LOGINหลังจากผ่านการต่อสู้ครั้งแรกที่น่าตื่นเต้น ทั้งฮารุกะและคิชิโระก็ออกเดินสำรวจเหมืองลึกเข้าไปอีกครั้งด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า ไฟฉายของคิชิโระฉายนำทางส่องไปรอบ ๆ เผยให้เห็นโพรงถ้ำที่ซับซ้อนและอุโมงค์ที่ทอดลึกเข้าไปในความมืดมิด กลิ่นสนิมและดินชื้นยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อพวกเขาเดินทางเข้าไปใกล้ส่วนลึกของเหมือง
"เงียบจังเลยนะ" ฮารุกะกระซิบ เสียงเธอแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน "เงียบกว่าเมื่อกี้อีก" คิชิโระพยักหน้า มือเขากำมีดอาคมแน่น "บางทีพวกมันอาจจะซุ่มโจมตีอยู่ก็ได้ เตรียมตัวให้พร้อมนะฮารุกะ" นาฬิกาอาคมบนข้อมือของฮารุกะยังคงนิ่งสนิท บ่งบอกว่าไม่มีเงาปีศาจอยู่ใกล้ ๆ ในรัศมีที่ตรวจจับได้ แต่ความรู้สึกอึดอัดและหนักอึ้งในอากาศเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ มันไม่ใช่ความหนาวเย็นธรรมดา แต่เป็นความเย็นเยือกที่แทรกซึมไปถึงกระดูก คล้ายกับมีพลังงานมืดบางอย่างแผ่ออกมา "ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเฝ้ามองเราอยู่นะคิชิโระ" ฮารุกะกล่าว พลางกอดแขนตัวเองแน่นเพื่อคลายความหนาวเย็น "มันไม่ใช่เงาปีศาจตัวเล็ก ๆ แบบเมื่อกี้แน่" คิชิโระหยุดเดินทันที เขาชูไฟฉายขึ้นสูง กวาดไปรอบ ๆ ผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุระยิบระยับ "นายรู้สึกได้เหรอ?" "ใช่...มันเหมือนลมหายใจเย็นยะเยือกที่เป่ารดต้นคอฉันตลอดเวลาเลย" ฮารุกะตอบ ดวงตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระแวง ทันใดนั้น เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นจากส่วนลึกของเหมือง มันไม่ใช่เสียงกรีดร้องแหลมสูงแบบเงาปีศาจตัวแรก แต่เป็นเสียงต่ำ ๆ ทุ้ม ๆ คล้ายเสียงคำรามครางของสัตว์ร้ายที่กำลังตื่นขึ้น เสียงนั้นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโถงถ้ำ ทำให้ก้อนกรวดเล็ก ๆ บนพื้นสั่นกระดิก "นั่นอะไรน่ะ!" คิชิโระอุทาน เขาจับมือฮารุกะแน่นเตรียมพร้อมที่จะวิ่งหรือสู้ เสียงคำรามนั้นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมกับความรู้สึกกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงจนฮารุกะแทบจะหายใจไม่ออก นาฬิกาอาคมของเธอสว่างวาบขึ้นเป็นสีแดงสดทันที ตัวเลขระยะห่างกระพริบถี่รัว พร้อมกับเสียงเตือนที่ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง: "อันตราย! อันตราย! พลังงานมืดสูงผิดปกติ!" "มันอยู่ใกล้แล้ว! คิชิโระ! พลังงานมันสูงมาก!" ฮารุกะตะโกน เธอเห็นลูกศรบนหน้าปัดนาฬิกาชี้ตรงไปที่อุโมงค์ขนาดใหญ่เบื้องหน้าพวกเขา ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เตรียมตัว ร่างเงาขนาดมหึมาก็พุ่งทะลุความมืดออกมา มันใหญ่โตกว่าเงาปีศาจตัวแรกหลายเท่าตัว รูปร่างของมันคล้ายมนุษย์ แต่สูงใหญ่จนเกือบจะชนเพดานถ้ำ แขนของมันยาวลากพื้น