Masukในขณะที่คิชิโระกำลังตั้งรับการโจมตีจากเงาปีศาจที่แตกตัว เงาร่างใหญ่ตัวเดิมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งจากด้านหลังของเขา มันยกแขนยาวเรียวขึ้นเตรียมจะจู่โจม ฮารุกะเห็นมันพอดี เธอรีบมองไปที่นาฬิกาอาคมของเธอ หน้าปัดของมันสว่างวาบขึ้นมาเป็นสีแดงสด ตัวเลขดิจิทัลแสดงระยะห่าง 5 เมตรพร้อมกับลูกศรชี้ไปทางด้านหลังของคิชิโระ
"คิชิโระ! ข้างหลังนาย! 5 เมตร!" ฮารุกะตะโกนเตือนสุดเสียง คิชิโระได้ยินเสียงของฮารุกะ เขาบิดตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด เงาปีศาจโจมตีพลาดเป้า มันส่งเสียงคำรามด้วยความหงุดหงิด "ขอบใจนะ ฮารุกะ!" คิชิโระหอบหายใจ เขาสามารถเรียกมีดอาคมของเขาออกมาจากอากาศได้ มันเป็นมีดสั้นสีเงินวาววับที่เปล่งแสงสีฟ้าอ่อน ๆ มีอักขระโบราณสลักอยู่บนใบมีด คิชิโระกระชับด้ามมีดแน่น เขามองไปยังกลุ่มเงาที่กำลังรวมตัวกันอีกครั้ง "ฮารุกะ เตรียมขวดไว้!" คิชิโระสั่ง เขาพุ่งเข้าใส่เงาปีศาจที่รวมตัวกันเป็นร่างใหญ่ มือขวาถือมีดอาคมพุ่งตรงเข้าใส่ ในขณะที่มือซ้ายปล่อยคลื่นพลังงานสีขาวออกมาเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวของมัน การต่อสู้ดุเดือดขึ้นทันที คิชิโระเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับพายุ มีดอาคมของเขาสะบัดไปมาอย่างคล่องแคล่ว เขาทั้งฟัน ปัดป้อง และหลบหลีกการโจมตีจากเงาปีศาจที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง ทุกครั้งที่คมมีดอาคมสัมผัสกับเงาปีศาจ มันจะส่งเสียงซ่าเหมือนมีอะไรบางอย่างถูกเผาไหม้ และเงาปีศาจก็จะขาดหายไปบางส่วน แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้มันสลายไปได้โดยสมบูรณ์ "มันเร็วกว่าที่คิดเยอะเลยนะ!" คิชิโระสบถ เขากระโดดหลบเงาปีศาจที่พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง พลางมองหาช่องว่างที่จะโจมตีไปยัง "หัว" ของมันตามที่เคยฝึกมา ฮารุเสียงกรีดร้องที่ยาวนานและเจ็บปวดดังลั่นไปทั่วโถงเหมือง ร่างของเงาปีศาจสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มันบิดเบี้ยวและแตกสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับหมอกควันสีดำที่ถูกฉีกกระชาก แสงสีแดงก่ำในดวงตาของมันริบหรี่ลง ก่อนจะดับวูบไปในที่สุด ภายในไม่กี่วินาที ร่างของเงาปีศาจก็สลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียง ดวงวิญญาณสีเทาหม่น ขนาดเท่ากำปั้นเด็กที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ มันสั่นระริกราวกับกำลังจะสลายหายไปในพริบตา "ฮารุกะ! ตอนนี้แหละ!" คิชิโระตะโกน เขายืนหอบหายใจเล็กน้อยแต่ก็ยังคงจับมีดอาคมมั่นคง คอยระแวงรอบข้างเผื่อจะมีเงาตัวอื่นโผล่มา ฮารุกะไม่รอช้า เธอรีบเปิดฝาขวดกักเก็บดวงวิญญาณออกทันที พร้อมกับร่ายคาถาที่เธอท่องจำขึ้นใจ เสียงของเธอเริ่มแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยพลังงาน: "อาตมันแห่งรัตติกาล สู่กาลผนึก ผูกพันด้วยอำนาจแห่งแสง โปรดกลับคืนสู่ภาชนะ จงเป็นดั่งที่ฉันบัญชา! โอม... นะโม... สู่ภวังค์..." แสงสีม่วงอ่อน ๆ พวยพุ่งออกจากปากขวดและแผ่ขยายออกไปครอบคลุมดวงวิญญาณสีเทาหม่นนั้น แรงดูดมหาศาลจากขวดเริ่มดึงวิญญาณเข้าไปทีละน้อย ดวงวิญญาณต่อต้าน มันดิ้นรนและพยายามหนีออกไป แต่พลังของคาถากักเก็บนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่มันจะต้านทานได้ เพียงไม่นาน