ฮารุกะบีบมือคิชิโระแน่นจนปลายนิ้วซีดขาว ลมหายใจของเธอติดขัดเล็กน้อย แต่แววตาที่มองตรงไปยังประตูข้ามมิติเบื้องหน้ากลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่ แม้จะมีความหวาดหวั่นแฝงอยู่ลึก ๆ ก็ตาม คิชิโระเองก็จับมือเธอแน่นตอบ เขาส่งยิ้มบาง ๆ ให้ เธอรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและความมั่นใจที่ส่งผ่านฝ่ามือเข้ามา ประตูลอยนวลอยู่ตรงหน้าพวกเขา ขอบประตูพร่าเลือนราวกับม่านหมอกสีม่วงที่สั่นระริก ปลายทางคือสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ แต่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้า
"พร้อมนะ?" คิชิโระกระซิบถาม เสียงเขาดังก้องในความเงียบงัน ฮารุกะพยักหน้าอย่างช้า ๆ "พร้อมเสมอ… ตราบใดที่มีนายอยู่ข้าง ๆ" คำพูดของเธอทำให้มุมปากของคิชิโระยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ตอบอะไร เพียงแค่จูงมือฮารุกะออกก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าสู่ประตูนั้นให้ความรู้สึกราวกับหลุดลอย ร่างกายเบาหวิวเหมือนกำลังลอยอยู่ในกระแสธารที่มองไม่เห็น ภาพเบื้องหน้าบิดเบี้ยวพร่าเลือนจนยากจะจับต้อง แต่เพียงชั่วพริบตา ความรู้สึกเหล่านั้นก็มลายหายไป สัมผัสถึงพื้นแข็งใต้ฝ่าเท้าอีกครั้ง พร้อมกับความหนาวเย็นที่กัดกินเข้ามา ทันทีที่พวกเขาเดินทะลุผ่านประตูมิติออกมา สิ่งแรกที่สัมผัสได้คืออากาศที่เย็นเฉียบและชื้นจัด กลิ่นดินเปียกชื้นปะปนกับกลิ่นสนิมเหล็กและกลิ่นอับชื้นของสิ่งเก่าแก่ผุพังโชยเข้าจมูก พวกเขามายืนอยู่เบื้องหน้าทางเข้าเหมืองร้างขนาดใหญ่ ปากทางเข้ามืดมิดราวกับอุโมงค์ที่ไร้ก้นบึ้ง โครงสร้างไม้เก่า ๆ ที่ค้ำยันปากทางมีมอสส์เกาะเขียวครึ้มและผุพังไปตามกาลเวลา รางรถเข็นสนิมเขรอะทอดยาวหายเข้าไปในความมืด แสงจากดวงอาทิตย์ยามเย็นที่รอดพ้นจากก้อนเมฆทอแสงสลัว ๆ ผ่านยอดไม้ที่ปกคลุมหนาแน่น ทำให้บรรยากาศรอบข้างดูวังเวงและน่าขนลุกยิ่งขึ้นไปอีก "น่ากลัวจัง..." ฮารุกะเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว ใบหน้าของเธอซีดเผือดลงเล็กน้อยเมื่อดวงตาเรียวรีของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ ความมืดมิดที่กลืนกินปากทางเข้าเหมือง "ที่นี่มันเหมือนหลุดมาจากหนังผีเลยนะ" คิชิโระถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขารู้ดีว่าฮารุกะไม่ชอบที่มืดและที่เปลี่ยวแบบนี้ เขายกมือขึ้นลูบผมสีน้ำตาลเข้มของเธออย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาช่วยให้ฮารุกะรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง "ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ฮารุกะ" คิชิโระพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด แม้ในใจเขาเองก็อดรู้สึกประหวั่นไม่ได้กับบรรยากาศของเหมืองร้างแห่งนี้ "เราจะกลับบ้านกันอย่างปลอดภัยแน่นอน