LOGIN
ฮารุกะบีบมือคิชิโระแน่นจนปลายนิ้วซีดขาว ลมหายใจของเธอติดขัดเล็กน้อย แต่แววตาที่มองตรงไปยังประตูข้ามมิติเบื้องหน้ากลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่ แม้จะมีความหวาดหวั่นแฝงอยู่ลึก ๆ ก็ตาม คิชิโระเองก็จับมือเธอแน่นตอบ เขาส่งยิ้มบาง ๆ ให้ เธอรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและความมั่นใจที่ส่งผ่านฝ่ามือเข้ามา ประตูลอยนวลอยู่ตรงหน้าพวกเขา ขอบประตูพร่าเลือนราวกับม่านหมอกสีม่วงที่สั่นระริก ปลายทางคือสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ แต่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้า
"พร้อมนะ?" คิชิโระกระซิบถาม เสียงเขาดังก้องในความเงียบงัน ฮารุกะพยักหน้าอย่างช้า ๆ "พร้อมเสมอ… ตราบใดที่มีนายอยู่ข้าง ๆ" คำพูดของเธอทำให้มุมปากของคิชิโระยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ตอบอะไร เพียงแค่จูงมือฮารุกะออกก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าสู่ประตูนั้นให้ความรู้สึกราวกับหลุดลอย ร่างกายเบาหวิวเหมือนกำลังลอยอยู่ในกระแสธารที่มองไม่เห็น ภาพเบื้องหน้าบิดเบี้ยวพร่าเลือนจนยากจะจับต้อง แต่เพียงชั่วพริบตา ความรู้สึกเหล่านั้นก็มลายหายไป สัมผัสถึงพื้นแข็งใต้ฝ่าเท้าอีกครั้ง พร้อมกับความหนาวเย็นที่กัดกินเข้ามา ทันทีที่พวกเขาเดินทะลุผ่านประตูมิติออกมา สิ่งแรกที่สัมผัสได้คืออากาศที่เย็นเฉียบและชื้นจัด กลิ่นดินเปียกชื้นปะปนกับกลิ่นสนิมเหล็กและกลิ่นอับชื้นของสิ่งเก่าแก่ผุพังโชยเข้าจมูก พวกเขามายืนอยู่เบื้องหน้าทางเข้าเหมืองร้างขนาดใหญ่ ปากทางเข้ามืดมิดราวกับอุโมงค์ที่ไร้ก้นบึ้ง โครงสร้างไม้เก่า ๆ ที่ค้ำยันปากทางมีมอสส์เกาะเขียวครึ้มและผุพังไปตามกาลเวลา รางรถเข็นสนิมเขรอะทอดยาวหายเข้าไปในความมืด แสงจากดวงอาทิตย์ยามเย็นที่รอดพ้นจากก้อนเมฆทอแสงสลัว ๆ ผ่านยอดไม้ที่ปกคลุมหนาแน่น ทำให้บรรยากาศรอบข้างดูวังเวงและน่าขนลุกยิ่งขึ้นไปอีก "น่ากลัวจัง..." ฮารุกะเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว ใบหน้าของเธอซีดเผือดลงเล็กน้อยเมื่อดวงตาเรียวรีของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ ความมืดมิดที่กลืนกินปากทางเข้าเหมือง "ที่นี่มันเหมือนหลุดมาจากหนังผีเลยนะ" คิชิโระถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขารู้ดีว่าฮารุกะไม่ชอบที่มืดและที่เปลี่ยวแบบนี้ เขายกมือขึ้นลูบผมสีน้ำตาลเข้มของเธออย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาช่วยให้ฮารุกะรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง "ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ฮารุกะ" คิชิโระพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด แม้ในใจเขาเองก็อดรู้สึกประหวั่นไม่ได้กับบรรยากาศของเหมืองร้างแห่งนี้ "เราจะกลับบ้านกันอย่างปลอดภัยแน่นอน เชื่อใจฉันสิ" คำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของคิชิโระทำให้ความตึงเครียดบนใบหน้าของฮารุกะค่อย ๆ คลายลง ดวงตาของเธอที่จับจ้องไปที่เขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เธอพยักหน้าช้า ๆ "อืม ฉันเชื่อใจนาย" ฮารุกะเงยหน้ามองนาฬิกาข้อมืออาคมของเธอ หน้าปัดของมันยังคงนิ่งสนิท ไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ แสดงว่ายังไม่มีเงาปีศาจอยู่ใกล้ ๆ พวกเขาตอนนี้ เธอพยักหน้าให้คิชิโระเป็นเชิงบอกว่าปลอดภัย "ไปกันเถอะ" คิชิโระว่า ก่อนจะจับมือฮารุกะอีกครั้ง และพาเธอเดินเข้าไปในความมืดของเหมืองร้าง ช้า ๆ อย่างระมัดระวัง ภายในเหมือง อากาศยิ่งเย็นยะเยือกมากขึ้น ความมืดสนิทกลืนกินทุกสิ่งจนแทบมองไม่เห็นอะไร แสงจากไฟฉายขนาดเล็กของคิชิโระส่องนำทางไปข้างหน้า สร้างเงาทะมึนยักษ์เคลื่อนไหวไปตามผนังถ้ำที่ขรุขระ กลิ่นดินและแร่ธาตุอับชื้นคละคลุ้งไปทั่ว เสียงหยดน้ำกระทบพื้นดัง ติ๋ง ๆ เป็นจังหวะเดียวกับเสียงฝีเท้าของพวกเขาที่ก้าวเดินอย่างช้า ๆ รางรถเข็นเก่า ๆ ที่เป็นสนิมทอดยาวนำทางเข้าไปสู่ส่วนลึกของเหมือง โครงค้ำยันไม้ที่ผุพังส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่าขนลุกทุกครั้งที่ลมโชยพัดเข้ามาจากปากทาง "มันมืดกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะ" ฮารุกะกระซิบเสียงแผ่ว "แล้วนี่เราจะไปทางไหนกันดีล่ะ" "ตามรางรถเข็นไปนี่แหละ น่าจะเป็นเส้นทางหลักที่คนเคยใช้" คิชิโระตอบ เขากวาดไฟฉายไปรอบ ๆ มองหาป้ายหรือร่องรอยอะไรบางอย่าง "ถ้าเราเจอทางแยก ค่อยว่ากันอีกที" พวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกอึดอัดเริ่มคืบคลานเข้ามา ฮารุกะรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็น มันไม่ใช่พลังงานด้านลบที่รุนแรงจนน่ากลัว แต่เป็นพลังงานที่ค่อนข้างอึมครึมและกดดัน เธอหยุดเดินชั่วครู่ ดวงตาของเธอมองไปยังนาฬิกาอาคมบนข้อมือ "เดี๋ยวสิ" เธอดึงแขนเสื้อของคิชิโระเบา ๆ "นาฬิกาฉันยังไม่ขึ้นอะไรเลยนะ แต่ฉันรู้สึกแปลก ๆ" คิชิโระขมวดคิ้วเล็กน้อย เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้ว... กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด! เสียงกรีดร้องแหลมสูงที่ฟังดูเหมือนเสียงของสัตว์ที่ถูกทรมานดังขึ้นจากความมืดเบื้องหน้า สะท้อนก้องไปทั่วโถงเหมือง เสียงนั้นน่าสยดสยองจนทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ฮารุกะสะดุ้งสุดตัว มืออีกข้างยกขึ้นปิดปากโดยอัตโนมัติ ใบหน้าของเธอซีดขาวจนแทบจะกลืนไปกับความมืด ยังไม่ทันที่เสียงกรีดร้องจะหายไปในความเงียบสนิท บางสิ่งบางอย่างสีดำทะมึน ก็พุ่งตรงมาจากความมืดเบื้องหน้าด้วยความเร็วสูง มันเคลื่อนไหวรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน แสงจากไฟฉายของคิชิโระจับภาพมันได้เพียงชั่วครู่ เห็นเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์บิดเบี้ยวมีแขนขาที่ยื่นยาวผิดปกติและดวงตาสีแดงก่ำเรืองแสงน่ากลัว คิชิโระคำรามออกมาอย่างตกใจ เขารีบคว้ามือซ้ายของฮารุกะแน่น แล้วออกแรงผลักเธอให้ไปหลบหลังก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดพร้อมกับเหวี่ยงตัวเองไปยืนขวางหน้าเธอ มือขวาของเขากำแน่น พลังงานสีขาวนวลเริ่มก่อตัวขึ้นรอบ ๆ ฝ่ามือของเขา "ระวังนะ ฮารุกะ!" คิชิโระตะโกนบอก ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเงาดำที่กำลังพุ่งเข้ามา เงาปีศาจนั้นคล้ายควันสีดำที่จับตัวเป็นรูปทรง ร่างกายของมันกระจัดกระจายและรวมตัวกันใหม่ได้ตลอดเวลา ทำให้มันหลบหลีกการโจมตีได้ยากยิ่ง