ดวงวิญญาณสีเทาหม่นก็ถูกดูดเข้าไปในขวดจนหมดสิ้น ฮารุกะรีบปิดฝาขวดอย่างรวดเร็ว แสงสีม่วงที่เปล่งออกมาจากขวดก็ดับลงพร้อมกับความเงียบที่เข้าปกคลุมอีกครั้ง ฮารุกะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง ขาของเธอแทบจะรับน้ำหนักตัวเองไม่ไหว คิชิโระเดินเข้ามาหาเธอทันที เขาวางมือบนไหล่ของเธออย่างปลอบโยน "เหนื่อยหน่อยนะ" คิชิโระพูดพลางยื่นมือไปดึงเธอให้ลุกขึ้น "เก่งมากเลยฮารุกะ" ฮารุกะพยักหน้า เธอเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่ยังคงมีความหวาดกลัวแต่ก็แฝงไปด้วยความภูมิใจ "นายก็เหมือนกัน คิชิโระ เกือบไปแล้วไหมล่ะ" "ก็เกือบไปจริง ๆ นั่นแหละ" คิชิโระยิ้มแหย ๆ "ดีนะที่นายตาไว ไม่งั้นฉันคงได้เจ็บตัวไปมากกว่านี้แน่ ๆ" เขาหันไปมองรอบ ๆ อีกครั้ง ความมืดมิดในเหมืองดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมหลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับเงาปีศาจตัวแรก สัญญาณเตือนในนาฬิกาของฮารุกะยังคงนิ่งสนิท แต่ทั้งคู่ก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น "ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะโผล่มาเร็วขนาดนี้" ฮารุกะพูด พลางกำขวดกักเก็บวิญญาณแน่น "แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าพวกมันมาจากไหนกันแน่" คิชิโระมองไปยังความมืดเบื้องลึกของเหมือง "คงต้องเข้าไปข้างในให้ลึกกว่านี้แหละมั้ง หวังว่าวิญญาณตัวนี้จะให้เบาะแสอะไรบางอย่างกับเราได้นะ" พวกเขาเงียบไปครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นและเสียงลมหายใจของพวกเขาเท่านั้นที่ดังแผ่ว ๆ ในความมืดมิด บรรยากาศเริ่มกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง เพราะพวกเขารู้ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าอาจจะน่ากลัวกว่าที่พวกเขาเพิ่งเจอมาหลายเท่า "เอาล่ะ พักกันสักครู่ แล้วไปต่อกัน" คิชิโระตัดสินใจ เขาหันไปส่งยิ้มให้ฮารุกะอีกครั้ง พยายามจะสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเธอ "เราต้องผ่านมันไปให้ได้ เพื่อกลับบ้าน..." ฮารุกะพยักหน้าอย่างแน่วแน่ เธอวางขวดวิญญาณลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง แม้จะเหนื่อยล้า แต่ความมุ่งมั่นที่จะหาทางกลับบ้านก็เป็นแรงผลักดันให้เธอลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เคียงข้างเพื่อนสนิทของเธอ "เพื่อกลับบ้าน..." ฮารุกะทวนคำแผ่วเบา ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มออกเดินลึกเข้าไปในความมืดมิดของเหมืองร้างอีกครั้ง ไม่รู้ว่าอะไรจะรอพวกเขาอยู่ในส่วนลึกของเหมืองแห่งนี้ แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากะจ้องมองการต่อสู้ด้วยความเป็นห่วง เธอหยิบขวดกักเก็บดวงวิญญาณออกมาจากกระเป๋าสะพายของเธอ ขวดแก้วใสเปล่งประกายสีม่วงอ่อน ๆ เธอพร้อมที่จะทำหน้าที่ของเธอทันทีที่คิชิโระสามารถจัดการกับมันได้ จู่ ๆ เงาปีศาจก็เปลี่ยนกลยุทธ์ มันไม่พุ่งเข้าหาคิชิโระตรง ๆ อีกต่อไป แต่มันเริ่มเคลื่อนไหวเป็นวงกว้างในความมืด ทำให้ยากที่จะจับทิศทาง คิชิโระเริ่มหอบหายใจ การต่อสู้ต่อเนื่องมาสักพักแล้ว และเขาก็เริ่มเหนื่อยล้า เขาพยายามใช้ไฟฉายส่องหาหัวของมัน แต่เงาปีศาจก็ว่องไวเกินไป "ฮารุกะ! นายเห็นหัวมันไหม!" คิชิโระตะโกนถามพลางใช้มีดอาคมปัดป้องเงาที่พุ่งมาทางเขา ฮารุกะจ้องเขม็งไปที่เงาปีศาจ เธอใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเธอพยายาม "มองเห็น" ในความมืด เธอสังเกตเห็นว่าแม้เงาปีศาจจะเคลื่อนไหวรวดเร็วแค่ไหน แต่ก็มีจุดหนึ่งที่ดู "หนาแน่น" กว่าจุดอื่น ๆ เล็กน้อย คล้ายกับเป็นแก่นกลางของมัน และนาฬิกาอาคมของเธอก็เริ่มส่งสัญญาณเตือนที่รุนแรงขึ้นเมื่อเธอเพ่งความสนใจไปที่จุดนั้น "เห็นแล้ว! คิชิโระ! มันอยู่เหนือไหล่ขวาของมัน! มันพยายามปกปิดเอาไว้!" ฮารุกะตะโกนบอกอย่างตื่นเต้น เสียงเธอสั่นเล็กน้อยแต่ก็ชัดเจน คิชิโระรับข้อมูล เขากัดฟันแน่น "ได้เลย!" เขากระโดดตีลังกาหลบการโจมตีของเงาปีศาจ จากนั้นใช้แรงทั้งหมดที่มีพุ่งตัวเข้าใส่มันอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ มือที่ถือมีดอาคมพุ่งตรงไปยังตำแหน่งที่ฮารุกะบอก ด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง เงาปีศาจไม่สามารถหลบได้ทัน คิชิโระแทงมีดอาคมเข้าไปที่จุดนั้นอย่างแม่นยำ! โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก! เสียงกรีดร้องที่ยาวนานและเจ็บปวดดังลั่นไปทั่วโถงเหมือง ร่างของเงาปีศาจสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มันบิดเบี้ยวและแตกสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับหมอกควันสีดำที่ถูกฉีกกระชาก แสงสีแดงก่ำในดวงตาของมันริบหรี่ลง ก่อนจะดับวูบไปในที่สุด ภายในไม่กี่วินาที ร่างของเงาปีศาจก็สลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียง ดวงวิญญาณสีเทาหม่น ขนาดเท่ากำปั้นเด็กที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ มันสั่นระริกราวกับกำลังจะสลายหายไปในพริบตา "ฮารุกะ! ตอนนี้แหละ!" คิชิโระตะโกน เขายืนหอบหายใจเล็กน้อยแต่ก็ยังคงจับมีดอาคมมั่นคง คอยระแวงรอบข้างเผื่อจะมีเงาตัวอื่นโผล่มา ฮารุกะไม่รอช้า เธอรีบเปิดฝาขวดกักเก็บดวงวิญญาณออกทันที พร้อมกับร่ายคาถาที่เธอท่องจำขึ้นใจ เสียงของเธอเริ่มแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยพลังงาน: "อาตมันแห่งรัตติกาล สู่กาลผนึก ผูกพันด้วยอำนาจแห่งแสง โปรดกลับคืนสู่ภาชนะ จงเป็นดั่งที่ฉันบัญชา! โอม... นะโม... สู่ภวังค์..." แสงสีม่วงอ่อน ๆ พวยพุ่งออกจากปากขวดและแผ่ขยายออกไปครอบคลุมดวงวิญญาณสีเทาหม่นนั้น แรงดูดมหาศาลจากขวดเริ่มดึงวิญญาณเข้าไปทีละน้อย ดวงวิญญาณต่อต้าน มันดิ้นรนและพยายามหนีออกไป แต่พลังของคาถากักเก็บนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่มันจะต้านทานได้ เพียงไม่นาน ดวงวิญญาณสีเทาหม่นก็ถูกดูดเข้าไปในขวดจนหมดสิ้น ฮารุกะรีบปิดฝาขวดอย่างรวดเร็ว แสงสีม่วงที่เปล่งออกมาจากขวดก็ดับลงพร้อมกับความเงียบที่เข้าปกคลุมอีกครั้ง ฮารุกะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง ขาของเธอแทบจะรับน้ำหนักตัวเองไม่ไหว คิชิโระเดินเข้ามาหาเธอทันที เขาวางมือบนไหล่ของเธออย่างปลอบโยน "เหนื่อยหน่อยนะ" คิชิโระพูดพลางยื่นมือไปดึงเธอให้ลุกขึ้น "เก่งมากเลยฮารุกะ" ฮารุกะพยักหน้า เธอเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่ยังคงมีความหวาดกลัวแต่ก็แฝงไปด้วยความภูมิใจ "นายก็เหมือนกัน คิชิโระ เกือบไปแล้วไหมล่ะ" "ก็เกือบไปจริง ๆ นั่นแหละ" คิชิโระยิ้มแหย ๆ "ดีนะที่นายตาไว ไม่งั้นฉันคงได้เจ็บตัวไปมากกว่านี้แน่ ๆ" เขาหันไปมองรอบ ๆ อีกครั้ง ความมืดมิดในเหมืองดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมหลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับเงาปีศาจตัวแรก สัญญาณเตือนในนาฬิกาของฮารุกะยังคงนิ่งสนิท แต่ทั้งคู่ก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น "ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะโผล่มาเร็วขนาดนี้" ฮารุกะพูด พลางกำขวดกักเก็บวิญญาณแน่น "แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าพวกมันมาจากไหนกันแน่" คิชิโระมองไปยังความมืดเบื้องลึกของเหมือง "คงต้องเข้าไปข้างในให้ลึกกว่านี้แหละมั้ง หวังว่าวิญญาณตัวนี้จะให้เบาะแสอะไรบางอย่างกับเราได้นะ" พวกเขาเงียบไปครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นและเสียงลมหายใจของพวกเขาเท่านั้นที่ดังแผ่ว ๆ ในความมืดมิด บรรยากาศเริ่มกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง เพราะพวกเขารู้ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าอาจจะน่ากลัวกว่าที่พวกเขาเพิ่งเจอมาหลายเท่า "เอาล่ะ พักกันสักครู่ แล้วไปต่อกัน" คิชิโระตัดสินใจ เขาหันไปส่งยิ้มให้ฮารุกะอีกครั้ง พยายามจะสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเธอ "เราต้องผ่านมันไปให้ได้ เพื่อกลับบ้าน..." ฮารุกะพยักหน้าอย่างแน่วแน่ เธอวางขวดวิญญาณลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง แม้จะเหนื่อยล้า แต่ความมุ่งมั่นที่จะหาทางกลับบ้านก็เป็นแรงผลักดันให้เธอลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เคียงข้างเพื่อนสนิทของเธอ "เพื่อกลับบ้าน..." ฮารุกะทวนคำแผ่วเบา ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มออกเดินลึกเข้าไปในความมืดมิดของเหมืองร้างอีกครั้ง ไม่รู้ว่าอะไรจะรอพวกเขาอยู่ในส่วนลึกของเหมืองแห่งนี้ แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้าสายลมแห่งยามรุ่งอรุณพัดโชยมาปะทะร่าง อิจิ และ ฮารุ ที่ยืนอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ แสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องลงมายังทิวทัศน์เบื้องหน้า เผยให้เห็นยอดเขาไฟที่สูงเสียดฟ้า มันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนป่าดิบชื้นที่พวกเขาเพิ่งฝ่าฟันออกมา หมอกจางๆ ลอยปกคลุมรอบฐานของภูเขาไฟราวกับผ้าห่มสีขาว กลิ่นกำมะถันจางๆ ลอยมาตามลมเป็นสัญญาณเตือนถึงพลังงานที่ไม่สงบนิ่งที่อยู่ภายใน “นั่นแหละ… ยอดเขาไฟ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “มันดูน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะอิจิ” อิจิพยักหน้า สีหน้าของเขาเคร่งเครียด “ใช่… พลังงานมืดมิดที่แผ่ออกมาจากที่นั่นมันมหาศาลมาก ‘ผู้ตื่น’ กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาในไม่ช้า” ผ้ายันต์แห่งความจริงที่ผนึกอยู่ในฝ่ามือของฮารุเรืองแสงจางๆ เป็นการยืนยันถึงความรู้สึกของอิจิ พวกเขามีเวลาเพียงสองราตรีเท่านั้นก่อนที่ ดวงจันทร์สีเลือด จะปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พันธนาการของ ‘ผู้ตื่น’ จะอ่อนแอที่สุด “เราต้องไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด” อิจิกล่าว “และเราต้องหารหัสลับแห่งบรรพกาลให้เจอด้วย” “รหัสลับนั่น… มันอยู่ที่ไหนกันนะ?” ฮารุถาม “จิตวิญญาณแห่งต้นไม้บอกแค่ว่ามันอยู่ในผืนป่าแห
