“โชคชะตาของคนเรานี่ก็นับว่าแปลกดีนะ พวกเธอไม่ได้เจอกันนานก็ควรไปสนทนากันเถอะ อย่ามัวแต่คุยกับคนแก่อย่างฉันเลย
เหยาเหยาสิ่งไหนปล่อยได้เธอก็ปล่อยเสียฉันอยากให้เธอมีความสุข เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป อีกอย่างนี่มันก็หลายปีผ่านมาแล้วเธอเองก็ควรจะมีความสุขของตนเองเสียที หาคนดี ๆ สักคนมาสร้างครอบครัวเถอะ
ฉันไม่อยากให้เธอจมอยู่กับความเศร้า สิ่งนี้ฉันเชื่อว่าอาตงก็คงไม่อยากเห็นเช่นกัน ในเรื่องเก่านั้นไม่ใช่ความผิดของเธอทั้งคู่ ดังนั้นปล่อยมันลงซะ” หญิงชรากล่าวเนิบช้ากับหญิงผู้ที่ตนเห็นว่าเป็นลูกอีกคนอย่างหวังดี
“ฉันจะพยายามค่ะ” ต้วนเฟิงเหยากล่าวพร้อมส่งยิ้มแสนเศร้าออกมา
เจียวเหมยผู้ยืนรออยู่วงนอกไม่เข้าใจถึงสิ่งที่คนทั้งสองสนทนากัน ทว่าหล่อนก็ไม่คิดถามเพราะเรื่องบางอย่างรอให้เจ้าตัวพูดออกมาเองจะดีกว่า
&nbs
พิธีศพของปู่ฟู่ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายตามที่เจ้าตัวเคยสั่งเอาไว้ ร่างอันไร้ลมหายใจในตอนนี้ได้ถูกฝังอยู่ภายในสุสานใหญ่ของเมือง ครอบครัวฟู่และแขกที่มาร่วมส่งวิญญาณของเขาต่างพากันยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับผู้จากไป ฟู่ซินอี๋ที่สนิทกับปู่ของตนมากที่สุดยืนนิ่งเงียบก้มหน้ามองดินที่ค่อย ๆ ฝังกลบโลงศพที่บรรจุร่างอันไร้วิญญาณของผู้เป็นปู่อยู่เนิ่นนาน จนทำให้คนในครอบครัวและสหายต่างพากันเป็นห่วง จนกระทั่งดินได้กลบฝังโลงศพสีดำที่ทำจากไม้อย่างประณีตจนมิด ฟู่ซินอี๋จึงแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าที่ในยามนี้แสงแดดเริ่มหุบลงเพราะมีกลุ่มเมฆเคลื่อนตัวมาบดบังแสงของดวงอาทิตย์ น้ำตาหลั่งรินออกมาจากดวงตาของเด็กหนุ่มก่อนที่เขาจะยกมือปาดมันทิ้งอย่างลวก ๆ&n
แสงสุดท้ายของวันเริ่มริบหรี่ สองพี่น้องกับสามสหายและหนึ่งเด็กชายก็เริ่มมองเห็นผู้ที่วิ่งเข้ามาในสนามเป็นกลุ่มแรกพวกเขาต่างเพ่งมองเป็นทางเดียวกันว่าคนที่ตนเห็นสามสี่คนนั้นจะใช่ผู้ที่เฝ้ารอหรือไม่ และเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่กำลังวิ่งอยู่ชัดเจนรอยยิ้มกว้างก็ปรากฎออกมาบนใบหน้าของทุกคนอย่างพร้อมเพรียง“พวกพี่ชายทำได้แล้วค่ะ” หลินซียกยิ้มทั้งปากและตากล่าวอย่างดีใจที่ความฝันของพี่ชายเป็นจริง “น้าของผมกับพี่ชายก็ทำได้เหมือนกัน พวกเขาเก่งมากเลยฮะ ปู่ฟู่จะต้องดีใจอย่างแน่นอน” ลู่อี้เองก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นเดียวกัน และแล้วเสียงประกาศอย่างเป็นทางการสำหรับการคัดเลือกก็ได้สิ้นสุดลง เช่นเดียวกับแสงสุดท้ายของวันได้จางหายไปกลายเป็นแสงของดวงจันทร์กลมโตเข้ามาแทนที่
