ฮันน่าใช้ชีวิตในเมืองที่ไม่คุ้นเคยด้วยความเหงาและโดดเดี่ยว แต่โชคดีที่เธอมีแจนเป็นเพื่อนสนิทในโรงงาน ความไว้ใจจึงเริ่มขึ้นทีละเล็กละน้อยจากการพูดคุยและการใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
“ฮันน่า คืนนี้ไปกับฉันได้ไหม? มีหนุ่มนัดเจอที่ร้านอาหาร ไม่ไกลจากที่นี่หรอก เขาบอกว่าอยากเจอเธอด้วย” แจนพูดพร้อมส่งสายตาอ้อนวอน ในห้องน้ำหญิงที่ทั้งสองแอบมาพักเบรกช่วงบ่าย ฮันน่ามองแจนด้วยความลังเล เธอไม่ค่อยชอบพบปะคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่อยากทำให้แจนผิดหวัง
“แล้ว...เขาเป็นใครเหรอ?” ฮันน่าถามน้ำเสียงเรียบ แจนยิ้มทันทีราวกับรู้ว่าฮันน่าจะตอบตกลงในที่สุด
“แค่ไปสนุกๆ เองน่า ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้เธออึดอัด” แจนกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ฮันน่าพยักหน้าเบาๆ แม้ใจจะยังครุ่นคิด แต่เธอก็รู้สึกว่าแจนเป็นคนเดียวที่ทำให้ชีวิตในเมืองใหญ่นี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
คืนนั้นอาจเป็นอีกครั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอแน่นแฟ้นขึ้น หรืออาจนำไปสู่เรื่องราวใหม่ที่ฮันน่าเองก็ไม่คาดคิด...
หลังจากเลิกงาน ฮันน่าและแจนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกเดินทางไปยังจุดหมายที่อยู่ห่างออกไปโดยรถแท็กซี่
บาร์แห่งนี้ตั้งอยู่ในซอยเปลี่ยวลึกฮันน่าเดินตามแจนเข้าไปในร้านอย่างลังเล สายตาของเธอกวาดมองรอบๆ ด้วยความไม่มั่นใจ ร้านอาหารแห่งนี้ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่ไม่ชวนให้อุ่นใจนัก ผนังไม้เก่ามีคราบความชื้นให้เห็นเป็นจุดๆ โต๊ะและเก้าอี้ถูกจัดวางอย่างกระจัดกระจาย บางโต๊ะมีลูกค้านั่งอยู่ประปราย แต่ทุกคนดูเหมือนจะมีเรื่องราวของตัวเอง ไม่มีใครสนใจใครแจนเดินนำไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความคุ้นเคย รอยยิ้มที่ส่งให้พนักงานเป็นมิตรและสบายๆ ทำให้ฮันน่าอดสงสัยไม่ได้ว่าแจนมาอยู่ในที่แบบนี้บ่อยแค่ไหน พนักงานหญิงที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์หรี่ตามองแจนก่อนจะยิ้มตอบและพยักหน้าอย่างรู้กัน
“มาเลยฮันน่า ตรงนี้ไง” แจนเรียกพร้อมกับชี้ไปยังโต๊ะที่มุมร้าน โต๊ะนั้นตั้งอยู่ใกล้หน้าต่างเล็กๆ ซึ่งมองออกไปเห็นเพียงกำแพงอิฐด้านหลังอาคารอีกหลัง ฮันน่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินตามไปนั่งตรงข้ามกับแจน
บรรยากาศภายในร้านดูมืดสลัวจนต้องเพ่งมองเพื่อให้เห็นสิ่งรอบตัวได้ชัดเจน กลิ่นบุหรี่ที่คละคลุ้งผสมกับกลิ่นอาหารที่โชยออกมาจากครัวทำให้ฮันน่ารู้สึกมึนหัวเล็กน้อย เธอพยายามฝืนยิ้ม ขณะที่แจนกำลังดูเมนูอย่างสนุกสนาน
“แจน...เธอแน่ใจนะว่าที่นี่ปลอดภัย?” ฮันน่ากระซิบถามเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ แจนหัวเราะ ก่อนจะตอบ “ปลอดภัยสิ ไม่ต้องห่วงน่า คนที่นี่รู้จักฉันดี”คำพูดของแจนฟังดูมั่นใจ แต่ไม่ได้ช่วยปลอบประโลมฮันน่าได้เลย เธอกวาดสายตามองรอบๆ อีกครั้ง เห็นใบหน้าของคนแปลกหน้าที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน และความไม่สบายใจในใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
.......