เชื่อใจฉันสิ" คำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของคิชิโระทำให้ความตึงเครียดบนใบหน้าของฮารุกะค่อย ๆ คลายลง ดวงตาของเธอที่จับจ้องไปที่เขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เธอพยักหน้าช้า ๆ "อืม ฉันเชื่อใจนาย" ฮารุกะเงยหน้ามองนาฬิกาข้อมืออาคมของเธอ หน้าปัดของมันยังคงนิ่งสนิท ไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ แสดงว่ายังไม่มีเงาปีศาจอยู่ใกล้ ๆ พวกเขาตอนนี้ เธอพยักหน้าให้คิชิโระเป็นเชิงบอกว่าปลอดภัย "ไปกันเถอะ" คิชิโระว่า ก่อนจะจับมือฮารุกะอีกครั้ง และพาเธอเดินเข้าไปในความมืดของเหมืองร้าง ช้า ๆ อย่างระมัดระวัง ภายในเหมือง อากาศยิ่งเย็นยะเยือกมากขึ้น ความมืดสนิทกลืนกินทุกสิ่งจนแทบมองไม่เห็นอะไร แสงจากไฟฉายขนาดเล็กของคิชิโระส่องนำทางไปข้างหน้า สร้างเงาทะมึนยักษ์เคลื่อนไหวไปตามผนังถ้ำที่ขรุขระ กลิ่นดินและแร่ธาตุอับชื้นคละคลุ้งไปทั่ว เสียงหยดน้ำกระทบพื้นดัง ติ๋ง ๆ เป็นจังหวะเดียวกับเสียงฝีเท้าของพวกเขาที่ก้าวเดินอย่างช้า ๆ รางรถเข็นเก่า ๆ ที่เป็นสนิมทอดยาวนำทางเข้าไปสู่ส่วนลึกของเหมือง โครงค้ำยันไม้ที่ผุพังส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่าขนลุกทุกครั้งที่ลมโชยพัดเข้ามาจากปากทาง "มันมืดกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะ" ฮารุกะกระซิบเสียงแผ่ว "แล้วนี่เราจะไปทางไหนกันดีล่ะ" "ตามรางรถเข็นไปนี่แหละ น่าจะเป็นเส้นทางหลักที่คนเคยใช้" คิชิโระตอบ เขากวาดไฟฉายไปรอบ ๆ มองหาป้ายหรือร่องรอยอะไรบางอย่าง "ถ้าเราเจอทางแยก ค่อยว่ากันอีกที" พวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกอึดอัดเริ่มคืบคลานเข้ามา ฮารุกะรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็น มันไม่ใช่พลังงานด้านลบที่รุนแรงจนน่ากลัว แต่เป็นพลังงานที่ค่อนข้างอึมครึมและกดดัน เธอหยุดเดินชั่วครู่ ดวงตาของเธอมองไปยังนาฬิกาอาคมบนข้อมือ "เดี๋ยวสิ" เธอดึงแขนเสื้อของคิชิโระเบา ๆ "นาฬิกาฉันยังไม่ขึ้นอะไรเลยนะ แต่ฉันรู้สึกแปลก ๆ" คิชิโระขมวดคิ้วเล็กน้อย เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้ว... กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด! เสียงกรีดร้องแหลมสูงที่ฟังดูเหมือนเสียงของสัตว์ที่ถูกทรมานดังขึ้นจากความมืดเบื้องหน้า สะท้อนก้องไปทั่วโถงเหมือง เสียงนั้นน่าสยดสยองจนทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ฮารุกะสะดุ้งสุดตัว มืออีกข้างยกขึ้นปิดปากโดยอัตโนมัติ ใบหน้าของเธอซีดขาวจนแทบจะกลืนไปกับความมืด ยังไม่ทันที่เสียงกรีดร้องจะหายไปในความเงียบสนิท บางสิ่งบางอย่างสีดำทะมึน ก็พุ่งตรงมาจากความมืดเบื้องหน้าด้วยความเร็วสูง มันเคลื่อนไหวรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน แสงจากไฟฉายของคิชิโระจับภาพมันได้เพียงชั่วครู่ เห็นเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์บิดเบี้ยวมีแขนขาที่ยื่นยาวผิดปกติและดวงตาสีแดงก่ำเรืองแสงน่ากลัว