบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกันสักที
“ตายจริง นี่เป็นประวัติของลูกชายฉันค่ะ” หยางเถาฮวายื่นประวัติของลูกชายที่ตนอุตส่าห์ตั้งใจทำขึ้นมายื่นให้กับหญิงสาวที่นั่งทำตาปริบๆ
ทว่ากลับถูกอาสามคว้าเอาไปเสียก่อน แต่พอได้เห็นรูปเต็มตัวของอีกฝ่ายแล้วถึงกับอ้าปากค้าง เพราะต่อให้จะเป็นภาพขาวดำ แต่ความหล่อก็ทะลุมาแต่ไกล รูปร่างสูงโปร่งมีภูมิฐาน ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีการศึกษาดี แล้วยิ่งเห็นว่าเรียนจบจากโรงเรียนทหารโดยตรงก็อึ้งเข้าไปใหญ่
“พันตรีอย่างนั้นเหรอคะ” อาสามทวนยศของอีกฝ่าย
“ใช่แล้วล่ะค่ะ เขาเข้าเรียนโรงเรียนทหารตั้งแต่อายุ 15 ปี พออายุ 17 ปีก็สอบเทียบเรียนจบแล้วก็เข้ารับราชการทหารสังกัดมณฑลเลย ตอนนี้อายุ 22 ปีพอดี เพิ่งเข้ารับตำแหน่งพันตรีเมื่อต้นปีนี้เองค่ะ” คนเป็นแม่พูดถึงลูกชายด้วยความภาคภูมิใจ
หลิวซือได้ยินน้องสาวสามีพูดถึงตำแหน่งของอีกฝ่ายก็ไม่รอช้า รีบหยิบประวัติขึ้นมาอ่านคร่าวๆ ภายในใจที่หนักอึ้งรู้สึกเบาสบายเหมือนยกภูเขาออกจากอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผู้ชายไม่เอาไหนที่ไหน แต่เป็นถึงผู้พันที่มาช่วยชีวิตลูกสาวของเธอเอาไว้ได้
เสี่ยวเหลียนเห็นแม่กรอกสายตาอ่านประวัติแล้วฉีกยิ้ม ก็อดไม่ได้ที่จะสะกิดขอดู ตอนนี้เธอพอจะเดาได้แล้วว่าที่แม่พามานั่งตรงนี้จุดประสงค์คืออะไร
ไม่ใช่การดูตัว แต่เป็นเพราะข่าวลือในตอนที่เธอตกน้ำ เธอเข้าใจผิดมาตลอดว่าคนที่ช่วยชีวิตคือพ่อเลี้ยง แต่ความจริงแล้วกลับกลายเป็นผู้ชายหน้านิ่งในภาพที่ใส่ชุดทหารเต็มยศ ถ่ายคู่กับปืนคู่ใจที่ใครเห็นแล้วเป็นต้องใจสั่นรวมถึงเธอด้วย นี่มันจางฮั่นชัดๆ หล่อแบบดิบเถื่อนนิดๆ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลาย
“เอ่อ คุณนายคะบอกตามตรงว่าทางเราคงไม่อาจเอื้อม” อาสามพูดขึ้น ทำเอาหลิวซือหันไปมองหน้าน้องสามีตาขวาง
เธอเป็นแม่แท้ๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ แล้วเรื่องอะไรที่คนอื่นจะมาออกความเห็น เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมมันใช่เรื่องที่จะพูดออกมาต่อหน้าอีกฝ่ายอย่างนั้นเหรอ
“อาสาม” หลิวซือเรียกเบาๆ ทว่าหลี่เซียนกลับทำหูทวนลมไม่ได้ยิน
ตอนแรกที่ตกลงมาเป็นเพื่อน เพราะอยากจะเห็นหน้าผู้ชายที่ช่วยชีวิตจ้าวเสี่ยวเหลียนเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่อีกฝ่ายจะดูดีขนาดนี้ นี่มันลูกเขยในอุดมการณ์ของเธอชัดๆ ไม่สู้เก็บเอาไว้เป็นตัวเลือกให้ลูกสาวตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ ใครจะไปยอมยกให้หลานนอกสายเลือดกันล่ะ
“อาสามพูดถูกนะคะ คุณนายคะ ข่าวลือพวกนั้นฉันไม่สนใจหรอกค่ะ อีกอย่างฉันก็กำลังเรียนหนังสืออยู่ ยังไม่คิดเรื่องแต่งงาน” เสี่ยวเหลียนพยักหน้าเห็นด้วย
เธอรู้ว่าตอนนี้แม่แทบอยากจะยกเธอใส่พานให้กับอีกฝ่าย แต่สำหรับคนที่ผ่านโลกมาเยอะพอสมควรอย่างเธอแล้ว รู้ดีว่ายังมีผู้ชายอีกมากที่ดีกว่าหนุ่มหล่อคนนี้ สำคัญที่สุดคือนิสัยต้องเข้ากันได้ เพราะต่อให้หน้าตาดี ฐานะดีแค่ไหน ถ้านิสัยไม่ดีก็เท่านั้น