มันพุ่งเข้ามาปะทะกับคิชิโระอย่างจัง เสียงกระแทกดัง ตึง! คิชิโระยกแขนขึ้นตั้งรับแรงปะทะ แขนเสื้อของเขาขาดวิ่น รอยขีดข่วนสีแดงปรากฏขึ้นบนผิวหนัง แต่มันไม่ได้สร้างความเสียหายรุนแรงนัก เขากระโดดถอยหลังทันทีเพื่อตั้งหลัก "โผล่มาง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ!" คิชิโระสบถ เขายกแขนขึ้นชี้ไปที่เงาปีศาจ พลังงานสีขาวนวลพวยพุ่งออกจากมือเขา กลายเป็นคมมีดพลังงานขนาดใหญ่ที่พุ่งตรงเข้าใส่เป้าหมาย เงาปีศาจส่งเสียงแหลมสูงอีกครั้ง มันเคลื่อนที่หลบคมมีดพลังงานได้อย่างรวดเร็วราวกับเป็นสายลมดำ จากนั้นมันก็แตกตัวออกเป็นเงาร่างเล็ก ๆ หลายสิบเงาพุ่งเข้าโจมตีคิชิโระจากทุกทิศทาง คิชิโระหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว เขาใช้แขนปัดป้องเงาเหล่านั้น แต่มันมีจำนวนมากเกินไป เงาบางส่วนพุ่งทะลุผ่านตัวเขาไปได้ราวกับไม่มีตัวตน สร้างความรู้สึกเย็นยะเยือกและเจ็บปวดแปลบ ๆ เหมือนถูกเข็มทิ่มแทง "คิชิโระ!" ฮารุกะร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง เธอพยายามมองหาจังหวะที่จะเข้าไปช่วย แต่เธอรู้ดีว่าเธอไม่มีพลังต่อสู้โดยตรงแบบคิชิโระสายลมแห่งยามรุ่งอรุณพัดโชยมาปะทะร่าง อิจิ และ ฮารุ ที่ยืนอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ แสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องลงมายังทิวทัศน์เบื้องหน้า เผยให้เห็นยอดเขาไฟที่สูงเสียดฟ้า มันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนป่าดิบชื้นที่พวกเขาเพิ่งฝ่าฟันออกมา หมอกจางๆ ลอยปกคลุมรอบฐานของภูเขาไฟราวกับผ้าห่มสีขาว กลิ่นกำมะถันจางๆ ลอยมาตามลมเป็นสัญญาณเตือนถึงพลังงานที่ไม่สงบนิ่งที่อยู่ภายใน “นั่นแหละ… ยอดเขาไฟ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “มันดูน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะอิจิ” อิจิพยักหน้า สีหน้าของเขาเคร่งเครียด “ใช่… พลังงานมืดมิดที่แผ่ออกมาจากที่นั่นมันมหาศาลมาก ‘ผู้ตื่น’ กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาในไม่ช้า” ผ้ายันต์แห่งความจริงที่ผนึกอยู่ในฝ่ามือของฮารุเรืองแสงจางๆ เป็นการยืนยันถึงความรู้สึกของอิจิ พวกเขามีเวลาเพียงสองราตรีเท่านั้นก่อนที่ ดวงจันทร์สีเลือด จะปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พันธนาการของ ‘ผู้ตื่น’ จะอ่อนแอที่สุด “เราต้องไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด” อิจิกล่าว “และเราต้องหารหัสลับแห่งบรรพกาลให้เจอด้วย” “รหัสลับนั่น… มันอยู่ที่ไหนกันนะ?” ฮารุถาม “จิตวิญญาณแห่งต้นไม้บอกแค่ว่ามันอยู่ในผืนป่าแห
คืนเดือนมืดปกคลุมผืนป่าดิบชื้นทางตอนเหนือของสยามประเทศ แสงจันทร์แทบไม่สามารถส่องผ่านม่านไม้หนาทึบลงมาได้ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม และเสียงลมกระโชกแรงที่พัดกิ่งไม้ใบหญ้าให้เสียดสีกันเป็นระยะ ราวกับเสียงกระซิบกระซาบจากวิญญาณแห่งป่า อิจิและฮารุยังคงก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ร่างกายของอิจิอ่อนล้าจากบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ ส่วนฮารุก็ดูซีดเซียวจากการใช้พลังแห่งชีวิตครั้งล่าสุด แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นที่จะค้นหาผ้ายันต์ผืนสุดท้ายที่ปรากฏในนิมิตของฮารุ “อากาศที่นี่มันแปลกๆ นะอิจิ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา “มันเย็นยะเยือกกว่าที่ควรจะเป็น… เหมือนมีบางอย่างกำลังจับจ้องเราอยู่” “ใช่… ฉันก็รู้สึกได้” อิจิตอบ เขากระชับดาบในมือแน่นขึ้น “พลังงานที่นี่ไม่ใช่พลังงานของปีศาจ แต่มันเป็นพลังที่เก่าแก่กว่านั้น… ลึกซึ้งกว่านั้น” ตามนิมิตของฮารุ ผ้ายันต์ผืนสุดท้ายถูกซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้าในป่าลึกแห่งนี้ ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่วบริเวณ และมีแสงสีม่วงเข้มเปล่งออกมาจากรากของมัน “เรามาถูกทางแล้วใช่ไหมอิจิ?” ฮารุถาม “ฉันหวังว่าอย่างนั้นฮารุ
ปดปีผ่านไปนับจากเหตุการณ์บน เกาะแห่งม่านหมอก โลกยังคงสงบสุขภายใต้การดูแลของ อิจิ และ ฮารุ พวกเขายังคงทำหน้าที่ผู้พิทักษ์แห่งสมดุลอย่างเงียบๆ ฮารุในวัย 26 ปี กลายเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาชุมชนให้กับเมืองหลวง เธอใช้ความเข้าใจในธรรมชาติของผู้คนและความผูกพันกับผืนดินในการช่วยฟื้นฟูหมู่บ้านและส่งเสริมการศึกษา อิจิในวัย 30 ปี ยังคงเป็นองครักษ์เงาที่แข็งแกร่งและรอบคอบ แต่บทบาทของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากผู้ปกป้องส่วนตัวของฮารุ เขากลายเป็นผู้ดูแลความมั่นคงของเมือง คอยสืบสวนเหตุการณ์แปลกประหลาดที่อาจคุกคามความสงบสุขของประชาชน ผ้ายันต์แห่งความจริงที่เคยเป็นกุญแจสำคัญในการผจญภัยครั้งก่อนๆ บัดนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในหอคอยแห่งปัญญาของเมืองหลวง เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้และความจริงที่ไม่มีวันถูกลืม แม้โลกจะสงบสุข แต่ภายในใจของอิจิกลับมีความรู้สึกบางอย่างค้างคามาตลอด เขาไม่เคยลืมคำพูดของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ว่า “ข้าจะกลับมา!” และความรู้สึกของเขาบอกว่าความสงบสุขนี้อาจเป็นเพียงม่านบังตา “อิจิ นายยังคงกังวลเรื่องนั้นอยู่หรือเปล่า?” ฮารุถามในขณะที่พวกเขากำลังเดินเล่นในสวนของวังหลวง แสงจันทร์สาดส่องลงมาต้อง
หลังจากทำข้อตกลงกับหัวหน้าเผ่าสึนะ ไคลด์ ไดชิ และดาอิ ก็เริ่มต้นภารกิจที่อันตรายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญมา การเดินทางสู่ แหล่งพลังอาคมแห่งเงาที่แท้จริง ซึ่งซ่อนอยู่ลึกใต้เกาะแสงอรุณ มีเพียงไคลด์เท่านั้นที่รู้ทางเข้า ซึ่งต้องเดินทางผ่านทางน้ำใต้ดินที่ซับซ้อน "พวกเราทุกคนต้องรู้ว่าความมืดมิดที่พวกเจ้าเคยทำลายไปนั้น...เป็นแค่ เปลือกนอก ของพลังงานทั้งหมด" ไคลด์กล่าวขณะนำทางพวกเขาไปยังปากถ้ำที่ถูกซ่อนไว้ใต้รากต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบ "พลังเงาที่แท้จริงไม่ได้มีไว้เพื่อทำลายล้าง แต่มีไว้เพื่อ รักษาสมดุลของผืนดิน เมื่อหลายศตวรรษก่อน ผู้พิทักษ์รุ่นก่อนได้ผนึกมันไว้ไม่ให้ถูกผู้ใดครอบครอง" ปากทางสู่ความมืด ปากถ้ำนั้นแคบและมืดมิด มีเพียงแสงจากตะเกียงอาคมที่ดาอิสร้างขึ้นเท่านั้นที่ช่วยให้พวกเขามองเห็นได้ ไคลด์ลงไปในน้ำก่อน ตามมาด้วยไดชิและดาอิ พวกเขาต้องว่ายน้ำตามกระแสน้ำใต้ดินที่เย็นเฉียบและมืดสนิทไปนานหลายนาที เมื่อกระแสน้ำสงบลง พวกเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ใน อุโมงค์หินขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำค้างและเสียงสะท้อนที่น่าขนลุก พื้นผิวของผนังถ้ำเต็มไปด้วย คริสตัลเงาสีดำ ที่ส่องแสงสลัว ๆ บ่งบอกถึงคว
สองปีผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝัน อิจิ และ ฮารุ กลับมาใช้ชีวิตที่เงียบสงบในเมืองหลวงของสยามประเทศ เมืองที่เคยถูกม่านหมอกแห่งการลืมเลือนปกคลุม บัดนี้กลับมาคึกคักและสดใสกว่าเดิม ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แม้บาดแผลจากอดีตจะยังคงอยู่ แต่พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและสร้างอนาคตที่ดีกว่า ฮารุในวัย 18 ปี เติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามและเปี่ยมด้วยจิตใจที่เมตตา เธอทุ่มเทเวลาให้กับการสอนหนังสือเด็กๆ ในหมู่บ้านที่เคยถูกทำลาย และช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา แม้พลังแห่งชีวิตจะหายไปจนหมดสิ้น แต่จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์และเข้มแข็งของเธอกลับเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม อิจิยังคงเป็นองครักษ์เงาของเธอ คอยปกป้องเธอจากห่างๆ และเฝ้ามองการเติบโตของเธอด้วยความภาคภูมิใจ เขารู้สึกถึงความสงบสุขที่แท้จริงที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน “อาจารย์ฮารุ! วันนี้จะเล่านิทานเรื่องอะไรให้ฟังคะ?!” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งดังขึ้น เด็กๆ หลายคนมารวมตัวกันรอบๆ ฮารุ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ฮารุยิ้มอ่อนโยน “วันนี้อาจารย์จะเล่าเรื่องของ ผู้
แสงแรกของอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาในศาลเจ้าโบราณที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของป่า อิจิ และ ฮารุ ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าของพวกเขามีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการผจญภัยที่ยาวนาน แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว หลังจากการเดินทางผ่าน เมืองแห่งความทรงจำ และการเผชิญหน้ากับ ‘ผู้พิทักษ์’ ที่ถูกควบคุมโดย ‘ผู้ตื่น’ พวกเขาได้รับรู้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ต้องการจะลบเลือนความทรงจำของมนุษย์เกี่ยวกับอดีตทั้งหมด เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ที่มันคือผู้ปกครองสูงสุด “เราจะทำลาย ‘คำสาปแห่งการลืมเลือน’ ได้ยังไงอิจิ?” ฮารุถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา เธอวางผ้ายันต์แห่งความจริงลงบนฝ่ามือ มันเป็นเพียงแผ่นผ้าเก่าๆ ธรรมดาๆ ไม่มีแสงเรืองรองใดๆ เหลืออยู่แล้ว อิจิหยิบผ้ายันต์ขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ “ไคบอกว่าพลังของเธอที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณแห่งความทรงจำที่แท้จริงคือกุญแจ… และการทำลายคำสาปนี้จะต้องแลกด้วยพลังแห่งชีวิตของเธอทั้งหมด” “ฉันรู้… และฉันก็พร้อมที่จะเสียสละมัน” ฮารุกล่าว ดวงตาของเธอฉายแววแน่วแน่ “ฉันจะไม่ยอมให้ความจริงถูกบิดเบือนไปตล




![[Unlimited Money] ระบบเงินทุนไร้ขีดจำกัด](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