สักพัก แจนลุกขึ้นจากโต๊ะ “เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ รอฉันอยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหนล่ะ” แจนพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ
ฮันน่าพยักหน้า แม้ใจหนึ่งอยากจะออกจากที่นี่ แต่คำพูดย้ำของแจนทำให้เธอนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เวลาผ่านไปทีละนาที ฮันน่ามองไปรอบร้านด้วยความกังวล เธอพยายามมองหานาฬิกา แต่พบว่าทุกอย่างรอบตัวดูเหมือนจะเดินช้าลงอย่างน่าประหลาด เธอรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในสถานที่ที่เธอไม่ควรอยู่...ใจหนึ่งเธอพยายามหาเหตุผลให้แจน บางทีแจนอาจมีเรื่องด่วนหรือกำลังจัดการอะไรบางอย่างอยู่ แต่เมื่อผ่านไปนานเข้า ความสงสัยเริ่มกลายเป็นความกระวนกระวาย
ฮันน่านั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะ ใจคอไม่ดีเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่แจนยังไม่กลับมา บรรยากาศรอบตัวดูเหมือนจะยิ่งอึดอัดขึ้นไปอีก เสียงพูดคุยของผู้คนในร้านเริ่มเบาลง ราวกับทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอ แม้ว่าเธอพยายามบอกตัวเองว่าเป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น
แก้วเครื่องดื่มตรงหน้าเหลืออยู่เพียงหยดเล็กๆ ฮันน่าจิบมันไปหนึ่งครั้งก่อนจะวางลง กลิ่นและรสชาติของแอลกอฮอล์ยังคงติดปลายลิ้น เธอไม่ใช่คนดื่มเลยไม่คุ้นเคยกับรสขมที่กัดลึกนี้ และมันทำให้เธอยิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงกระดิ่งที่ประตูร้านดังขึ้น พร้อมกับชายคนหนึ่งที่ผลักประตูเข้ามา ใบหน้าของเขาทำให้ฮันน่าหยุดชะงัก ราวกับเธอเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน แต่ไม่สามารถจำได้ชัดเจน เขาสวมชุดลำลองที่ดูเรียบง่ายหันมามองโต๊ะของเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะก้าวตรงมาที่โต๊ะนั้น ฮันน่าเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อเขาเข้ามาใกล้ จนกระทั่งเธอจำได้ว่าเขาคือหนึ่งในผู้จัดการของโรงงานที่เธอทำงานอยู่“ฮันน่า?” เสียงของเขาฟังดูนิ่งเรียบ แต่ในแววตากลับมีความสงสัยปะปนอยู่ เขายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะของเธอ สายตาจับจ้องมาที่เธอโดยตรง ฮันน่าพยักหน้าช้าๆ
“ค่ะ… คุณจอนห์” เธอพูดชื่อของเขาออกมาเบาๆ และพยายามบังคับตัวเองให้ยิ้ม แม้ว่าในใจจะรู้สึกอึดอัดก็ตาม
จอนห์มองไปรอบๆ ร้านด้วยสายตาเหมือนกำลังประเมินสถานการณ์ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลงที่โต๊ะเดียวกันโดยไม่ขออนุญาต ฮันน่าไม่กล้าปฏิเสธ แต่การนั่งอยู่ตรงข้ามเขาทำให้เธอยิ่งรู้สึกกดดัน
“ไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่” จอนห์พูด น้ำเสียงของเขาไม่แสดงความรู้สึกชัดเจน เธอเพียงพยักหน้าตอบเบาๆ
“ฉัน… มากับแจนค่ะ” เธอตอบเสียงเบา
จอนห์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ “แล้วแจนไปไหนล่ะ?”