เล็บแหลมคมเป็นประกายสีดำทมิฬ ดวงตาสีแดงก่ำของมันไม่ได้มีเพียงคู่เดียว แต่เป็นดวงตาหลายดวงที่กระจัดกระจายอยู่บนใบหน้าอันบิดเบี้ยว และแต่ละดวงก็ลุกโชนด้วยเพลิงแห่งความอาฆาตมาดร้าย มันส่งเสียงคำรามกึกก้องที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเหมือง "ให้ตายสิ! นี่มันตัวอะไรกันเนี่ย!" คิชิโระสบถ เขารู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลที่แผ่ออกมาจากเงาปีศาจตัวนี้ มันต่างจากตัวแรกราวฟ้ากับเหว "นี่คงจะเป็นเงาปีศาจแก่นของที่นี่แน่ ๆ!" ฮารุกะตอบเสียงสั่น เธอพยายามรวบรวมสติ แต่ความหวาดกลัวเริ่มคืบคลานเข้าสู่จิตใจ เงาปีศาจยักษ์พุ่งเข้าใส่พวกเขาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ แม้จะมีขนาดใหญ่แต่การเคลื่อนไหวกลับว่องไวเกินคาด คิชิโระก้าวขาออกไปยืนขวางหน้าฮารุกะ เขารวมพลังงานสีขาวนวลไว้ที่ฝ่ามือ แล้วอัญเชิญมีดอาคมคู่ใจออกมา มีดเล่มเดิมที่เคยช่วยเขาเอาชนะเงาปีศาจตัวแรก บัดนี้มันเปล่งแสงสีฟ้าเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม ราวกับจะสะท้อนความกล้าหาญของเขา "ฮารุกะ! นายคอยระวังตัวและมองหาโอกาส! ที่เหลือฉันจะจัดการเอง!" คิชิโระตะโกนบอก เขาพุ่งเข้าใส่เงาปีศาจยักษ์ทันที ไม่รอให้มันเข้าถึงตัวก่อน การโจมตีแบบไม่คาดฝันทำให้เงาปีศาจยักษ์ชะงักไปชั่วขณะ คิชิโระใช้จังหวะนั้นแทงมีดอาคมเข้าใส่แขนของมันอย่างแรง ฉัวะ! เสียงฉีกขาดดังขึ้น ร่างของเงาปีศาจยักษ์กระตุกเล็กน้อย มันส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ แขนที่โดนแทงเริ่มสลายเป็นควันดำ แต่เพียงชั่วพริบตา แขนนั้นก็กลับมารวมตัวกันใหม่เหมือนไม่เคยได้รับบาดเจ็บ "อะไรกันเนี่ย!" คิชิโระอุทานด้วยความตกใจ "ฟื้นตัวเร็วขนาดนี้เลยเหรอ!" เงาปีศาจยักษ์ไม่รอช้า มันเงื้อแขนยาวเรียวขึ้นเหนือศีรษะ แล้วฟาดลงมาใส่คิชิโระอย่างรุนแรง คิชิโระกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว แต่แรงลมจากการฟาดแขนของมันก็ทำให้เขาเซถลาไปชนกับผนังถ้ำอย่างจัง "อั๊ก!" คิชิโระรู้สึกจุกไปทั้งตัว เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่ร่างของเงาปีศาจยักษ์ก็เข้าประชิดตัวเขาแล้ว ดวงตาสีแดงก่ำหลายดวงจ้องมองมาที่เขาด้วยความมุ่งร้าย มันยกเท้าขนาดใหญ่ขึ้นเตรียมจะเหยียบย่ำเขา "คิชิโระ! หลบเร็ว!" ฮารุกะกรีดร้อง เธอรีบมองนาฬิกาอาคม หน้าปัดยังคงแสดงระยะห่าง 1 เมตร ชี้ตรงไปที่เงาปีศาจยักษ์ "ทางขวานาย! มีช่องว่าง!" คิชิโระได้ยินเสียงฮารุกะ เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายกลิ้งตัวหลบไปทางขวาอย่างรวดเร็ว เท้าของเงาปีศาจยักษ์กระทบพื้นอย่างรุนแรงจนพื้นถ้ำสั่นสะเทือน ก้อนหินและฝุ่นผงร่วงหล่นลงมา "ขอบใจนะฮารุกะ เกือบไปแล้ว" คิชิโระหายใจหอบถี่ เขาลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล มือยังคงกำมีดอาคมแน่น "มันฟื้นตัวเร็วเกินไป เราต้องหาจุดอ่อนของมันให้เจอ!" เงาปีศาจยักษ์ไม่สนใจคำพูดของพวกเขา