ณ.จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน
บรรยากาศยามเช้าของหมู่บ้านเงียบสงบ เสียงไก่ขันคลอไปกับเสียงพูดคุยในตลาดเล็กๆ ที่ผู้คนมารวมตัวกันจับจ่ายใช้สอยกันตามปกติ แต่ในวันนี้ มีภาพที่แตกต่างออกไป ชายหนุ่มสูงยาวคนหนึ่ง ใบหน้ามีแววตาใสซื่อ แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาคือ อาดัม หนุ่มน้อยลูกครึ่งที่พูดไทยไม่ชัดนัก มือข้างหนึ่งถือหนังสือพระธรรม ขณะที่อีกข้างหนึ่งโบกเรียกความสนใจจากผู้คน“คุณ...อยากขึ้นสวรรค์ไหม? พูดตามผม...”
อาดัม หนุ่มน้อยใบหน้าสดใสที่สะท้อนความมุ่งมั่น ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน น้ำเสียงของเขาแฝงความกระตือรือร้น แม้จะติดสำเนียงแปลกๆ แต่ความจริงใจที่แสดงออกทางแววตาและน้ำเสียงของเขา ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนบางคนหยุดเดิน และเริ่มมองไปที่เขาด้วยความสนใจ
“พูดตามผมครับ...” เขากล่าวต่อ พลางหยิบหนังสือเล่มเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า “บนโลกนี้ เราอาจมีทั้งความสุขและความทุกข์ แต่บนสวรรค์ จะมีแต่ความสุขที่สมบูรณ์แบบ...”
ผู้คนเริ่มรุมล้อมรอบตัวเขา บางคนยิ้มอย่างอ่อนโยน บางคนมองด้วยความสงสัย แต่ไม่มีใครเดินหนีไปไกล อาดัมไม่ใช่เพียงแค่พูด แต่แววตาและท่าทางของเขาบอกชัดว่าเขาเชื่อมั่นในสิ่งที่เขากำลังสื่อสาร ความบริสุทธิ์ในคำพูดของเขาทำให้เกิดแรงดึงดูดที่ยากจะอธิบาย
เคียงข้างเขาคือ ชาลี บิดาผู้เป็นทั้งที่พึ่งทางกายและใจของอาดัม ทั้งสองเดินแจกจ่ายหนังสือพระธรรมให้กับชาวบ้านในตลาด เล่าเรื่องราวของความเชื่อและชีวิตที่พวกเขาเติบโตมา
ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ได้เป็นแค่พ่อกับลูก แต่คือการเป็นคู่หูที่สนับสนุนกันและกันในการทำงานที่ยิ่งใหญ่ อาดัมในวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และจริงใจ กลายเป็นสื่อกลางที่ช่วยสร้างความเชื่อมโยงกับผู้คนได้ง่ายดาย ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความจริงใจและความเมตตา ผู้คนจึงพร้อมเปิดใจรับฟังเรื่องราวจากเขา แต่เมื่อเว้นว่างจากการเผยแพร่ความเชื่อ อาดัมคือชายหนุ่มที่มีเสียงเพลงดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เขาและชาลี ทั้งสองมักจะออกตระเวนร้องเพลงตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานวัด งานตลาด เวทีชุมชน หรือแม้กระทั่งในผับและบาร์เล็กๆในเมือง ที่ว่าจ้างพวกเขาไปสร้างความบันเทิงอาดัมใช้กีตาร์โปร่งเก่าๆ ที่มีร่องรอยการใช้งานมานาน ตัวกีตาร์นั้นเคยเป็นของชาลีเมื่อครั้งยังหนุ่ม และทุกครั้งที่เขาเล่น เสียงที่ออกมานั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความหมาย เขาเคาะกีตาร์จังหวะเบาๆ ขณะเปลี่ยนคอร์ด เสียงเพลงที่เขาร้องมักจะสะท้อนถึงชีวิต ความหวัง และความเรียบง่ายในแบบที่คนฟังสัมผัสได้
