“แม่ครับ พ่อครับ น้องหายดีหรือยัง” น้ำแสงเริ่มแตกหนุ่มของเด็กชายรูปร่างผอมสูงวัยสิบห้าผู้มีดวงหน้าคมเข้มละม้ายคล้ายคนเป็นพ่อส่งเสียงถามผู้ที่อยู่ด้านในก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึง
“อาชุนมาดูน้องสิลูก พ่อกับแม่ไม่รู้ว่าน้องเป็นอะไรเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ถามอะไรก็ไม่ตอบ” ผู้เป็นพ่อกล่าวเรียกบุตรชายฝาแฝดคนโตอย่างจนใจ
“น้องเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมหรือครับ” น้ำเสียงร้อนใจของเด็กหนุ่มผู้มาใหม่อีกคนถามขึ้นทันที
“น้องรองใจเย็นก่อน เราค่อย ๆ ไปถามน้องสาวกัน” ผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดรีบปรามคนเป็นน้องที่เกิดห่างจากตนไม่กี่นาที
“ก็ผมเป็นห่วงน้องนี่” คนเป็นน้องหน้ามุ่ย
“พี่ใหญ่ พี่รอง” คนเป็นน้องสาวผละออกจากอ้อมกอดของพ่อแม่มองมาตามเสียงที่ตนได้ยิน ก่อนเรียกคนทั้งสองน้ำเสียงสะอื้นจากการร้องไห้อย่างหนัก
“เสี่ยวซี น้องเป็นอะไรใครรังแกบอกพี่มา” ผู้เป็นพี่ใหญ่รีบเดินเข้าไปหาพลางเอามือลูบผมผู้เป็นน้องถามเสียงอ่อน
เด็กหญิงเอาแต่ร้องไห้โฮส่ายหัวไปมาพลางจับมือของพี่ชายแน่น “น้องเล็กร้องไห้ทำไมครับ” เด็กหนุ่มผู้เป็นพี่รองเองก็เดินเข้าหาคนเป็นน้องถามไถ่ออกมาบ้าง
ทว่าคนเป็นน้องก็เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น “เลิกร้องนะครับ ตาบวมหมดแล้ว หากร้องมากกว่านี้น้องจะขี้เหร่เอานะ” หลินชิวโอบไหล่น้องสาวกล่าวกึ่งหยอกกึ่งปลอบ
“อ้าวเป็นอะไรกัน ทำไมไม่ออกมากินข้าว” น้ำเสียงแหบของหญิงผู้เป็นย่าเดินเข้ามาในห้องโดยที่ยังไม่รู้สถานการณ์ด้านใน
‘เสียงนี้ น้ำเสียงของคุณย่ากู้ไม่ใช่หรือ’ หลินซีผู้กำลังมองคนในครอบครัวคิด จากนั้นเธอก็หันไปมองยังต้นเสียงหน้าประตูห้อง
เด็กหญิงรีบลุกขึ้นยืนโดยที่ตัวเธอเซเล็กน้อย แต่ทว่าเจ้าตัวได้รับการช่วยเหลือจากพี่ชายทั้งสองทำให้เธอไม่ล้มลงกับพื้นก่อนที่เธอจะก้าวเท้าเดินไปยังหญิงชราและทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงออกมา
“คุณย่ากู้คะ ฉันขอโทษ ขอโทษที่ทำตัวไม่ดีฮือ ๆ ทั้ง ๆ ที่คุณย่าเป็นคนดีกว่าใคร ฉันขอโทษค่ะ” หลินซีกอดหญิงชราแน่น กล่าวออกมาทั้งน้ำตา
“เสี่ยวซีหลานเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ย่าไม่เคยโกรธหนูเลยนะลูก” กู้หนิงเอามือหยาบกร้านจากการทำงานหนักของตนตบหลังของเด็กหญิงอย่างปลอบโยน
“หากไม่ใช่เพราะหนูคุณย่าก็จะไม่ตรอมใจ เป็นเพราะหนูเชื่อคนผิด คุณย่าคะ หากว่ามีโอกาสอีกครั้งหนูจะทำตัวดีกับคุณย่า หนูจะไม่เชื่อคนอื่นอีกแล้ว” หลินซีผู้ที่ยังคิดว่าภาพที่ตนเห็นเป็นความฝันกล่าวความในใจของตนออกมา
ทำให้ผู้ที่ได้ยินต่างมีสีหน้ามึนงงไปตาม ๆ กันเนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กหญิงกล่าว ทว่าก็ไม่มีใครคิดขัดเพราะพวกเขาเพียงคิดว่าเด็กหญิงอาจจะฝันร้าย