“เอางั้นเหรอ” หยางเถาฮวาพูดอะไรไม่ออก
ตนเดินทางมาเจรจาคนเดียว ไม่ได้พาแม่สื่อมาด้วย เพราะมั่นใจว่ายังไงอีกฝ่ายก็ต้องตอบรับลูกชาย แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธโดยไม่ทันได้ปรึกษากันก่อนเสียด้วยซ้ำ ทำให้รู้สึกอับอายอยู่เล็กน้อย
“ฉันต้องขอโทษแทนลูกสาวด้วยนะคะ แกยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจว่าอะไรคือชื่อเสียง แต่ถึงยังไงฉันก็คงต้องขอเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาสามีดูก่อน แล้วถ้าเกิดว่าทางฝั่งบ้านคุณนายไม่รังเกียจที่ลูกสาวฉันมาจากชนบท แล้วครอบครัวของพวกเราก็เป็นเพียงชนชั้นแรงงาน ถึงตอนนั้นก็ส่งแม่สื่อมาพูดคุยกันให้ถูกต้องตามธรรมเนียมจะดีกว่านะคะ”
หลิวซือพูดพร้อมทั้งยื่นประวัติลูกสาวที่มีรูปเธอขณะที่กำลังยิ้มอยู่ส่งไปให้
เสี่ยวเหลียนไม่รู้ว่ารูปนี้ถ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ น่าจะถ่ายตอนที่ร่างนี้มาในเมืองแล้ว เพราะเธอจำสะพานตรงนี้ได้ มันก็คือสะพานเดียวกับที่เจ้าของร่างกระโดดน้ำนั่นเอง
“ดี แบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ” หยางเถาฮวาพยักเห็นด้วยกับคำพูดของหลิวซือ
อาสามอ้าปากเตรียมจะพูด แต่กลับถูกหลิวซือพูดดักขึ้นเสียก่อน “ถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเราขอตัวก่อน บอกตามตรงว่าฉันเองก็ถูกทางโรงงานถามเรื่องนี้มาเหมือนกัน แต่ก็จนใจเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าพ่อหนุ่มที่ช่วยชีวิตลูกสาวคือผู้พัน จางเสวี่ยอวี้”
“ลำบากน้องหลิวแล้วล่ะ”
สุดท้ายแล้วการพบปะพูดคุยจบด้วยการจะส่งแม่สื่อมาทาบทามอีกที จ้าวเสี่ยวเหลียนขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด รวมถึงอาสามด้วย เพราะตอนนี้เธอเริ่มมีความคิดอยากจะได้ผู้ชายของหลานสาวมาเป็นลูกเขยของตัวเอง
เช้าวันถัดมา เสี่ยวเหลียนก็รีบตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะมาช่วยยายหลิวจัดเตรียมของไหว้ ปล่อยให้สามีนอนอยู่บนเตียงเมื่อคืนทั้งเธอและเขาต่างเปิดประสบการณ์และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำแต่ไม่กล้า เรียกได้ว่าอิ่มเอมทั้งสองฝ่าย แต่ต้องมาเสียใจทีหลังเพราะปวดระบมไปทั้งร่าง“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ออกมานอกห้องก็เห็นตะเกียงถูกจุดอยู่“อรุณสวัสดิ์” ยายหลิวทักทายหลานสาว“ทำไมไม่เปิดไฟละค จะเปิดจุดตะเกียงอีกทำไม” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเดินไปเปิดไฟในบ้านอีกด้วย“เห็นว่ายังเช้ามืดอยู่ กลัวว่าแสงไปจะเข้าไปในห้องรบกวนการนอนของผู้พัน”“เขาไม่เรื่องมากขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าให้กับความเอาใจใส่ของท่านที่มีต่อหลานเขย“แกน่ะไม่เคยคิดอะไรเผื่อใครต่างหากล่ะ ช่วงที่พวกเราเดินทางมาซูโจวผู้พันแทบไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะมัวแต่เฝ้าของ กลับมาเหนื่อยๆ ก็มาเจอเรื่อง