คำถามนั้นทำให้ฮันน่าสะอึก เธอเหลือบมองไปทางห้องน้ำและตอบแบบตะกุกตะกัก “เธอ…ไปเข้าห้องน้ำค่ะ”
จอนห์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ที่นี่ดูไม่น่าไว้ใจ คุณรู้ไหม?” น้ำเสียงของเขาเหมือนจะตักเตือน
ฮันน่ารู้สึกเหมือนถูกจับผิด แม้จอนห์จะไม่ได้พูดอะไรที่รุนแรง แต่การที่เขามานั่งตรงหน้าและตั้งคำถามเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตามอง
“ฉันไม่รู้ค่ะ ฉันมาเพราะแจนชวน” เธอพยายามอธิบาย แต่จอนห์ยังคงมองเธอด้วยสายตาที่ทำให้เธอไม่สบายใจ
บรรยากาศที่อึดอัดในร้านดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และเมื่อแจนยังไม่กลับมา ฮันน่าเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ…
ถัาอ่านแล้วชอบฝากกดติดตาม เพิ่มลงคลังด้วยนะคะ เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรท์ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ
อาดัมเชื่อว่า... อาการป่วยของฮันน่าไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาเพียงอย่างเดียว มันต้องการบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือ ความรัก และ หัวใจ เขาเชื่ออย่างยิ่งว่าเขาจะเป็นคนที่เยียวยาเธอได้ ไม่ใช่ด้วยคำพูดหวานหูหรือคำสัญญาที่เลื่อนลอย แต่ด้วยการอยู่เคียงข้างเธอทุกวัน ทุกวินาที คอยประคองเธอขึ้นจากความเจ็บปวด ให้เธอเห็นว่าโลกใบนี้ยังมีที่ให้เธอยืนอยู่ได้ …………….. แสงแรกของพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามา กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกวางรออยู่กลางห้อง รอคอยการเดินทางครั้งสำคัญที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่ก่อนที่พวกเขาจะก้าวออกไปจากที่นี่ ฮันน่ามีบางสิ่งที่ต้องเผชิญ บางสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ประตูห้องน้ำเปิดกว้าง... ฮันน่ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ขวดยาในมือถูกกำไว้แน่นจนฝ่ามือสั่นระริก เธอค่อยๆ เปิดฝาขวด เทเม็ดยาสีขาวจำนวนมากลงบนมือ เธอจ้องมันนิ่งงัน หัวใจเต้นแรง ความลังเลและความกลัวตีตื้นขึ้นมา นี่คือสิ่งที่เธอพึ่งพามาตลอด… สิ่งที่ช่วยให้เธอหลับในคืนที่ฝันร้าย สิ่งที่กดเสียงในหัวให้เงียบลง แต่วันนี้ เธอจะปล่อยมันไป เธอหันมองอาดัม เขายืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของเขาส่งผ่านความมั่นใจและความเข้าใจ ไม่มี
สามเดือนผ่านไป.. ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ฮันน่าอาศัยอยู่กับอาดัม แม้จะยังต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอง และต้องทานยารักษาอาการทางจิตควบคู่ไปด้วย เธอก็ยังคงไปพบแพทย์ตามนัด โดยมีอาดัมคอยดูแลอยู่ไม่ห่างแม้กายจะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่หัวใจของเธอยังคงกลัวและหวาดระแวง... เงาของ "ลินลี่" และคำขู่ในวันนั้นยังตามหลอกหลอนเธอเสมอ ทำให้บางคืนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก พร้อมกับเสียงหายใจหอบหนักแต่ไม่ว่าเมื่อไรที่เธอตื่นขึ้นมา เธอมักจะพบว่า อาดัมยังอยู่ตรงนั้นเขาไม่เคยห่างไปไหนเธออาจจะยังลังเลและหวาดกลัว แต่สำหรับอาดัม… ยิ่งวันเวลาผ่านไป เขากลับแน่ใจมากขึ้น"เขารักเธอเข้าแล้ว..."