ในผับเล็กๆ ที่แสงไฟสลัว อาดัมขึ้นเวทีพร้อมชาลี เขาไม่ใช่นักดนตรีมืออาชีพ แต่ทุกครั้งที่เขาร้องเพลง ความจริงใจที่ส่งผ่านน้ำเสียงของเขาก็มักจะสะกดให้ผู้คนหยุดฟัง แม้กระทั่งในบาร์ที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและแก้วกระทบกัน เมื่อกีตาร์ตัวเก่าของเขาดังขึ้น เสียงเพลงของอาดัมก็สร้างความเงียบงันชั่วครู่ ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่หนุ่มน้อยลูกครึ่งผู้นี้
ชาลีมองลูกชายที่เล่นเพลงด้วยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า เขารู้ดีว่า อาดัมไม่ใช่แค่เล่นเพลงเพื่อคนอื่น แต่เขากำลังใช้ดนตรีบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง และทุกครั้งที่เสียงปรบมือดังขึ้นหลังจบเพลง มันไม่ใช่แค่ความสำเร็จของอาดัม แต่ยังเป็นความภาคภูมิใจของชาลี ที่ได้เห็นความรักในดนตรีที่เขาสอนลูกชาย กำลังเบ่งบานและเดินหน้าไปในโลกกว้าง
"ลูกทำได้ดีแล้วนะ" ชาลีพูดกับอาดัมขณะเก็บกีตาร์หลังการแสดงจบลง แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง แต่หัวใจของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความหวังว่า วันหนึ่ง เสียงเพลงของพวกเขาอาจจะพาพวกเขาไปไกลกว่านี้...
วันหนึ่งหลังจากการแสดงเพลงจบลงในงานชุมชนเล็กๆ ผู้คนยังคงยืนปรบมือพร้อมรอยยิ้มให้กับอาดัมและชาลี เสียงเพลงของพวกเขาไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิง แต่ยังเข้าถึงหัวใจของทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้อาดัมเก็บกีตาร์โปร่งตัวเก่าลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ขณะที่สายตาของเขามองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มทองในยามเย็น
เขาหันไปหาพ่อที่กำลังเก็บของด้วยความตั้งใจ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความฝันและความหวัง"พ่อครับ..." อาดัมเริ่มต้นพูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ซ่อนอยู่ “เราจะไปกรุงเทพกัน ไปออดิชันที่ค่ายใหญ่แห่งหนึ่ง!”
ชาลีชะงักทันที มือที่ถือกระเป๋ากีตาร์ค้างอยู่กลางอากาศ เขาหันมามองลูกชายด้วยแววตาที่ผสมปนเประหว่างความประหลาดใจและความกังวล "กรุงเทพฯ หรือลูก? มันใหญ่โตและไม่ง่ายเลยนะ ที่นั่นไม่ได้เหมือนหมู่บ้านเล็กๆ ของเรา"“เพื่อนของผมที่ย้ายไปกรุงเทพก่อนหน้านี้ครับ เขาแนะนำผมให้ลองไปออดิชันที่ค่ายเพลงใหญ่แห่งหนึ่ง เพื่อนบอกว่าผมมีโอกาส ผมอยากลองดูจริงๆ พ่อ!” อาดัมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง
ดวงตาของอาดัมเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เขาพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ "พ่อ...นี่อาจเป็นโอกาสเดียวของเรา ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ผมอยากลอง ผมอยากให้เสียงเพลงของผมไปไกลกว่านี้ ไปถึงคนที่เราไม่เคยพบเจอ"ชาลีมองลูกชายของเขาอย่างพิจารณา ลึกๆ ในใจ เขารู้ดีว่าลูกชายมีพรสวรรค์ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ว่าการเดินทางไปกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน "ลูกแน่ใจแล้วใช่ไหม ว่าพร้อมเจอกับสิ่งที่เราไม่เคยเจอ?"
