ภายนอกห้องน้ำ ในขณะที่หลินชิวกำลังยืนรอน้องสาวอยู่หน้าประตู เสียงเคาะประตูหน้าห้องผู้ป่วยก็ดังขึ้นก่อนที่จะตามมาด้วยเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายกับตน เพียงแต่เด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีไฝใต้ตาซ้ายเช่นเดียวกับเขา
เด็กหนุ่มผู้มาใหม่กวาดตามองไปบนเตียงผู้ป่วยเห็นเพียงแต่ผ้าห่มยู่ยี่ไม่เป็นระเบียบ เขาจึงได้หันหน้ามามองน้องชายแววตาบ่งบอกถึงคำถาม
“น้องสาวอยู่ในห้องน้ำ” เด็กหนุ่มตอบออกมาทันทีเมื่อเห็นสายตาของคนที่เกิดก่อนตนห่างกันเพียงเล็กน้อย
“นานหรือยัง” เด็กหนุ่มถามอย่างนึกสงสัย
“สักพักแล้ว เอ๊ะ! เสี่ยวซีน้องเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้เป็นน้องตอบคำพร้อมกับนึกขึ้นมาได้
“นายนี่มัน เสี่ยวซีน้องเป็นอะไรหรือเปล่า” ผู้เป็นพี่ส่งสายตาเชิงตำหนิให้น้องชายพร้อมพยายามเปิดประตูในระหว่างนี้ก็ตะโกนเรียกน้องสาวไปด้วย
“ฉันสบายดีค่ะ พี่ใหญ่อย่าดุพี่รองเลยนะคะ” หลินซีกล่าวขึ้นก่อนที่เธอจะเปิดประตูออกมาหลังจากที่สงบสติอารมณ์ของตนลงแล้ว
“น้องไม่เป็นอะไรแน่นะครับ” พี่ใหญ่ของน้องทั้งสองถามไถ่เด็กหญิงอย่างเป็นห่วง
“น้องสบายดีค่ะ พี่ใหญ่ พี่รองฉัน รักพี่ทั้งสองคนนะคะ ต่อจากนี้ฉันจะเป็นฝ่ายปกป้องพี่รวมถึงพ่อ แม่ ปู่กับย่ากู้ด้วย” เด็กหญิงโอบกอดพี่ชายทั้งสองพร้อมกันเท่าที่ความยาวของแขนจะอำนวยกล่าวออกมาอย่างแน่วแน่
“เรื่องการปกป้องคนในครอบครัวต้องเป็นหน้าที่ของพี่ไม่ใช่เหรอ น้องแค่อยู่อย่างสุขสบายก็พอแล้ว” ผู้เป็นพี่ชายคนโตผู้ยังอยู่ในอ้อมแขนผอมบางของน้องสาวบอก
“ใช่ เรื่องเหล่านี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกพี่เอง” ผู้เป็นพี่รองก็กล่าวตามพี่ชายออกมาบ้าง
“ไม่ค่ะ ฉันจะไม่ยอมให้พี่ทั้งสองมาคอยปกป้องอยู่ฝ่ายเดียว ฉันเองก็จะปกป้องพี่และครอบครัวของเราด้วย” เด็กหญิงแย้งอย่างดื้อรั้น
“ตามใจน้องเถอะ หากน้องอยากปกป้องคนในครอบครัวจริง พี่ว่าตอนนี้น้องสาวต้องรักษาตัวให้หายป่วยก่อนดีไหมครับ” หลินชุนกล่าวหยอกน้องน้อยหลังจากที่เจ้าตัวคลายอ้อมกอดออกแล้ว
“ได้เลยค่ะ ฉันจะออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรง และอีกอย่างฉันต้องการจะเรียนหมัดมวยด้วย พวกพี่ต้องสอนฉันนะคะ” หลินซีกล่าวสีหน้าจริงจัง
แม้ว่าผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดจะรู้สึกแปลกใจในการเปลี่ยนแปลงของน้อง ทว่าพวกเขากลับไม่มีใครทักท้วงเนื่องจากสิ่งที่น้องต้องการทำนั้นมีแต่ผลดีไม่มีเสีย
การพูดคุยของสามพี่น้องนั้นดังออกไปถึงหน้าประตูห้องผู้ป่วยทำให้ผู้ที่กำลังจะเดินเข้ามาได้ยินการสนทนาด้วย
คนทั้งสองได้แต่มองหน้ากันด้วยรู้สึกแปลกใจในความเปลี่ยนแปลงของบุตรสาว