จนวันเวลาผ่านไปถึงสามปีเต็มซึ่งก็ได้มีเหตุการณ์ที่ผิดไปจากเดิมมากมายหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่วันที่กลับมาจากงานเลี้ยงหลินซีก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในคณะนักดนตรีของโรงเรียน ที่เป็นเช่นนี้นั้นก็เพราะมีอาจารย์ท่านหนึ่งเห็นความสามารถของเธอจากงานเลี้ยงนั่นเอง ผู้ที่ดีใจเป็นอย่างมากก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นสหายรักอย่างซุนเหมียวที่ปรบมือแสดงออกว่าเธอแสนจะปลาบปลื้มที่หลินซีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในคณะดนตรีดั้งเดิมร่วมกับตน นับตั้งแต่นั้นมาหลินซีกับซุนเหมียวก็มักจะออกงานคู่กัน อยู่เป็นประจำ ทำให้เหล่าบรรดาพี่ชายทั้งหลายต้องคอยป้องกันผู้เป็นน้องจากเด็กหนุ่มมากหน้าหลายตาอยู่เป็นนิจจนกระทั่งพวกเขาจบการศึกษา และน้องน้อยได้อยู่ชั้นมัธยมปลายปีที่สอง ซึ่งทางโรงเรียน ไม่ค่อยให้เด็กในชั้นเรียนนี้ออกไปทำกิจกรรมมากนักเช่นที่ผ่าน ๆ มาเพราะเป็นช่วงที
ลู่หยางผู้กำลังก้มมองดูดอกไม้ช่อสวยในมือ หลังจากได้ยินการประกาศของพิธีกรเด็กหนุ่มร่างสูงรูปร่างสง่างามก็นำช่อดอกไม้ไปมอบให้กับหลินซีผู้ที่มองตนอย่างตกใจ “พี่เอามาจากไหนคะ” เด็กหญิงกระซิบถามเด็กหนุ่มเสียงเบาในขณะยื่นมือไปรับช่อดอกไม้แสนงามที่ควรจะเป็นของ เฟิงเหยา “เสี่ยวซีเก่งมากครับ พี่หามาจากแถวนี้แหละ” เด็กหนุ่มกล่าวชมพร้อมกับตอบออกมาตามตรง ต้วนเฟิงเหยามองการกระทำของเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายกับอดีตคนรักก็หัวเราะน้อย ๆ ออกมา ‘ช่างเหมือนกันเหลือเกิน แม้กระทั่งนิสัย’ หญิงงามหวนคิดถึงอดีตในวันวาน&n
“โชคชะตาของคนเรานี่ก็นับว่าแปลกดีนะ พวกเธอไม่ได้เจอกันนานก็ควรไปสนทนากันเถอะ อย่ามัวแต่คุยกับคนแก่อย่างฉันเลยเหยาเหยาสิ่งไหนปล่อยได้เธอก็ปล่อยเสียฉันอยากให้เธอมีความสุข เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป อีกอย่างนี่มันก็หลายปีผ่านมาแล้วเธอเองก็ควรจะมีความสุขของตนเองเสียที หาคนดี ๆ สักคนมาสร้างครอบครัวเถอะฉันไม่อยากให้เธอจมอยู่กับความเศร้า สิ่งนี้ฉันเชื่อว่าอาตงก็คงไม่อยากเห็นเช่นกัน ในเรื่องเก่านั้นไม่ใช่ความผิดของเธอทั้งคู่ ดังนั้นปล่อยมันลงซะ” หญิงชรากล่าวเนิบช้ากับหญิงผู้ที่ตนเห็นว่าเป็นลูกอีกคนอย่างหวังดี “ฉันจะพยายามค่ะ” ต้วนเฟิงเหยากล่าวพร้อมส่งยิ้มแสนเศร้าออกมา เจียวเหมยผู้ยืนรออยู่วงนอกไม่เข้าใจถึงสิ่งที่คนทั้งสองสนทนากัน ทว่าหล่อนก็ไม่คิดถามเพราะเรื่องบางอย่างรอให้เจ้าตัวพูดออกมาเองจะดีกว่า&nbs
ครานี้เหมือนจะได้ผลผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่จึงได้หันมาทิศทางที่ผู้สนทนากระซิบบอก “คนพวกนั้นเป็นใคร” หล่อนเปรยกับตัวเองเสียงเบาอย่างสงสัยระคนใคร่รู้ ซึ่งทำให้หล่อนไม่ทันได้เห็นผู้มาใหม่ “เธอไม่เข้าไปทักทายอดีตว่าที่พ่อแม่สามีหน่อยเหรอ” หญิงผู้มาใหม่กล่าวน้ำเสียงเย้ยหยัน “มันเป็นเรื่องของฉัน ไม่ใช่ธุระของหล่อน” ซูจินฮวาหันมาตามเสียงที่ได้ยินก่อนเค้นเสียงลอดไรฟันพยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้โมโหหญิงผู้เป็นคู่ปรับ “คงจะไม่มีหน้าเข้าไปสินะ ลูกของเขายังไม่ทันฝังหล่อนก็เปิดตัวสามีกับลูกใหม่อายุห่างกันเพียงหนึ่งปี อย่าคิดว่าเรื่องน่าละอายเช่นนี้จะปิดได้มิดล่ะ” หญิงคนนั้นกล่าวถากถางออกมาอีก&nb