อาดัมพยักหน้า ดวงตายังคงฉายแววมั่นคง "ใช่ครับพ่อ ผมแน่ใจ"
ชาลีถอนหายใจเบาๆ เขารู้ว่าความฝันของลูกชายสำคัญ และในฐานะพ่อ เขาพร้อมจะเป็นแรงสนับสนุนที่ดีที่สุด เขาพยักหน้าช้าๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "ถ้าลูกมั่นใจ พ่อก็จะไปกับลูก... เราจะลองกันดู"
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งสำคัญในชีวิตของอาดัม เส้นทางที่เต็มไปด้วยความหวัง ความฝัน และความท้าทาย หนุ่มน้อยจากหมู่บ้านเล็กๆ ทางภาคอีสาน พร้อมที่จะเผชิญโลกกว้างด้วยเสียงเพลงที่เขารักและพรสวรรค์ที่เขาเชื่อว่าจะเปลี่ยนชีวิตของเขาและครอบครัว..
อาดัมเชื่อว่า... อาการป่วยของฮันน่าไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาเพียงอย่างเดียว มันต้องการบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือ ความรัก และ หัวใจ เขาเชื่ออย่างยิ่งว่าเขาจะเป็นคนที่เยียวยาเธอได้ ไม่ใช่ด้วยคำพูดหวานหูหรือคำสัญญาที่เลื่อนลอย แต่ด้วยการอยู่เคียงข้างเธอทุกวัน ทุกวินาที คอยประคองเธอขึ้นจากความเจ็บปวด ให้เธอเห็นว่าโลกใบนี้ยังมีที่ให้เธอยืนอยู่ได้ …………….. แสงแรกของพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามา กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกวางรออยู่กลางห้อง รอคอยการเดินทางครั้งสำคัญที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่ก่อนที่พวกเขาจะก้าวออกไปจากที่นี่ ฮันน่ามีบางสิ่งที่ต้องเผชิญ บางสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ประตูห้องน้ำเปิดกว้าง... ฮันน่ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ขวดยาในมือถูกกำไว้แน่นจนฝ่ามือสั่นระริก เธอค่อยๆ เปิดฝาขวด เทเม็ดยาสีขาวจำนวนมากลงบนมือ เธอจ้องมันนิ่งงัน หัวใจเต้นแรง ความลังเลและความกลัวตีตื้นขึ้นมา นี่คือสิ่งที่เธอพึ่งพามาตลอด… สิ่งที่ช่วยให้เธอหลับในคืนที่ฝันร้าย สิ่งที่กดเสียงในหัวให้เงียบลง แต่วันนี้ เธอจะปล่อยมันไป เธอหันมองอาดัม เขายืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของเขาส่งผ่านความมั่นใจและความเข้าใจ ไม่มี
สามเดือนผ่านไป.. ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ฮันน่าอาศัยอยู่กับอาดัม แม้จะยังต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอง และต้องทานยารักษาอาการทางจิตควบคู่ไปด้วย เธอก็ยังคงไปพบแพทย์ตามนัด โดยมีอาดัมคอยดูแลอยู่ไม่ห่างแม้กายจะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่หัวใจของเธอยังคงกลัวและหวาดระแวง... เงาของ "ลินลี่" และคำขู่ในวันนั้นยังตามหลอกหลอนเธอเสมอ ทำให้บางคืนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก พร้อมกับเสียงหายใจหอบหนักแต่ไม่ว่าเมื่อไรที่เธอตื่นขึ้นมา เธอมักจะพบว่า อาดัมยังอยู่ตรงนั้นเขาไม่เคยห่างไปไหนเธออาจจะยังลังเลและหวาดกลัว แต่สำหรับอาดัม… ยิ่งวันเวลาผ่านไป เขากลับแน่ใจมากขึ้น"เขารักเธอเข้าแล้ว..."กลางดึกที่เงียบสงัด ความเงียบโรยตัวไปทั่วทั้งบ้าน“กรี๊ดดด!!”