หลังจากที่ซ่งเฉวียพาแม่ของเขากลับไปแล้ว จางเสวี่ยอวี้ก็ตัดสินใจคุยเรื่องนี้กับภรรยาอย่างจริงจัง เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็ไปรวมกับสหายยังจุดนัดพบเนื่องจากว่าเขาเดินทางล่วงหน้ามาก่อนสหายหลายวัน คำนวณเวลาดูแล้วคงเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน สหายในกองทัพก็น่าจะเดินทางมาถึงยังจุดนัดพบ“วันนี้คุณใจร้อนเกินไปนะครับ” เขาพูดกับคนในอ้อมกอด ตอนนี้เธอกำลังอ้อนเขาเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน“ฉันรู้ค่ะ แต่บอกตามตรงว่าพอรู้ว่าย่าซ่งถูกทุบตี ภายในใจฉันก็รู้สึกไม่ยินยอม” เธอตอบอย่างเอาแต่ใจ“อืม แค่รอยฟันเด็ก ไม่ได้เหมารวมว่าแม่ของเขาจะเป็นคนทำนะครับ”“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆนะคะ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนั้นด้วย ทั้งยังเป็นใต้ร่มผ้าที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นอีกด้วย ถ้าวันนี้เราไม่เห็นหรือเรากลับมาช้ากว่านี้ ท่านจะมีชีรอดจนถึงสิ้นปีหรือเปล่า คนเต็มบ้านทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ถ้าท่านจะความจำเสื่อมฉันว่าก็
ตอนนี้เวลาหกโมงเย็น คนที่ออกไปหาปลาก็ทยอยกลับเข้าบ้าน รวมถึงคนบ้านซ่งด้วยเหมือนกัน ผู้นำหมู่บ้านกลับเข้าบ้านมาก่อนลูกชายไม่นาน วันนี้ท่านมีประชุมในตัวเมืองเลยกลับถึงบ้านช้ากว่าทุกวัน“แค่คนแก่คนเดียวทำไมคุณถึงดูแลไม่ได้ คนอื่นต้องลงเรือหาปลากันทั้งวัน ตากแดดตากลม นี่ให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลแม่แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้” พี่ใหญ่ซ่งด่ากราด เนื่องจากกลับมาถึงบ้านแล้วภรรยาบอกข่าวร้ายว่าแม่เขาหนีออกจากบ้านอีกแล้ว“ใจเย็นๆ น่าพี่ใหญ่” ซ่งเฉวียน ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ผิวคล้ำเพราะออกเรือหาปลาทุกวันตบไหล่พี่ชาย ด้วยกลัวว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับพี่สะใภ้ใหญ่“แกจะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้ยังไงเจ้าสาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนทำพลาด เดือนนี้กี่ครั้งแล้วที่แม่หายตัวไป”“เอาน่า ลองแยกกันหาดูอีกทีแล้วกันครับ พ่อเอาปลาไปขายให้ส่วนกลางก่อนที่ปลาจะตายแล้วไม่มีราคา” ซ่งเฉวียนบอกกับผู้เป็นพ่อ
ข่าวเรื่องสองยายหลานกลับบ้านมาตอนนี้ดังไปทั่วทั้งหมู่บ้านสายน้ำแล้ว เสี่ยวเหลียนไม่มีเวลาสนทนากับใคร เธอวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน หน้าที่รับแขกเลยเป็นของยายหลิวและหลานเขย“ไอหยา…วาสนาเสี่ยวเหลียนนี่ดีจริงๆ เลยนะ ได้สามีเป็นคนเมือง”“นั่นน่ะสิ แล้วนี่จะกลับมาอยู่ที่นี่กันแล้วเหรอ”“จะเป็นไปได้ยังไง มีผู้ชายที่ไหนแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงบ้างล่ะ”“แกลืมไปหรือเปล่า ก็ลูกสาวนางหลิวไง แม่เสี่ยวเหลียนก็แต่งพ่อเสี่ยวเหลียนเข้าบ้านมาไม่ใช่เหรอ”“ฮ่าๆ จริงสิเนอะ เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย”แต่แล้วรองเท้าจากที่ไหนไม่รู้ลอยมากลางวงสนทนา จางเสวี่ยอวี้ปฏิกิริยาเร็ว เขาใช้ถาดขึ้นมากันเอาไว้ ไม่ให้ยายหลิวถูกลูกหลง กลายเป็นว่ารองเท้ากระทบกับถาด ลอยไปฟาดปากคนที่หัวเราะอย่าพอเหมาะพอเจาะจนหุบปากไม่ทัน