คืนเดือนมืดปกคลุมผืนป่าดิบชื้นทางตอนเหนือของสยามประเทศ แสงจันทร์แทบไม่สามารถส่องผ่านม่านไม้หนาทึบลงมาได้ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม และเสียงลมกระโชกแรงที่พัดกิ่งไม้ใบหญ้าให้เสียดสีกันเป็นระยะ ราวกับเสียงกระซิบกระซาบจากวิญญาณแห่งป่า อิจิและฮารุยังคงก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ร่างกายของอิจิอ่อนล้าจากบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ ส่วนฮารุก็ดูซีดเซียวจากการใช้พลังแห่งชีวิตครั้งล่าสุด แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นที่จะค้นหาผ้ายันต์ผืนสุดท้ายที่ปรากฏในนิมิตของฮารุ “อากาศที่นี่มันแปลกๆ นะอิจิ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา “มันเย็นยะเยือกกว่าที่ควรจะเป็น… เหมือนมีบางอย่างกำลังจับจ้องเราอยู่” “ใช่… ฉันก็รู้สึกได้” อิจิตอบ เขากระชับดาบในมือแน่นขึ้น “พลังงานที่นี่ไม่ใช่พลังงานของปีศาจ แต่มันเป็นพลังที่เก่าแก่กว่านั้น… ลึกซึ้งกว่านั้น” ตามนิมิตของฮารุ ผ้ายันต์ผืนสุดท้ายถูกซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้าในป่าลึกแห่งนี้ ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่วบริเวณ และมีแสงสีม่วงเข้มเปล่งออกมาจากรากของมัน “เรามาถูกทางแล้วใช่ไหมอิจิ?” ฮารุถาม “ฉันหวังว่าอย่างนั้นฮารุ
ปดปีผ่านไปนับจากเหตุการณ์บน เกาะแห่งม่านหมอก โลกยังคงสงบสุขภายใต้การดูแลของ อิจิ และ ฮารุ พวกเขายังคงทำหน้าที่ผู้พิทักษ์แห่งสมดุลอย่างเงียบๆ ฮารุในวัย 26 ปี กลายเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาชุมชนให้กับเมืองหลวง เธอใช้ความเข้าใจในธรรมชาติของผู้คนและความผูกพันกับผืนดินในการช่วยฟื้นฟูหมู่บ้านและส่งเสริมการศึกษา อิจิในวัย 30 ปี ยังคงเป็นองครักษ์เงาที่แข็งแกร่งและรอบคอบ แต่บทบาทของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากผู้ปกป้องส่วนตัวของฮารุ เขากลายเป็นผู้ดูแลความมั่นคงของเมือง คอยสืบสวนเหตุการณ์แปลกประหลาดที่อาจคุกคามความสงบสุขของประชาชน ผ้ายันต์แห่งความจริงที่เคยเป็นกุญแจสำคัญในการผจญภัยครั้งก่อนๆ บัดนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในหอคอยแห่งปัญญาของเมืองหลวง เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้และความจริงที่ไม่มีวันถูกลืม แม้โลกจะสงบสุข แต่ภายในใจของอิจิกลับมีความรู้สึกบางอย่างค้างคามาตลอด เขาไม่เคยลืมคำพูดของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ว่า “ข้าจะกลับมา!” และความรู้สึกของเขาบอกว่าความสงบสุขนี้อาจเป็นเพียงม่านบังตา “อิจิ นายยังคงกังวลเรื่องนั้นอยู่หรือเปล่า?” ฮารุถามในขณะที่พวกเขากำลังเดินเล่นในสวนของวังหลวง แสงจันทร์สาดส่องลงมาต้อง
หลังจากทำข้อตกลงกับหัวหน้าเผ่าสึนะ ไคลด์ ไดชิ และดาอิ ก็เริ่มต้นภารกิจที่อันตรายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญมา การเดินทางสู่ แหล่งพลังอาคมแห่งเงาที่แท้จริง ซึ่งซ่อนอยู่ลึกใต้เกาะแสงอรุณ มีเพียงไคลด์เท่านั้นที่รู้ทางเข้า ซึ่งต้องเดินทางผ่านทางน้ำใต้ดินที่ซับซ้อน "พวกเราทุกคนต้องรู้ว่าความมืดมิดที่พวกเจ้าเคยทำลายไปนั้น...เป็นแค่ เปลือกนอก ของพลังงานทั้งหมด" ไคลด์กล่าวขณะนำทางพวกเขาไปยังปากถ้ำที่ถูกซ่อนไว้ใต้รากต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบ "พลังเงาที่แท้จริงไม่ได้มีไว้เพื่อทำลายล้าง แต่มีไว้เพื่อ รักษาสมดุลของผืนดิน เมื่อหลายศตวรรษก่อน ผู้พิทักษ์รุ่นก่อนได้ผนึกมันไว้ไม่ให้ถูกผู้ใดครอบครอง" ปากทางสู่ความมืด ปากถ้ำนั้นแคบและมืดมิด มีเพียงแสงจากตะเกียงอาคมที่ดาอิสร้างขึ้นเท่านั้นที่ช่วยให้พวกเขามองเห็นได้ ไคลด์ลงไปในน้ำก่อน ตามมาด้วยไดชิและดาอิ พวกเขาต้องว่ายน้ำตามกระแสน้ำใต้ดินที่เย็นเฉียบและมืดสนิทไปนานหลายนาที เมื่อกระแสน้ำสงบลง พวกเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ใน อุโมงค์หินขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำค้างและเสียงสะท้อนที่น่าขนลุก พื้นผิวของผนังถ้ำเต็มไปด้วย คริสตัลเงาสีดำ ที่ส่องแสงสลัว ๆ บ่งบอกถึงคว
สองปีผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝัน อิจิ และ ฮารุ กลับมาใช้ชีวิตที่เงียบสงบในเมืองหลวงของสยามประเทศ เมืองที่เคยถูกม่านหมอกแห่งการลืมเลือนปกคลุม บัดนี้กลับมาคึกคักและสดใสกว่าเดิม ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แม้บาดแผลจากอดีตจะยังคงอยู่ แต่พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและสร้างอนาคตที่ดีกว่า ฮารุในวัย 18 ปี เติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามและเปี่ยมด้วยจิตใจที่เมตตา เธอทุ่มเทเวลาให้กับการสอนหนังสือเด็กๆ ในหมู่บ้านที่เคยถูกทำลาย และช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา แม้พลังแห่งชีวิตจะหายไปจนหมดสิ้น แต่จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์และเข้มแข็งของเธอกลับเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม อิจิยังคงเป็นองครักษ์เงาของเธอ คอยปกป้องเธอจากห่างๆ และเฝ้ามองการเติบโตของเธอด้วยความภาคภูมิใจ เขารู้สึกถึงความสงบสุขที่แท้จริงที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน “อาจารย์ฮารุ! วันนี้จะเล่านิทานเรื่องอะไรให้ฟังคะ?!” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งดังขึ้น เด็กๆ หลายคนมารวมตัวกันรอบๆ ฮารุ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ฮารุยิ้มอ่อนโยน “วันนี้อาจารย์จะเล่าเรื่องของ ผู้
แสงแรกของอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาในศาลเจ้าโบราณที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของป่า อิจิ และ ฮารุ ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าของพวกเขามีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการผจญภัยที่ยาวนาน แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว หลังจากการเดินทางผ่าน เมืองแห่งความทรงจำ และการเผชิญหน้ากับ ‘ผู้พิทักษ์’ ที่ถูกควบคุมโดย ‘ผู้ตื่น’ พวกเขาได้รับรู้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ต้องการจะลบเลือนความทรงจำของมนุษย์เกี่ยวกับอดีตทั้งหมด เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ที่มันคือผู้ปกครองสูงสุด “เราจะทำลาย ‘คำสาปแห่งการลืมเลือน’ ได้ยังไงอิจิ?” ฮารุถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา เธอวางผ้ายันต์แห่งความจริงลงบนฝ่ามือ มันเป็นเพียงแผ่นผ้าเก่าๆ ธรรมดาๆ ไม่มีแสงเรืองรองใดๆ เหลืออยู่แล้ว อิจิหยิบผ้ายันต์ขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ “ไคบอกว่าพลังของเธอที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณแห่งความทรงจำที่แท้จริงคือกุญแจ… และการทำลายคำสาปนี้จะต้องแลกด้วยพลังแห่งชีวิตของเธอทั้งหมด” “ฉันรู้… และฉันก็พร้อมที่จะเสียสละมัน” ฮารุกล่าว ดวงตาของเธอฉายแววแน่วแน่ “ฉันจะไม่ยอมให้ความจริงถูกบิดเบือนไปตล