เสียงกรีดร้องดังลั่น ทำลายความสงบในชั่วพริบตาฮันน่าสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายของเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำตาไหลอาบแก้มเป็นสาย ลมหายใจของเธอหอบหนักราวกับขาดอากาศ เงาของฝันร้ายยังคงตามหลอกหลอน ภาพเลือนรางจากอดีตซ้อนทับเข้ามาไม่หยุดเธอพยายามควบคุมตัวเอง สูดลมหายใจลึกแม้จะไม่ช่วยอะไรเลยเธอเอื้อมไปจับไม้พยุง ก่อนค่อยๆ พยุงร่างกายที่อ่อนแรงไปยังห้องน้ำ ก้า
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบาลอดผ่านหน้าต่างห้องของอาดัม เขายืนถือโทรศัพท์ไว้แนบหู ปลายสายนั้นคือวิน เพื่อนสนิทที่โทรมาจากต่างแดน เพราะหลังจากเหตุการ์ณ์ที่เกาะทองคำวันนั้นวินได้บินกลับไปอย่างกระทันหัน "นายแน่ใจเหรอ...อาดัม?" เสียงของวินชัดเจนผ่านใบหูของอาดัมในขณะที่ทั้งสองได้คุยกันมาได้สักพักแล้วจนมาถึงช่วงสุดท้ายก่อนจะวางสายลง “แน่ใจสิ…”อาดัมตอบกลับด้วยความมั่นใจขณะที่ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววความแน่วแน่มั่นคง ถึงแม้เขาจะรู้จักเธอแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม แต่บางอย่างในตัวเธอทำให้เขาตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล เมื่อวินได้ยินคำตอบที่ราวกลั่นออกมาจากหัวใจของอาดัมแล้ว เขาก็เอ่ยด้วยด้วยน้ำเสียงแห่งความยินดี “เมื่อนายมั่นใจและเชื่อมั่นแล้ว ฉันก็เชื่อในตัวนายเช่นกันว่านายนั้นทำได้ดี” วินตอบกลับแล้วหันมองดูเวลาบนข้อมือที่ใกล้เข้ากะทำงานไปทุกที“ ไว้คุยกันใหม่ ฉันต้องเข้าทำงานแล้ว ขอพระเจ้าอวยพร นายกับฮันน่า นะ" “ขอบใจมากเพื่อน ..วิน! แล้วเจอกัน ” .. ตุ๊ด.. ตุ๊ด.. ตุ๊ด..………….เมื่อวางสายไปแล้ว อาดัมถอนหายใจออกมาช้าๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี แสงดาวระยิบระยับสะท้อ
ยามหัวค่ำในห้องพักฟื้น อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ซ่านลึกเข้าไปถึงกระดูก ฮันน่า นอนนิ่งอยู่บนเตียง แม้ร่างกายยังคงเจ็บปวดจากบาดแผลที่ยังไม่หายดี แต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดจากร่างกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กัดกินเธออยู่ภายในความกลัว ที่เหมือนเงาดำซึ่งคืบคลานเข้ามารัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออกเธอรู้ดีว่าการหนีจาก ลินลี่ ไม่ใช่เรื่องง่าย... ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนอย่างเธอ นี่คือเมืองที่ลินลี่ครอบครองทุกสิ่งหญิงผู้มีอิทธิพล ผู้ทรงพลังยิ่งกว่ากฎหมายและความยุติธรรม ไม่มีมุมใดของเมืองนี้ที่จะหลบพ้นสายตาของเธอได้หัวใจของฮันน่าเต้นแรงในอก ดวงตาจ้องมองเงาตรงประตูหน้าห้องที่ดูเหมือนจะขยับเคลื่อนไหวตามเสียงฝีเท้าในจินตนาการของเธอ ทุกวินาทีราวกับกำลังรอคอยหายนะที่จะมาถึงโดยไม่มีวันเลี่ยงได้เธอไม่ได้หวังปาฏิหาริย์อีกต่อไป... ในเมืองของลินลี่ คนที่หนีไปได้ มีเพียงเงา หรือซากศพตึก... ตึก...ตึกเสียงรองเท้าส้นสูงดังสะท้อนก้องมาตามทางเดินยาวนอกห้อง ทุกก้าวการเดินนั้นราวกับกำลังย้ำเตือนถึงชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง ทุกก้าว ยิ่งกระชั้นชิด เสมือนเสียงของนาฬิกาเรือนใหญ่ที่น
ภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล บรรยากาศเงียบงัน แสงไฟนวลตาส่องกระทบผนังสีขาวสะอาดตา ทว่ากลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว อากาศอบอวลด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเจือจาง เตียงคนไข้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ม่านสีขาวกั้นเป็นสัดส่วน อาดัมก้าวเข้ามาอย่างช้าๆสายตาของเขามองไปยังหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ผ้าพันแผลสีขาวพันรอบศีรษะของเธอ และขาของเธอถูกดามไว้อย่างแน่นหนา ร่องรอยบาดแผลและรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นบนผิวกายซีดเซียว ร่างกายของเธอดูเปราะบางราวกับอาจแตกสลายได้ทุกเมื่อ เสียงลมหายใจแผ่วเบาของเธอยืนยันว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อาดัมรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ กดทับอยู่ในอก ราวกับแบกรับความรู้สึกผิดที่มองไม่เห็น เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ สายตาไล่มองไปตามร่างของเธอ พลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องเจ็บหนักขนาดนี้ เขารู้ว่าเธอรอดมาได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะผ่านมันไปได้โดยง่าย เสียงฝีเท้าของเขาเบาลงขณะก้าวถอยหลัง สุดท้ายอาดัมเลือกจะหมุนตัวเดินออกจากห้องแม้ความกังวลยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ... เขาตรงกลับมาบ้านที่อบอุ่นเสียงฝีเท้าดังก้องทั่วห้องโถ่งทางเด
กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เรือสปีดโบ๊ทแล่นตัดผ่านเกลียวคลื่นอย่างรวดเร็ว เสียงเครื่องยนต์คำรามกลบความเงียบของท้องฟ้ายามเย็นที่กำลังมืดลง อาดัมนั่งเงียบอยู่ข้างฮันน่า ดวงตาของเขามองไปยังใบหน้าของฮันน่าที่เปื้อนไปด้วยเลือด เธอดูอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงและในแววตาของเธอนั้นช่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“คุณ…เข้มแข็งไว้นะ” อาดัมเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ขณะที่นันย์ตาเขามองเธอราวกับต้องการส่งกำลังใจทั้งหมดที่เขามีให้กับเธอ ปลายนิ้วของเขาแตะลงบนแขนของเธอเบา ๆ สัมผัสแผ่วเบาที่ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้เผชิญกับสิ่งนี้เพียงลำพัง ฮันน่ามองอาดัม ก่อนพยักหน้าแม้ไม่มีคำพูดใดออกมา แต่แววตาของเธอนั้นรับรู้ถึงความห่วงใยของเขา และเธอจะพยายามอดทน ให้ถึ่งฝั่งเรือสปีดโบ๊ทเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้น ทุกวินาทีเต็มไปด้วยความเร่งด่วน ไฟสีแดงของรถพยาบาลที่จอดรออยู่ที่ท่าเรือสะท้อนบนผิวน้ำ ราวกับประกาศความสำคัญของชีวิตที่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายทันทีที่เรือจอดเทียบที่ท่า คนขับเรือและเจ้าหน้าที่รีบเข้ามาช่วยอาดัมพยุงฮันน่าขึ้นไปยังรถพยาบาล เสียงไซเรนดังก้องเมื่อรถพุ่งออกจากท่าเรือ