มันพุ่งเข้าใส่คิชิโระอีกครั้ง คราวนี้มันใช้แขนทั้งสองข้างเหวี่ยงเข้าใส่ราวกับแส้ คิชิโระต้องออกแรงปัดป้องและหลบหลีกอย่างเต็มที่ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด คิชิโระพยายามแทงมีดอาคมเข้าใส่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเงาปีศาจ แต่ทุกครั้งที่แทงเข้าไป ร่างของมันก็จะสลายไปชั่วขณะ แล้วก็ฟื้นตัวขึ้นใหม่ ทำให้เขาไม่สามารถทำความเสียหายที่ถาวรได้เลย ฮารุกะพยายามใช้สายตาจับจ้องไปที่เงาปีศาจยักษ์ นาฬิกาอาคมของเธอคอยแจ้งเตือนตำแหน่งและระยะห่างของมันตลอดเวลา เธอสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่เงาปีศาจฟื้นตัว ร่างของมันจะกระพริบแสงสีดำจาง ๆ เพียงเสี้ยววินาที "คิชิโระ! ฟังนะ!" ฮารุกะตะโกนแข่งกับเสียงคำรามของเงาปีศาจ "ตอนที่มันฟื้นตัว ร่างของมันจะกระพริบ! ฉันคิดว่าช่วงนั้นแหละคือจังหวะที่มันอ่อนแอที่สุด!" คิชิโระได้ยินคำพูดของฮารุกะ ดวงตาของเขาเป็นประกาย "จริงเหรอ! งั้นเราต้องโจมตีตอนที่มันกำลังฟื้นตัวสินะ!" เขาพุ่งเข้าใส่เงาปีศาจอีกครั้ง เขายอมโดนการโจมตีบางส่วนเพื่อให้สามารถเข้าใกล้ได้พอ เงาปีศาจยักษ์ฟาดแขนเข้าใส่ คิชิโระใช้แขนรับแรงกระแทกจากแขนของมัน เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว แต่ก็กัดฟันแน่น มีดอาคมในมือเขาเปล่งแสงสว่างวาบ ฉัวะ! คิชิโระแทงมีดอาคมเข้าใส่กลางลำตัวของเงาปีศาจยักษ์อย่างแรง ในจังหวะที่ร่างของมันกำลังกระพริบและสลายตัวไปชั่วขณะพอดี โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก! เสียงกรีดร้องของเงาปีศาจยักษ์ดังสนั่นหวั่นไหวราวกับแผ่นดินไหว ร่างของมันเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและสลายตัวออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างรวดเร็ว แตกต่างจากการสลายตัวเมื่อครู่ มันไม่สามารถรวมตัวกันใหม่ได้อีกแล้ว แขนและขาของมันเริ่มเลือนหายไปในอากาศ ดวงตาสีแดงก่ำของมันหรี่ลงทีละดวงจนดับมืดในที่สุด ภายในไม่กี่วินาที ร่างกายที่ใหญ่โตของเงาปีศาจก็สลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียง ดวงวิญญาณสีดำสนิท ขนาดใหญ่กว่าดวงวิญญาณตัวแรกหลายเท่าตัว ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ มันส่องประกายเรืองรองด้วยพลังงานมืดมหาศาล และดูเหมือนกำลังจะระเบิดออกในไม่ช้า "ฮารุกะ! ตอนนี้แหละ! รีบกักเก็บมัน!" คิชิโระตะโกนเสียงแหบพร่า เขาหอบหายใจอย่างหนัก ตัวเขาสั่นเล็กน้อยจากการใช้พลังงานอย่างมหาศาลในการต่อสู้ ฮารุกะไม่รอช้า เธอรีบหยิบขวดกักเก็บดวงวิญญาณออกมาจากกระเป๋า เธอเปิดฝาออกทันที แสงสีม่วงเข้มพวยพุ่งออกมาจากปากขวด สว่างจ้ายิ่งกว่าตอนกักเก็บวิญญาณตัวแรก เธอร่ายคาถาด้วยเสียงที่มั่นคงและทรงพลัง: "อาตมันแห่งรัตติกาล สู่กาลผนึก! ผูกพันด้วยอำนาจแห่งแสงและเจตจำนง! ขอจงคืนสู่ภาชนะ จงเป็นดั่งที่ฉันบัญชา! โอม... นะโม... สู่ภวังค์... กลับคืน... บัดนี้!" คาถาที่เธอร่ายคราวนี้ยาวกว่าเดิม และพลังงานที่แผ่ออกมาจากตัวเธอก็รุนแรงกว่าที่เคย ดวงวิญญาณสีดำสนิทดิ้นรนอย่างรุนแรง มันแผ่รังสีแห่งความมืดออกมารอบตัว ทำให้ฮารุกะรู้สึกเจ็บปวดราวกับมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง แต่เธอก็ยังคงยืนหยัดและร่ายคาถาต่อไป ใบหน้าของเธอซีดเผือด แต่ดวงตาของเธอมุ่งมั่น คิชิโระยืนอยู่ข้าง ๆ ฮารุกะ มือเขากำมีดอาคมแน่น คอยระแวงรอบข้างเพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรมาขัดขวางการทำพิธีของฮารุกะ เขาเห็นเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผากของเธอ และรู้ว่าเธอต้องใช้พลังงานมากแค่ไหนในการควบคุมดวงวิญญาณขนาดใหญ่นี้ ค่อย ๆ ดวงวิญญาณสีดำสนิทก็ถูกดูดเข้าไปในขวดอย่างช้า ๆ มันพยายามต้านทานจนวินาทีสุดท้าย แต่ในที่สุด พลังแห่งคาถาของฮารุกะก็แข็งแกร่งกว่า ดวงวิญญาณทั้งหมดถูกดูดเข้าไปในขวดจนหมดสิ้น ฮารุกะรีบปิดฝาขวดทันที แสงสีม่วงเข้มก็หรี่ลงและจางหายไป ฮารุกะถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เธอปล่อยขวดวิญญาณออกจากมืออย่างช้า ๆ ก่อนที่ขาทั้งสองข้างของเธอจะอ่อนแรงลง เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง คิชิโระทิ้งมีดอาคมลง เขาโผเข้ากอดฮารุกะทันที กอดของเขาแน่นและเต็มไปด้วยความโล่งใจและความภูมิใจ "ฮารุกะ... นายทำได้แล้ว! เราทำได้แล้ว!" คิชิโระพูดเสียงสั่น เขาเอาใบหน้าซบลงกับไหล่ของเธออย่างอ่อนโยน ฮารุกะเองก็สวมกอดตอบ เธอซบหน้าลงกับอกของเขา รับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่รัวเร็วของเขา "เรา...เราทำได้จริง ๆ ด้วยคิชิโระ" ฮารุกะพูดเสียงแผ่ว น้ำตาแห่งความโล่งอกไหลรินออกมาจากดวงตาของเธอเล็กน้อย "ฉันกลัวแทบแย่เลยนะ" "ฉันก็เหมือนกัน" คิชิโระหัวเราะเบา ๆ "แต่เราก็ผ่านมันมาได้" พวกเขากอดกันแน่นอยู่ครู่ใหญ่ ปล่อยให้ความรู้สึกโล่งใจและชัยชนะไหลเวียนไปทั่วร่าง หลังจากที่ความกลัวและความตึงเครียดได้หายไป การต่อสู้กับเงาปีศาจยักษ์นั้นหนักหนาสาหัสกว่าที่พวกเขาคิดไว้มากนัก แต่ด้วยความร่วมมือและเชื่อใจซึ่งกันและกัน พวกเขาก็สามารถเอาชนะมันได้สำเร็จ เมื่อความรู้สึกดีใจเริ่มจางลง ฮารุกะค่อย ๆ ผละออกจากอ้อมกอดของคิชิโระ ใบหน้าของเธอแม้จะยังมีร่องรอยความเหนื่อยล้า แต่แววตาของเธอก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอีกครั้ง "เอาล่ะ เราคงต้องออกไปหาทางอื่นต่อแล้วล่ะ" ฮารุกะกล่าว พลางชูขวดกักเก็บวิญญาณขึ้นมา "วิญญาณตัวนี้คงจะให้เบาะแสอะไรบางอย่างกับเราได้ไม่มากก็น้อย" คิชิโระพยักหน้า เขายื่นมือไปจับมือของฮารุกะแน่นอีกครั้ง "ไปกันเถอะ" คิชิโระพูดด้วยรอยยิ้ม "เราจะกลับบ้านกันให้ได้" ฮารุกะยิ้มตอบ ดวงตาของเธอมุ่งมั่นไม่แพ้กัน ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แม้จะเหนื่อยล้า