คิชิโระคำรามออกมาอย่างตกใจ เขารีบคว้ามือซ้ายของฮารุกะแน่น แล้วออกแรงผลักเธอให้ไปหลบหลังก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดพร้อมกับเหวี่ยงตัวเองไปยืนขวางหน้าเธอ มือขวาของเขากำแน่น พลังงานสีขาวนวลเริ่มก่อตัวขึ้นรอบ ๆ ฝ่ามือของเขา "ระวังนะ ฮารุกะ!" คิชิโระตะโกนบอก ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเงาดำที่กำลังพุ่งเข้ามา เงาปีศาจนั้นคล้ายควันสีดำที่จับตัวเป็นรูปทรง ร่างกายของมันกระจัดกระจายและรวมตัวกันใหม่ได้ตลอดเวลา ทำให้มันหลบหลีกการโจมตีได้ยากยิ่ง มันพุ่งเข้ามาปะทะกับคิชิโระอย่างจัง เสียงกระแทกดัง ตึง! คิชิโระยกแขนขึ้นตั้งรับแรงปะทะ แขนเสื้อของเขาขาดวิ่น รอยขีดข่วนสีแดงปรากฏขึ้นบนผิวหนัง แต่มันไม่ได้สร้างความเสียหายรุนแรงนัก เขากระโดดถอยหลังทันทีเพื่อตั้งหลัก "โผล่มาง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ!" คิชิโระสบถ เขายกแขนขึ้นชี้ไปที่เงาปีศาจ พลังงานสีขาวนวลพวยพุ่งออกจากมือเขา กลายเป็นคมมีดพลังงานขนาดใหญ่ที่พุ่งตรงเข้าใส่เป้าหมาย เงาปีศาจส่งเสียงแหลมสูงอีกครั้ง มันเคลื่อนที่หลบคมมีดพลังงานได้อย่างรวดเร็วราวกับเป็นสายลมดำ จากนั้นมันก็แตกตัวออกเป็นเงาร่างเล็ก ๆ หลายสิบเงาพุ่งเข้าโจมตีคิชิโระจากทุกทิศทาง คิชิโระหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว เขาใช้แขนปัดป้องเงาเหล่านั้น แต่มันมีจำนวนมากเกินไป เงาบางส่วนพุ่งทะลุผ่านตัวเขาไปได้ราวกับไม่มีตัวตน สร้างความรู้สึกเย็นยะเยือกและเจ็บปวดแปลบ ๆ เหมือนถูกเข็มทิ่มแทง "คิชิโระ!" ฮารุกะร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง เธอพยายามมองหาจังหวะที่จะเข้าไปช่วย แต่เธอรู้ดีว่าเธอไม่มีพลังต่อสู้โดยตรงแบบคิชิโระหลังจากผ่านการต่อสู้ครั้งแรกที่น่าตื่นเต้น ทั้งฮารุกะและคิชิโระก็ออกเดินสำรวจเหมืองลึกเข้าไปอีกครั้งด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า ไฟฉายของคิชิโระฉายนำทางส่องไปรอบ ๆ เผยให้เห็นโพรงถ้ำที่ซับซ้อนและอุโมงค์ที่ทอดลึกเข้าไปในความมืดมิด กลิ่นสนิมและดินชื้นยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อพวกเขาเดินทางเข้าไปใกล้ส่วนลึกของเหมือง"เงียบจังเลยนะ" ฮารุกะกระซิบ เสียงเธอแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน "เงียบกว่าเมื่อกี้อีก"คิชิโระพยักหน้า มือเขากำมีดอาคมแน่น "บางทีพวกมันอาจจะซุ่มโจมตีอยู่ก็ได้ เตรียมตัวให้พร้อมนะฮารุกะ"นาฬิกาอาคมบนข้อมือของฮารุกะยังคงนิ่งสนิท บ่งบอกว่าไม่มีเงาปีศาจอยู่ใกล้ ๆ ในรัศมีที่ตรวจจับได้ แต่ความรู้สึกอึดอัดและหนักอึ้งในอากาศเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ มันไม่ใช่ความหนาวเย็นธรรมดา แต่เป็นความเย็นเยือกที่แทรกซึมไปถึงกระดูก คล้ายกับมีพลังงานมืดบางอย่างแผ่ออกมา"ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเฝ้ามองเราอยู่นะคิชิโระ" ฮารุกะกล่าว พลางกอดแขนตัวเองแน่นเพื่อคลายความหนาวเย็น "มันไม่ใช่เงาปีศาจตัวเล็ก ๆ แบบเมื่อกี้แน่"คิชิโระหยุดเดินทันที เขาชูไฟฉายขึ้นสูง
ในขณะที่คิชิโระกำลังตั้งรับการโจมตีจากเงาปีศาจที่แตกตัว เงาร่างใหญ่ตัวเดิมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งจากด้านหลังของเขา มันยกแขนยาวเรียวขึ้นเตรียมจะจู่โจม ฮารุกะเห็นมันพอดี เธอรีบมองไปที่นาฬิกาอาคมของเธอ หน้าปัดของมันสว่างวาบขึ้นมาเป็นสีแดงสด ตัวเลขดิจิทัลแสดงระยะห่าง 5 เมตรพร้อมกับลูกศรชี้ไปทางด้านหลังของคิชิโระ"คิชิโระ! ข้างหลังนาย! 5 เมตร!" ฮารุกะตะโกนเตือนสุดเสียงคิชิโระได้ยินเสียงของฮารุกะ เขาบิดตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด เงาปีศาจโจมตีพลาดเป้า มันส่งเสียงคำรามด้วยความหงุดหงิด"ขอบใจนะ ฮารุกะ!" คิชิโระหอบหายใจ เขาสามารถเรียกมีดอาคมของเขาออกมาจากอากาศได้ มันเป็นมีดสั้นสีเงินวาววับที่เปล่งแสงสีฟ้าอ่อน ๆ มีอักขระโบราณสลักอยู่บนใบมีด คิชิโระกระชับด้ามมีดแน่น เขามองไปยังกลุ่มเงาที่กำลังรวมตัวกันอีกครั้ง"ฮารุกะ เตรียมขวดไว้!" คิชิโระสั่ง เขาพุ่งเข้าใส่เงาปีศาจที่รวมตัวกันเป็นร่างใหญ่ มือขวาถือมีดอาคมพุ่งตรงเข้าใส่ ในขณะที่มือซ้ายปล่อยคลื่นพลังงานสีขาวออกมาเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวของมันการต่อสู้ดุเดือดขึ้นทันที คิชิโระเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับพายุ มีดอาคมของเขาสะบัดไปมาอย่างคล่องแคล่ว เขาทั้งฟัน ปัดป
ฮารุกะบีบมือคิชิโระแน่นจนปลายนิ้วซีดขาว ลมหายใจของเธอติดขัดเล็กน้อย แต่แววตาที่มองตรงไปยังประตูข้ามมิติเบื้องหน้ากลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่ แม้จะมีความหวาดหวั่นแฝงอยู่ลึก ๆ ก็ตาม คิชิโระเองก็จับมือเธอแน่นตอบ เขาส่งยิ้มบาง ๆ ให้ เธอรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและความมั่นใจที่ส่งผ่านฝ่ามือเข้ามา ประตูลอยนวลอยู่ตรงหน้าพวกเขา ขอบประตูพร่าเลือนราวกับม่านหมอกสีม่วงที่สั่นระริก ปลายทางคือสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ แต่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้า"พร้อมนะ?" คิชิโระกระซิบถาม เสียงเขาดังก้องในความเงียบงันฮารุกะพยักหน้าอย่างช้า ๆ "พร้อมเสมอ… ตราบใดที่มีนายอยู่ข้าง ๆ"คำพูดของเธอทำให้มุมปากของคิชิโระยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ตอบอะไร เพียงแค่จูงมือฮารุกะออกก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าสู่ประตูนั้นให้ความรู้สึกราวกับหลุดลอย ร่างกายเบาหวิวเหมือนกำลังลอยอยู่ในกระแสธารที่มองไม่เห็น ภาพเบื้องหน้าบิดเบี้ยวพร่าเลือนจนยากจะจับต้อง แต่เพียงชั่วพริบตา ความรู้สึกเหล่านั้นก็มลายหายไป สัมผัสถึงพื้นแข็งใต้ฝ่าเท้าอีกครั้ง พร้อมกับความหนาวเย็นที่กัดกินเข้ามาทันทีที่พวกเขาเดินทะลุผ่านประตูมิติออกมา สิ่งแร