“ย่าสบายดีนะลูก ย่าไม่ได้เป็นอะไรเลย หนูไม่ต้องเสียใจ ย่าไม่เคยโกรธหนูเลย” กู้หนิงแม้จะงุนงงทว่านางก็ยังคงปลอบเด็กหญิงต่อไป
หลินซีรับรู้ได้ถึงถ้อยคำของย่าทำให้เธอยกยิ้มออกมา ก่อนที่ตัวของเธอจะอ่อนยวบลงและกำลังจะลู่ลงไปกับพื้น
“เสี่ยวซี” หลินไท่รีบถลาเข้าไปรับร่างของลูกสาวทันทีเช่นเดียวกับกู้หนิงที่ยังไม่คลายอ้อมกอดของตนออก
“อาไท่ แม่ว่าพาเสี่ยวซีไปโรงพยาบาลเถอะ เพ้อขนาดนี้ อาการไม่น่าจะดี” หญิงชรากล่าวออกมาอย่างเป็นห่วง
“ครับ” หลินไท่รับคำกับแม่เลี้ยงของตนพร้อมกับรีบอุ้มร่างของบุตรสาวเดินไปที่รถโดยมีภรรยาบุตรชายทั้งสองเดินตามติดออกมาอย่างร้อนใจ
“ย่าครับ ผมจะไปกับพ่อนะครับ” หลินชิวบอกผู้เป็นย่าสีหน้ากังวล
“ไปเถอะ พวกเธอจะไปกันหมดก็ได้นะ ย่าอยู่รอปู่ได้” กู้หนิงกล่าวแววตาแฝงความเป็นห่วงในตัวหลานสาวคนเล็ก
แม้ใจอยากจะตามไปด้วยแต่ไม่อาจทำได้ เนื่องจากผู้เป็นสามีไปส่งมอบตำแหน่งในตัวอำเภอทำให้นางต้องอยู่ที่บ้านเพื่อ รอเขา
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนย่าเองครับ” หลินชุนผู้เป็นพี่ชายคนโตของน้องทั้งสองพูดขึ้น
“ดีแล้วลูก แม่กับพ่อจะได้ไม่เป็นห่วงทางนี้ แม่คะหากรู้อาการเสี่ยวซีแล้วฉันจะรีบกลับมานะคะ” เจียวเหมยบอกแม่เลี้ยงของสามีในระหว่างเดิน
เมื่อสี่คนพ่อแม่ลูกมาถึงโรงพยาบาลประจำอำเภอ หลังจากจอดรถได้พ่อของเด็กหญิงก็รีบอุ้มบุตรสาวไปทางห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทันที
“ช่วยลูกของผมด้วยครับ เธอเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้พอฟื้นขึ้นมาก็เพ้อจนตอนนี้เป็นลมสลบไป” ชายวัยสามสิบกว่าปีรีบบอกกับเจ้าหน้าที่อย่างรวดเร็ว
“ญาติออกไปรอด้านนอกก่อนนะคะ” น้ำเสียงของพยาบาลบอกกับชายผู้นั้นกับคนที่เดินตามมาอีกสองคน ซึ่งเธอคาดว่าน่าจะเป็นแม่และพี่น้องของเด็กหญิง
หมอเดินเข้ามาตรวจเด็กหญิงก่อนที่จะสั่งให้เธอนอนโรงพยาบาล คนในครอบครัวทั้งสามต่างมองไปยังร่างของเด็กหญิงที่นอนหลับเปลือกตาปิดสนิทใบหน้าซีดอย่างสงสาร
“ผมสงสารน้องสาวจังเลยครับ” พี่ชายคนรองบอกเมื่อเห็นว่าน้องผู้กลัวเจ็บมากที่สุดจะต้องเจาะหลังมือเพื่อให้น้ำเกลือ
“เป็นความผิดของฉันเองที่ไม่คิดว่าลูกจะมีอาการหนักมากขนาดนี้” คนเป็นแม่มีใบหน้าเศร้ากล่าวโทษตัวเอง
“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกครับ หากจะผิดก็ผิดกันทั้งหมดนั่นแหละ เพราะพวกเราต่างมัวยุ่งแต่กับงานทำให้ละเลยเสี่ยวซีไป” ชายวัยกลางคนกล่าวปลอบภรรยา
“ผมเองก็มัวแต่อ่านหนังสือ หากเมื่อวานแวะเข้ามาดูน้องสักหน่อยน้องสาวคงไม่อาการหนักถึงเพียงนี้” หลินชิวกล่าวออกมาสีหน้าเศร้าหมอง