กลางดึกที่เงียบสงัด ความเงียบโรยตัวไปทั่วทั้งบ้าน“กรี๊ดดด!!”เสียงกรีดร้องดังลั่น ทำลายความสงบในชั่วพริบตาฮันน่าสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายของเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำตาไหลอาบแก้มเป็นสาย ลมหายใจของเธอหอบหนักราวกับขาดอากาศ เงาของฝันร้ายยังคงตามหลอกหลอน ภาพเลือนรางจากอดีตซ้อนทับเข้ามาไม่หยุดเธอพยายามควบคุมตัวเอง สูดลมหายใจลึกแม้จะไม่ช่วยอะไรเลยเธอเอื้อมไปจับไม้พยุง ก่อนค่อยๆ พยุงร่างกายที่อ่อนแรงไปยังห้องน้ำ ก้า
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบาลอดผ่านหน้าต่างห้องของอาดัม เขายืนถือโทรศัพท์ไว้แนบหู ปลายสายนั้นคือวิน เพื่อนสนิทที่โทรมาจากต่างแดน เพราะหลังจากเหตุการ์ณ์ที่เกาะทองคำวันนั้นวินได้บินกลับไปอย่างกระทันหัน "นายแน่ใจเหรอ...อาดัม?" เสียงของวินชัดเจนผ่านใบหูของอาดัมในขณะที่ทั้งสองได้คุยกันมาได้สักพักแล้วจนมาถึงช่วงสุดท้ายก่อนจะวางสายลง “แน่ใจสิ…”อาดัมตอบกลับด้วยความมั่นใจขณะที่ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววความแน่วแน่มั่นคง ถึงแม้เขาจะรู้จักเธอแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม แต่บางอย่างในตัวเธอทำให้เขาตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล เมื่อวินได้ยินคำตอบที่ราวกลั่นออกมาจากหัวใจของอาดัมแล้ว เขาก็เอ่ยด้วยด้วยน้ำเสียงแห่งความยินดี “เมื่อนายมั่นใจและเชื่อมั่นแล้ว ฉันก็เชื่อในตัวนายเช่นกันว่านายนั้นทำได้ดี” วินตอบกลับแล้วหันมองดูเวลาบนข้อมือที่ใกล้เข้ากะทำงานไปทุกที“ ไว้คุยกันใหม่ ฉันต้องเข้าทำงานแล้ว ขอพระเจ้าอวยพร นายกับฮันน่า นะ" “ขอบใจมากเพื่อน ..วิน! แล้วเจอกัน ” .. ตุ๊ด.. ตุ๊ด.. ตุ๊ด..………….เมื่อวางสายไปแล้ว อาดัมถอนหายใจออกมาช้าๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี แสงดาวระยิบระยับสะท้อ
ยามหัวค่ำในห้องพักฟื้น อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ซ่านลึกเข้าไปถึงกระดูก ฮันน่า นอนนิ่งอยู่บนเตียง แม้ร่างกายยังคงเจ็บปวดจากบาดแผลที่ยังไม่หายดี แต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดจากร่างกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กัดกินเธออยู่ภายในความกลัว ที่เหมือนเงาดำซึ่งคืบคลานเข้ามารัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออกเธอรู้ดีว่าการหนีจาก ลินลี่ ไม่ใช่เรื่องง่าย... ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนอย่างเธอ นี่คือเมืองที่ลินลี่ครอบครองทุกสิ่งหญิงผู้มีอิทธิพล ผู้ทรงพลังยิ่งกว่ากฎหมายและความยุติธรรม ไม่มีมุมใดของเมืองนี้ที่จะหลบพ้นสายตาของเธอได้หัวใจของฮันน่าเต้นแรงในอก ดวงตาจ้องมองเงาตรงประตูหน้าห้องที่ดูเหมือนจะขยับเคลื่อนไหวตามเสียงฝีเท้าในจินตนาการของเธอ ทุกวินาทีราวกับกำลังรอคอยหายนะที่จะมาถึงโดยไม่มีวันเลี่ยงได้เธอไม่ได้หวังปาฏิหาริย์อีกต่อไป... ในเมืองของลินลี่ คนที่หนีไปได้ มีเพียงเงา หรือซากศพตึก... ตึก...ตึกเสียงรองเท้าส้นสูงดังสะท้อนก้องมาตามทางเดินยาวนอกห้อง ทุกก้าวการเดินนั้นราวกับกำลังย้ำเตือนถึงชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง ทุกก้าว ยิ่งกระชั้นชิด เสมือนเสียงของนาฬิกาเรือนใหญ่ที่น
ภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล บรรยากาศเงียบงัน แสงไฟนวลตาส่องกระทบผนังสีขาวสะอาดตา ทว่ากลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว อากาศอบอวลด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเจือจาง เตียงคนไข้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ม่านสีขาวกั้นเป็นสัดส่วน อาดัมก้าวเข้ามาอย่างช้าๆสายตาของเขามองไปยังหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ผ้าพันแผลสีขาวพันรอบศีรษะของเธอ และขาของเธอถูกดามไว้อย่างแน่นหนา ร่องรอยบาดแผลและรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นบนผิวกายซีดเซียว ร่างกายของเธอดูเปราะบางราวกับอาจแตกสลายได้ทุกเมื่อ เสียงลมหายใจแผ่วเบาของเธอยืนยันว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อาดัมรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ กดทับอยู่ในอก ราวกับแบกรับความรู้สึกผิดที่มองไม่เห็น เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ สายตาไล่มองไปตามร่างของเธอ พลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องเจ็บหนักขนาดนี้ เขารู้ว่าเธอรอดมาได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะผ่านมันไปได้โดยง่าย เสียงฝีเท้าของเขาเบาลงขณะก้าวถอยหลัง สุดท้ายอาดัมเลือกจะหมุนตัวเดินออกจากห้องแม้ความกังวลยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ... เขาตรงกลับมาบ้านที่อบอุ่นเสียงฝีเท้าดังก้องทั่วห้องโถ่งทางเด
กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เรือสปีดโบ๊ทแล่นตัดผ่านเกลียวคลื่นอย่างรวดเร็ว เสียงเครื่องยนต์คำรามกลบความเงียบของท้องฟ้ายามเย็นที่กำลังมืดลง อาดัมนั่งเงียบอยู่ข้างฮันน่า ดวงตาของเขามองไปยังใบหน้าของฮันน่าที่เปื้อนไปด้วยเลือด เธอดูอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงและในแววตาของเธอนั้นช่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“คุณ…เข้มแข็งไว้นะ” อาดัมเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ขณะที่นันย์ตาเขามองเธอราวกับต้องการส่งกำลังใจทั้งหมดที่เขามีให้กับเธอ ปลายนิ้วของเขาแตะลงบนแขนของเธอเบา ๆ สัมผัสแผ่วเบาที่ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้เผชิญกับสิ่งนี้เพียงลำพัง ฮันน่ามองอาดัม ก่อนพยักหน้าแม้ไม่มีคำพูดใดออกมา แต่แววตาของเธอนั้นรับรู้ถึงความห่วงใยของเขา และเธอจะพยายามอดทน ให้ถึ่งฝั่งเรือสปีดโบ๊ทเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้น ทุกวินาทีเต็มไปด้วยความเร่งด่วน ไฟสีแดงของรถพยาบาลที่จอดรออยู่ที่ท่าเรือสะท้อนบนผิวน้ำ ราวกับประกาศความสำคัญของชีวิตที่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายทันทีที่เรือจอดเทียบที่ท่า คนขับเรือและเจ้าหน้าที่รีบเข้ามาช่วยอาดัมพยุงฮันน่าขึ้นไปยังรถพยาบาล เสียงไซเรนดังก้องเมื่อรถพุ่งออกจากท่าเรือ