ยายหลิวพอรู้ว่าหลานสาวและหลานเขยจะไปส่งที่ซูโจวก็ทั้งดีใจและเกรงใจ ดีใจที่จะได้พาหลานสาวกลับไปไหว้ บอกกล่าวบรรพบุรุษตระกูลหลิว และเกรงใจหลานเขย เพิ่งกลับมาจากทำงานต่างเมืองแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยก็ต้องออกเดินทางอีกแล้ว“ลำบากหลานเขยแล้ว” ยายหลิวพูดขึ้น ขณะที่หลานเขยช่วยท่านยกกระเป๋าขึ้นไปบนรถไฟ“ไม่เป็นไรครับ”จางเสวี่ยอวี้ยิ้มรับ วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคืนได้ปลดปล่อยเต็มที่หลังจากที่กักเก็บลูกๆ มานาน ต่างจากจ้าวเสี่ยวเหลียนที่แทบไม่อยากจะขยับตัว“ของีบหน่อยนะคะ” ขึ้นบนรถไฟได้ เธอก็หลับมาตลอดทางยายหลิวส่ายหน้าให้กับความขี้เซาของหลานสาว แต่เพราะเธอเป็นคนเมารถ ท่านเลยเข้าใจปว่าหลานสาวน่าจะเมารถไฟด้วยเหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเมาอย่างอื่นที่สามีมอบให้ต่างหากล่ะตลอดการเดินทาง จางเสวี่ยอวี้ดูแลสองยายหลานเป็นอย่างดี จองตั๋วนอนให้จะได้โดยสารสะดวก ทั้งยังเป็นคนดูแลความเรียบร้อย เรียกได้ว่ามีเขาอยู่ ยายหลิวสบายตลอดทั้งทางใช้เวลาเดินทางห้าวันก็มาถึงซูโจว ชายหนุ่มมองไปรอบๆ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสายน้ำ เนื่องจากมีคลองขนส่งตลอดทั้งเส้นทาง ผู้คนสัญจรทางเรือมากกว
จ้าวเสี่ยวเหลียนยื้อให้ยายอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงเดือนกันยายน อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อย ถึงเวลาที่ท่านจะต้องกลับซูโจวแล้วจริงๆ“ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยละคะ รอให้ถึงวันชาติฉันกับพี่เสวี่ยอวี้จะได้ไปส่งยายได้” หญิงสาวต่อรอง“กลับวันนี้หรือวันไหนก็เหมือนกัน จะยื้อต่อไปอีกทำไม” ยายหลิวส่ายหน้า มือก็สาละวนอยู่กับการจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางช่วงหลังแต่งงานเธอไม่ได้กลับบ้านเพื่อไปไหว้ครอบครัวเดิม เพราะครอบครัวของเธอก็คือยายหลิว ในเมื่อยายอยู่กับตัวเองที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องกลับส่วนหลิวซือเองก็ได้ติดอะไร ด้วยรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวเลือกอยู่ข้างใคร และเธอเองก็ถือว่าตัวเองทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวขึ้นเรือลำเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วเรียบร้อยจะว่าไปจ้าวเสี่ยวเหลียนเองก็ถือว่าโชคดีกว่ามาก แม้ว่าแรกเริ่มจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่หลังจากเลือกที่จะตกลงปลงใจกับจางเสวี่ยอวี้แล้ว ชีวิตของเธอเรียกได้ว่าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขณะที่สองยายหลานคุยกันอยู่นั้น จางเสวี่ยอวี้ก็กลับมาจากปฏิบัติงานนอกพื้นที่พอดี ที่ยายหลิวยอมใจอ่อนอยู่ต่อนานนับเดือนขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนหลานสาว