“ลูกรู้” หลินไท่มองลูกสาวถามไถ่อย่างสงสัย
“ค่ะ เอาไว้สักวันหนูจะเล่าให้ทุกคนฟัง” หลินซีตอบแบ่งรับแบ่งสู้
“พ่อจะรอวันนั้นนะลูกรัก” หลินไท่เอามือลูบผมบุตรสาวกล่าวอย่างอ่อนโยน
“พี่ด้วย” เด็กหนุ่มสองคนกล่าวออกมาพร้อมกัน
“ขอบคุณค่ะ” เด็กหญิงยิ้มตอบคนทั้งสามกล่าวอย่างซึ้งใจ
“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่” พ่อเป็นคนกล่าวปิดท้าย หลังจากนั้นสี่คนพ่อลูกก็พากันขึ้นรถเพื่อไปยังหน่วยจัดซื้อของรัฐทันที
เมื่อทั้งสี่คนเดินเข้ามาในหน่วยงานแห่งนี้ก็เห็นเพียงแต่ความเงียบไร้ซึ่งผู้คนทำให้พวกเขาต่างมองหน้ากันไปมาก่อนจะมีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง
“สวัสดีสหายไม่ทราบว่าพวกคุณมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” ชายวัยกลางคนท่าทางใจดีเดินเข้ามาทักทายพวกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“สวัสดีสหาย คือว่าผมต้องการมาติดต่อซื้ออาคารไม้หน้าโรงเรียนมัธยมแห่งที่หกครับ” หลินไท่เป็นคนกล่าวทักทายชายผู้นั้น
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเข้าไปนั่งสนทนากันด้านในเถอะครับ” ชายผู้นั้นกล่าวเชื้อเชิญ
หลังจากที่พ่อลูกสามกับเด็ก ๆ เดินตามชายวัยกลางคนผู้นั้นเข้ามาพวกเขาต่างก็ได้แนะนำตัวกัน
“อาคารหลังนั้นตอนนี้ว่างอยู่สองห้องติดกันครับไม่ทราบว่าสหายหลินต้องการทั้งสองห้องเลยหรือไม่” นายหน้านามฮัวไป่เอ่ยถามชายหนุ่มผู้อยู่ในวัยใกล้เคียงกันสีหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ราคาเท่าไหร่หรือครับหากว่าซื้อทั้งสองห้อง” หลินไท่ถามหลังจากนิ่งไปสักพักคล้ายกำลังชั่งใจ
“หากสหายหลินต้องการทั้งสองห้องผมจะคิดราคาให้พิเศษจากปกติห้องละหนึ่งพันหยวนผมจะคิดให้ในราคาหนึ่งพันแปดร้อยหยวนพร้อมทั้งจะจัดการค่าดำเนินการให้ทั้งหมดด้วย
หลินไท่ค่อนข้างคิดหนักในราคาดังกล่าวเนื่องจากเขายังไม่รู้ว่าตนเองจะดำเนินกิจการเป็นไปดั่งที่ตนหวังเอาไว้หรือไม่
“พ่อคะ หนูขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหมคะ” หลินซีดึงแขนเสื้อของพ่อก่อนจะกระซิบเสียงเบา
“ได้สิลูก สหายฮัวผมขอตัวสักครู่นะครับ” หลินไท่ตอบลูกสาวก่อนกล่าวกับชายเจ้าของห้องอย่างเกรงใจ
“สหายใช้ห้องนี้ได้ตามสบายเลยครับ ผมจะออกไปรอข้างนอกเอง” ฮัวไป่พูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืนและก้าวเท้าเดินออกมาจากห้องโดยที่หลินไท่ไม่ทันได้ปฏิเสธ
เมื่อสี่คนพ่อลูกอยู่กันตามลำพังแล้ว หลินซีก็กระซิบข้างหูผู้เป็นพ่อเสียงเบาด้วยกลัวว่าเจ้าหน้าที่ของสถานที่แห่งนี้จะมาได้ยินคำพูดของตน
“เรื่องจริงอย่างนั้นหรือลูก” หลินไท่ดวงตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินสิ่งที่บุตรสาวกล่าวว่าในอนาคตอาคารหลังนั้นจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากการเวนคืนแม้ว่าจะหลังจากนี้ไปอีกสิบปีก็ตาม
“พ่อคะ เบาเสียงลงหน่อยค่ะ หากมีคนได้ยินเขาจะไม่ขายให้เรานะคะ” หลินซีรีบบอกพ่อพร้อมกับมองซ้ายขวาไปด้วยอย่างระแวดระวัง
“พ่อจะไม่ถามว่าลูกรู้ได้ยังไงก็แล้วกัน เอาไว้ลูกพร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยเล่าออกมานะ ถ้าอย่างนั้นพ่อตัดสินใจซื้อทั้งสองห้องเลย” หลินไท่ผู้เชื่อมั่นในตัวบุตรสาวพูดขึ้นอย่างตัดสินใจดีแล้ว
“พ่อคะ หนูขอบคุณนะคะที่เชื่อหนู” หลินซีสบตาผู้เป็นพ่อกล่าวน้ำตารื้น
“อย่าร้องนะลูก ฮึบไว้พักนี้ลูกเอาแต่ร้องไห้พ่อเห็นแล้วใจคอไม่ดี” หลินไท่รีบห้ามลูกสาวสีหน้าร้อนรน
“หนูไม่ได้ร้องสักหน่อย” หลินซีเอามือปาดน้ำตากล่าวปฏิเสธหน้ามุ่ย
“ไม่ร้องก็ไม่ร้อง เสี่ยวชุนเดินไปตามสหายฮัวเข้ามาที” หลินไท่เอามือโยกหัวเล็กของบุตรสาวก่อนสั่งกับบุตรชายคนโต
หลินชุนลุกออกไปด้านนอกไม่นานเด็กหนุ่มก็เดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของสถานที่
หลังจากที่ฮัวไป่หย่อนก้นลงนั่งเรียบร้อยหลินไท่ก็กล่าวจุดประสงค์ของตน ทำให้ฮั่วไป่ผู้กำลังจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มวางแก้วลงทันทีด้วยความตกใจ
“สหายฮัวก่อนผมตัดสินใจซื้อผมรบกวนสหายช่วยพาผมไปดูห้องทั้งสองก่อนสักครั้งได้หรือไม่”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเลยครับ ผมยินดีพาไป ไม่ทราบว่าเราจะไปกันเลยไหม” ฮัวไป่กล่าวอย่างยินดีพลางคิดว่างานนี้เขาคงได้ค่านายหน้าไม่น้อย
“ไปเลยก็ได้ครับ” หลินไท่ไม่ขัดข้อง
ดังนั้นในตอนนี้คนทั้งห้าจึงได้มายืนอยู่หน้าอาคารไม้สองชั้นขนาดยี่สิบห้าตารางเมตร หากรวมสองห้องเข้าด้วยกันก็จะมีเนื้อที่ถึงห้าสิบตารางเมตรก็จัดว่ากว้างอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ด้านข้างเป็นร้านขายหนังสือพิมพ์ มีชายแก่ร่างเล็กเป็นผู้ขาย ซึ่งหลินซีคาดเดาว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าของร้าน
ส่วนห้องอีกด้านที่อยู่ข้างห้องที่พ่อจะซื้อมีป้ายติดให้คนเช่าเอาไว้ ซึ่งห้องที่เธอให้พ่อซื้อนั้นเป็นห้องตรงกลางสองห้องติดกัน
“เป็นยังไงบ้างครับ สหายหลินถูกใจหรือไม่” ฮัวไป่ถามชายหนุ่มลูกสามออกมาอีกครั้งด้วยใจที่คาดหวังในคำตอบ
“หากผมตกลงซื้อ ไม่ทราบว่าสหายฮัวพอจะลดราคาลงอีกสักหน่อยได้ไหม” หลินไท่ยกยิ้มถามคนตรงหน้า
“เรื่องนี้ผมสามารถลดได้อีกนิดหน่อยนะครับ เพราะหากมากกว่านี้เห็นว่าจะไม่ได้แล้ว” สีหน้าของฮัวไป่แสดงความลำบากใจ
“ไม่ทราบว่าได้อีกสักเท่าไหร่หรือครับ” หลินไท่รีบถามออกมาทันที
“ได้อีกร้อยหยวนก็แล้วกันครับ” ฮัวไป่กัดฟันตอบเนื่องจากราคานี้ก็ทำให้ส่วนแบ่งของเขาลดลงไปไม่น้อยทีเดียว
“ก็เหลือ 1700 หยวนสินะครับ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับไปทำสัญญากันเถอะ” หลินไท่รีบกล่าวออกมาอย่างใจร้อนด้วยกลัวว่าชายผู้เป็นนายหน้าจะเปลี่ยนใจ
“ได้ครับ” ฮัวไป่ยังคงยิ้มออกมาแม้ในใจอยากจะกรีดร้องก็ตาม
หลังจากจัดการเรื่องซื้อขายอาคารเสร็จสิ้น สี่คนพ่อลูกก็พากันมายังร้านอาหารรัฐเพื่อกินอาหารกลางวัน
หลินซีกวาดตามองสำรวจร้านอาหารจนทั่วอย่างสนใจ ก่อนที่เธอจะชี้ชวนพ่อให้ไปนั่งอยู่โต๊ะริมหน้าต่าง
“พ่อคะ พวกเราไปซื้อเนื้อหมูก่อนกลับบ้านด้วยนะคะ” เด็กหญิงกล่าวหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อย
“ได้สิลูก” หลินไท่ยิ้มตอบรับแม้ว่าเนื้อหมูจะราคาไม่ถูกเลยก็ตาม
“เราไปซื้อที่โรงฆ่าสัตว์เลยเถอะค่ะ จะได้ราคาถูกหน่อย” เด็กหญิงกล่าวออกมาอีกครั้งเนื่องจากเธออยากได้เครื่องในของมันด้วย ซึ่งตอนนี้ราคาเครื่องในค่อนข้างมีราคาถูก
“ลูกจะทนกลิ่นของมันได้หรือครับ” ผู้เป็นพ่อถามออกมาด้วยความเป็นห่วงซึ่งลูกชายทั้งสองต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้
“ไหวค่ะ” เด็กหญิงตอบรับสั้น ๆ ก่อนที่ทุกคนจะเงียบเสียงลงเมื่ออาหารที่สั่งไปได้มีพนักงานยกมาให้แล้ว
หลินซีจ้องมองอาหารด้านหน้าแล้วก็เห็นตัวเลขรวมถึงเครื่องปรุงที่อยู่ในจานอาหารแต่ละอย่าง พร้อมทั้งยังมีดาวอยู่เหนืออาหารด้วย ซึ่งอาหารเหล่านี้อยู่ที่สองดาวเหมือนกันทุกจานจากเต็มสิบดาว
เด็กหญิงเบิกตากว้างมองอาหารด้วยความแปลกใจพลางคิดขึ้นว่า ‘นี่ตาของเราเป็นอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้มีสิ่งแปลกประหลาดแบบนี้เกิดขึ้นอีก’
“น้องสาว หากน้องหิวก็กินเถอะ” หลินชิวบอกน้องผู้ที่มองอาหารไม่วางตา
“อะ! อ๋อค่ะ” หลินซีเงยหน้ามองผู้เป็นพี่ก่อนจะหยิบตะเกียบคีบเกี๊ยวน้ำเข้าปาก
‘ตัวแป้งใช้ได้ แต่ไส้น้อยไปหน่อย น้ำซุปก็จืดสนิท’ เด็กหญิงติสิ่งที่ตัวเองกินในใจ
จากนั้นเธอก็นำตะเกียบไปคีบหมูตุ๋นก่อนที่เด็กหญิงจะทำหน้ามุ่ยและไม่กินอาหารจานนี้อีก
สุดท้ายเด็กหญิงก็กินเพียงเกี๊ยวอย่างเดียว หลังจากคนทั้งสี่กินอาหารกันจนหมด ส่วนใหญ่พ่อกับพี่ทั้งสองเป็นคนกิน พวกเขาก็เดินทางไปยังโรงฆ่าสัตว์ตามที่เด็กหญิงต้องการ
เสียงกรีดร้องของหมูที่กำลังจะถูกเชือดแผดเสียงดังจนเสียดแทงใจของผู้ที่ได้ยินทำให้หลินซีถึงกับสะดุ้งตกใจ
“สหายต้องการอะไร” เสียงห้าวของชายวัยกลางคนรูปร่างใหญ่เอ่ยถามหลินไท่ออกมาอย่างแปลกใจที่เห็นคนทั้งสามกล้ามาถึงโรงเชือด
“ผมต้องการมาซื้อเนื้อหมูครับ เสี่ยวซีหนูต้องการส่วนไหนหรือลูก” หลินไท่ตอบคำชายคนนั้นก่อนจะหันมาถามบุตรสาว
“ส่วนเนื้อสามชั้นและก็ต้องการเครื่องในหมู รวมถึงไส้ของมันด้วยค่ะ” เด็กหญิงตอบออกไปทันที
“เนื้อสามชั้นต้องการกี่ชั่ง ส่วนเครื่องในวันนี้เราฆ่าหมูไปสามตัวจะเอาหมดไหมคิดราคาไม่กี่หยวนเอง” ชายผู้นั้นตอบพลางมองหน้าของเด็กหญิงอย่างแปลกใจ
“เอาเนื้อหมูสามชั่ง เครื่องในทั้งหมดเลยค่ะ ขอเศษเนื้อหมูติดมันด้วยอีกห้าชั่ง” หลินซีตอบในสิ่งที่ตัวเองต้องการออกไป
หลินไท่จ่ายเงินไปตามที่ลูกสาวต้องการ โดยผู้เป็นพ่อก็ไม่คิดถามอะไรให้มากความเพราะเชื่อว่าลูกสาวย่อมต้องมีเหตุผลของตน
หลังจากคนทั้งสี่ได้สิ่งของที่ต้องการมาแล้วพวกเขาก็พากันขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านของตน
“พ่อคะ ขอบคุณนะคะ” หลินซีสบตาผู้เป็นพ่อกล่าวออกมาอย่างซาบซึ้งที่ผู้เป็นพ่อไม่ถามอะไรให้เธอลำบากใจ
“ไม่เป็นไรลูก ขอแค่ลูกมีความสุขก็พอ” หลินไท่กล่าวขึ้นในขณะที่มือบังคับพวงมาลัยรถเพื่อพาลูกทั้งสามกลับบ้าน