“คุณคะ ลูกเราดูเหมือนจะเปลี่ยนไปนะคุณว่าไหม หากเป็นแต่ก่อนไม่มีทางที่เธอคิดจะลุกออกมาออกกำลังกายหรอก ยิ่งเรื่องต่อยตียิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย” เจียวเหมยกล่าวกับสามีผู้ยืนอยู่ข้างกันสีหน้าแสดงความแปลกใจ
“ผมว่าอาจจะเป็นเพราะการป่วยครั้งนี้ก็เลยทำให้เธอคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองละมั้ง คุณอย่าคิดมากไปเลย พวกเราเข้าไปกันเถอะ” ผู้เป็นสามีกล่าวตามความคิดตนแล้วเขาก็เปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง
“แม่คะ พ่อคะ ฉันคิดถึงพ่อกับแม่จังเลยค่ะ” หลินซีเมื่อเห็นผู้เดินผ่านประตูเข้ามาเด็กหญิงผู้กำลังนั่งกินข้าวต้มอยู่ก็พูดขึ้นอย่างดีใจ
“ลูกสาวแม่ตื่นขึ้นมาก็ปากหวานเลยนะ ลูกรู้สึกเจ็บปวดตรงไหนอีกไหม แม่จะได้ตามหมอให้มาตรวจ” คนเป็นแม่เดินเข้าไปข้างเตียงของบุตรสาวเอามืออังหน้าผากเด็กผู้กึ่งนั่งกึ่งนอนพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ฉันสบายดีแล้วค่ะ แม่คะวันนี้หนูสามารถกลับบ้านได้หรือยัง หนูอยากเจอคุณปู่ คุณย่า” เด็กหญิงกล่าวเสียงอ้อนกับมารดาผู้ให้กำเนิด
“คุณย่าที่ลูกว่านี่หมายถึง” หลินไท่หยุดคำถามของตนพลางมองใบหน้าน้อยของลูกสาว
“หนูมีคุณย่าคนเดียวค่ะคือย่ากู้หนิง คนอื่นหนูไม่รู้จัก” หลินซีตอบบิดาเสียงหนักสีหน้าไม่มีร่องรอยแห่งความลังเลซึ่งเหนือความคาดหมายของทุกคน
ย้อนกลับไปยังครั้งอดีต ในตอนที่เด็กหญิงเริ่มรู้ความก็ได้มีหญิงวัยกลางคนแต่งตัวดีมาบอกว่าหล่อนเป็นย่าที่แท้จริงของเธอ
ในตอนนั้นหญิงคนนั้นมักจะนำชุดสวย ๆ และของเล่นมาให้เธออยู่เป็นประจำทำให้เธอหลงคิดว่าคนผู้นั้นเป็นคนดี
จนกระทั่งเธอเริ่มเรียนหนังสือหญิงคนนั้นก็มักจะพูดกรอกหูอยู่เสมอว่าย่ากู้เป็นคนไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ยกตัวอย่าง เช่น
“คนเป็นแม่เลี้ยงจะมาสู้กับย่าที่เป็นแม่จริง ๆ ของพ่อหนูได้ยังไง” ในตอนนั้นเธอจำประโยคนี้ได้อย่างแม่นยำทำให้เธอเริ่มไขว้เขว
เพราะในตอนนั้นย่ากู้มักจะบ่นเธออยู่เป็นนิจในเรื่องไม่ช่วยงานเฉกเช่นเด็กคนอื่น ทำให้เธอเริ่มคิดว่าสิ่งที่ออกมาจากปากของหญิงคนนั้นเป็นเรื่องจริง
แต่ที่ไหนได้ผลสุดท้ายเพราะความเชื่อแบบโง่งมไม่ลืมหูลืมตาทำให้เธอและครอบครัวต้องมาตกตาย
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะก่อนจะถึงปีใหม่ผู้หญิงคนนั้นต้องการให้เธอโน้มน้าวใจให้ผู้เป็นพ่อขายร้านค้าในตัวมณฑลซึ่งเป็นร้านค้าปัจจุบันของครอบครัวในตอนนี้แล้วไปเริ่มต้นในเมืองหลวง
ในตอนนั้นแม้ว่ากิจการในเมืองหลวงจะดีแต่ใครจะรู้ว่านั่นเป็นการกระทำที่เรียกว่าตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น[1]กัน