ช่วงเย็นของวันต่อมา หลินกวงจึงได้พาสหายที่ตนบอกมาหาน้องชาย คนที่หลินกวงพามานั้นต่างได้รับบาดเจ็บไม่ว่าจะจากทั้งใบหน้า แขน และขา ทว่าพวกเขาไม่อยากเป็นภาระให้กับครอบครัวที่มีเพียงพ่อแม่ชรา ดังนั้นเมื่อได้ยินคำชวนของหัวหน้าเก่าคนทั้งสามจึงได้ตกลงที่จะตอบรับคำชวนนี้ อีกอย่างจากคนที่เคยมีความภาคภูมิใจในตัวเองต้องมากลายเป็นคนพิการทำให้พวกเขาทั้งสามต่างก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า จึงหวังว่าน้องชายของหัวหน้าจะให้โอกาสพวกตน “อาไท่ นี่คือคนที่พี่พามา แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ปกติไปบ้างแต่เรื่องความซื่อสัตย์และฝีมือพี่รับประกันได้” หลินกวงบอกกับน้องชาย “สวัสดีสหายทุกท่านครับ ผมหลินไท่น้องชายพี่กวง สหายมีชื่อว่าอะไรกันบ้าง” หลินไท่กล่าวทักทาย
เรื่องราวของทางครอบครัวนั้นไม่ได้มาถึงหูของครอบครัวบ้านหลินที่ในเวลานี้พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับการเก็บผลไม้ของตนหรือแม้ว่าพวกเขาจะรู้ คนในครอบครัวนี้ก็ไม่คิดจะใส่ใจเนื่องจากชีวิตของใครก็เป็นของมัน “เสี่ยวซี หลานไปพักสักหน่อยไหม” กู้หนิงเอ่ยถามหลานสาวที่ตอนนี้ใบหน้าแดงเรื่อหลังจากอยู่ท่ามกลางแดดจ้าเป็นเวลานาน “ไม่เป็นไรค่ะย่า หนูสบายดี” หลินซียกชายแขนเสื้อเช็ดหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อตอบออกมาโดยไม่คิดหยุดพัก นับตั้งแต่วันที่เด็กหญิงเร่งผลไม้ให้เติบโตทิ้งช่วงไปเพียงหนึ่งเดือนเด็ก ๆ บ้านหลินก็ต้องไปโรงเรียนในภาคการศึกษาใหม่ซึ่งในตอนนี้หลินซีอายุได้สิบสี่ปีเต็ม ห้าเด็กหนุ่มต่างก็สอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายตามที่พวกเขาตั้งใจไว้ได้อย่
หลังจากอาหารเย็นวันนั้นผ่านไปก็เข้าสู่วันปิดภาคการศึกษาของเด็ก ๆ โม่เซียงก็มาทำงานพิเศษอยู่ในร้านครอบครัวหลินเพื่อไม่ให้ตัวเองอยู่ว่าง ส่วนเด็กบ้านหลินนั้นตอนนี้กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการดูแลไม้ผลที่ได้เริ่มปลูกเมื่อช่วงต้นภาคเรียนในเทอมก่อน ทำให้หลินซีได้หลงลืมในเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้นที่เกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่ของตนไปชั่วคราว “หลินซีน้องกำลังทำอะไรอยู่” หลินชิวถามน้องสาวที่นั่งยองอยู่หน้าเถาองุ่น “ฉันกำลังคิดว่าหากมันโตได้เร็วก็คงดี จะได้ทันเก็บผลไปขายในช่วงวันปีใหม่” เด็กหญิงตอบพี่ชายในขณะที่มือของตนยังจับอยู่ที่ลำต้นอ่อนของเถาองุ่นด้านหน้า&nb