หลินซีผู้ยังไม่รู้ว่าได้ทำให้ทุกคนเป็นห่วงอยู่นั้น ในตอนนี้เธอคล้ายกำลังเดินหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“ข้าได้พาเจ้าย้อนกลับมาตามที่คนผู้นั้นได้เอ่ยปากขอร้องเอาไว้แล้ว ในเมื่อเจ้าได้ชีวิตใหม่กลับคืนมาจงใช้ชีวิตให้ดีเล่า” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นกับหญิงสาวผู้ที่กำลังมองซ้ายแลขวาเพื่อหาเจ้าของเสียง
“เจ้ากลับไปได้แล้ว” น้ำเสียงนั้นกล่าวออกมาอีกครั้ง ทำให้ร่างกายของหลินซีที่กำลังหลับตาอยู่นั้นสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นด้วยความตกใจ
“เสี่ยวซี น้องฟื้นแล้ว” หลินชิวที่ฟุบอยู่ข้างเตียงน้องสาวผุดลุกขึ้นยืนเปิดปากอย่างดีใจ
“พี่รอง” น้ำเสียงแหบแห้งดังออกมาจากปากของเด็กหญิง
“น้องดื่มน้ำก่อน หิวไหม แม่กับพ่อกำลังไปหาซื้อของกินอีกเดี๋ยวก็คงมา” เด็กหนุ่มพูดขึ้น
ในขณะจับแก้วน้ำป้อนถึงปากผู้เป็นน้องที่กำลังมองจ้องใบหน้าเขาเหมือนคนไม่เคยเจอกันมานาน
“น้องสาวเป็นอะไร จ้องพี่เหมือนกับไม่เคยเห็น” คนเป็นพี่กล่าวกลั้วหัวเราะน้องน้อย
“พี่รอง เป็นพี่จริงอย่างนั้นหรือคะ” น้ำเสียงของคนถามดีขึ้นหลังจากได้ดื่มน้ำลงคอ
“ไม่ใช่พี่แล้วจะเป็นใครล่ะครับ น้องนอนหลับไปตั้งสามวันทำให้ทุกคนเป็นห่วงมาก หรือว่าน้องจำใครไม่ได้” จากที่เมื่อสักครู่ได้พูดจาหยอกน้องสาวตอนนี้สีหน้าของผู้เป็นพี่ได้แปรเปลี่ยนเป็นกังวลไปเสียแล้ว
“จะ.. จำได้ค่ะ ฉันแค่แกล้งพี่เพียงเท่านั้น” หลินซีกล่าวออกมาติดขัดก่อนที่เธอจะส่งรอยยิ้มบางออกมา
“เฮ้อ! พี่ค่อยโล่งใจหน่อย” ผู้เป็นพี่พูดขึ้นพร้อมกับเอามือลูบผมสั้นเท่าติ่งหูของน้องสาวอย่างอ่อนโยน
“พี่รองฉันอยากไปห้องน้ำค่ะ” คนเป็นน้องบอกพี่ชายพลางดึงผ้าห่มให้พ้นจากร่างของตนก่อนขยับกายเพื่อจะลงจากเตียง
“พี่ช่วยครับ” หลินชิวโอบบ่าเล็กของน้องสาวเพื่อหวังพยุงให้น้องน้อยยืนขึ้น
“ฉันเดินเองได้ค่ะ พี่รองไม่ต้องห่วง” หลินซีมองหน้าผู้เป็นพี่หลังจากยืนได้มั่นคงดีแล้ว
“ให้พี่พาไปไม่ดีเหรอ” ผู้เป็นพี่ถามอย่างลังเล
“ถ้าอย่างนั้นพี่แค่พยุงฉันไปหน้าห้องน้ำก็พอ” หลินซีกล่าวอ่อนใจให้กับความเป็นห่วงของพี่ชายที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาสักกี่ปีเขาก็ยังเป็นเช่นนี้
“ถึงห้องน้ำแล้ว พี่จะรออยู่ตรงนี้นะ” หลินชิวเปิดปากบอกน้องเมื่อถึงหน้าห้องน้ำภายในห้องผู้ป่วยส่วนตัว
หลินซีพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ซึ่งอากัปกิริยาของน้องสาวนั้นช่างดูผิดแผกไปจากแต่ก่อนค่อนข้างมาก หากแต่พี่ชายผู้รักน้องกลับไม่รู้สึกเอะใจใด ๆ ทั้งสิ้น
ภายในห้องน้ำ หลินซีจ้องมองตัวเองในกระจกขุ่นมัวที่ติดผนังด้วยสีหน้าตื่นตะลึงเธอขยับหัวส่ายไปมา
ภาพของคนที่สะท้อนออกมาก็ทำตามตนเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเธอจะทำท่าทางแบบไหนคนในกระจกก็ทำตาม
‘สิ่งที่เสียงลึกลับในฝันบอกเรานั้นเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย’ เด็กหญิงพูดพึมพำกับตัวเองในกระจก