หลินซีนิ่งงันนึกถึงอดีตของตนพร้อมกับกำช้อนในมือแน่นด้วยความคับแค้นใจพลางคิดอย่างโกรธแค้น ‘คราวนี้อย่าหวังว่าฉันจะโง่เป็นครั้งที่สองอีก ครอบครัวนี้ฉันจะปกป้องเอง’
“เสี่ยวซี ลูกเป็นอะไร” หลินไท่เมื่อเห็นว่าลูกสาวนิ่งเงียบไปนานเขาจึงได้เอามือจับไปยังบ่าของบุตรสาว
หลินซีสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ “มะ..ไม่เป็นไรค่ะ” เด็กหญิงรีบตอบปฏิเสธ
“ไม่เป็นอะไรแน่นะ พ่อเห็นลูกนิ่งไปตั้งนาน ถ้าอย่างนั้นหนูก็กินข้าวต่อเถอะจะได้กินยา” ชายวัยกลางคนมองบุตรสาวอย่างห่วงใย
ซึ่งคนที่เหลือก็ต่างมองมาทางเด็กหญิงอย่างพร้อมเพรียง ทำให้หลินซีน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“ตั้งแต่ป่วยลูกร้องไห้บ่อยเกินไปแล้วนะ” เจียวเหมยกล่าวขึ้นในขณะเดียวกันก็นำผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้บุตรสาวไปด้วย
“หนูดีใจที่ได้กลับมาอยู่กับทุกคนแบบนี้อีก” หลินซีสูดน้ำมูกกล่าวออกมาน้ำเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจน
“ลูกพูดอะไรนะจ๊ะ” คนเป็นแม่ถามออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูดไม่ถนัดเท่าที่ควร
“ไม่มีอะไรค่ะ หนูแค่ดีใจที่ทุกคนเป็นห่วง” เด็กหญิงวัยสิบสามกล่าวพลางแลบลิ้นน้อย ๆ ออกมาอย่างทะเล้น
“ลูกนี่นะ อยากจะโดนมาเจาะมือให้น้ำเกลืออีกหรือไงถึงได้พูดแบบนี้” แม่กล่าวหยอกพร้อมยกยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าลูกสาวกลัวเข็มมากขนาดไหน
“เอ๋? หนูโดนให้น้ำเกลือด้วยหรือคะ” เด็กหญิงทำสีหน้าฉงนเมื่อมองมือเล็กของตนไม่เห็นรอยเข็มจากการให้น้ำเกลือ
“เขาเพิ่งจะมาถอดออกก่อนน้องจะตื่น” หลินชิวกล่าวออกมาเมื่อได้ยินคำถามของน้องสาว
“ดีจังเลยนะคะ ไม่อย่างนั้นหนูคงจะเจ็บแย่” เด็กหญิงแสร้งทำท่าขยาดเนื่องจากเธอเป็นคนกลัวเข็มและกลัวเจ็บจริง ทว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ร้ายมาเธอก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอีกเลย
“เสแสร้งไม่เนียนเลยน้องสาว ไม่กลัวเข็มแล้วก็ดีแต่พี่ก็ไม่อยากให้น้องป่วยอีก ดังนั้นจงเชื่อฟังอย่าได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าไม่เหมาะสมอีก” พี่ชายคนโตผู้รู้อากัปกิริยาของน้องกล่าวอย่างรู้ทัน
“ค่ะ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ดื้ออีกแล้วไม่ว่าจะกับปู่ ย่า พ่อ แม่ พี่ใหญ่ พี่รองด้วยฉันสัญญา” หลินซียกนิ้วขึ้นกล่าวคล้ายคำปฏิญาณ
“ให้มันจริงเถอะ ลูกกินข้าวรอแม่ก่อนนะ แม่กับพ่อจะไปถามหมอว่าวันนี้ลูกสามารถกับบ้านได้ไหม” เจียวเหมยพูดกับลูกสาวเชิงหมั่นไส้ก่อนจะเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง
หลินซีพยักหน้ารับเนื่องจากในปากของเธอนั้นเจ้าตัวกำลังเคี้ยวข้าวต้มอยู่จนแก้มตุ่ย
[1] ลำบากให้คนอื่นเปล่า ๆ