แต่จิตใจก็เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมในการก้าวต่อไป พวกเขาออกเดินลึกเข้าไปในเหมืองอีกครั้ง ทิ้งซากความเสียหายและควันดำจาง ๆ ไว้เบื้องหลัง รางรถเข็นที่บิดเบี้ยวและผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนเป็นพยานถึงการต่อสู้ที่ดุเดือดเมื่อครู่ พวกเขาไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจออะไรอีก แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันทุกสิ่ง เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไปสายลมแห่งยามรุ่งอรุณพัดโชยมาปะทะร่าง อิจิ และ ฮารุ ที่ยืนอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ แสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องลงมายังทิวทัศน์เบื้องหน้า เผยให้เห็นยอดเขาไฟที่สูงเสียดฟ้า มันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนป่าดิบชื้นที่พวกเขาเพิ่งฝ่าฟันออกมา หมอกจางๆ ลอยปกคลุมรอบฐานของภูเขาไฟราวกับผ้าห่มสีขาว กลิ่นกำมะถันจางๆ ลอยมาตามลมเป็นสัญญาณเตือนถึงพลังงานที่ไม่สงบนิ่งที่อยู่ภายใน “นั่นแหละ… ยอดเขาไฟ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “มันดูน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะอิจิ” อิจิพยักหน้า สีหน้าของเขาเคร่งเครียด “ใช่… พลังงานมืดมิดที่แผ่ออกมาจากที่นั่นมันมหาศาลมาก ‘ผู้ตื่น’ กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาในไม่ช้า” ผ้ายันต์แห่งความจริงที่ผนึกอยู่ในฝ่ามือของฮารุเรืองแสงจางๆ เป็นการยืนยันถึงความรู้สึกของอิจิ พวกเขามีเวลาเพียงสองราตรีเท่านั้นก่อนที่ ดวงจันทร์สีเลือด จะปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พันธนาการของ ‘ผู้ตื่น’ จะอ่อนแอที่สุด “เราต้องไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด” อิจิกล่าว “และเราต้องหารหัสลับแห่งบรรพกาลให้เจอด้วย” “รหัสลับนั่น… มันอยู่ที่ไหนกันนะ?” ฮารุถาม “จิตวิญญาณแห่งต้นไม้บอกแค่ว่ามันอยู่ในผืนป่าแห
คืนเดือนมืดปกคลุมผืนป่าดิบชื้นทางตอนเหนือของสยามประเทศ แสงจันทร์แทบไม่สามารถส่องผ่านม่านไม้หนาทึบลงมาได้ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม และเสียงลมกระโชกแรงที่พัดกิ่งไม้ใบหญ้าให้เสียดสีกันเป็นระยะ ราวกับเสียงกระซิบกระซาบจากวิญญาณแห่งป่า อิจิและฮารุยังคงก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ร่างกายของอิจิอ่อนล้าจากบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ ส่วนฮารุก็ดูซีดเซียวจากการใช้พลังแห่งชีวิตครั้งล่าสุด แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นที่จะค้นหาผ้ายันต์ผืนสุดท้ายที่ปรากฏในนิมิตของฮารุ “อากาศที่นี่มันแปลกๆ นะอิจิ” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา “มันเย็นยะเยือกกว่าที่ควรจะเป็น… เหมือนมีบางอย่างกำลังจับจ้องเราอยู่” “ใช่… ฉันก็รู้สึกได้” อิจิตอบ เขากระชับดาบในมือแน่นขึ้น “พลังงานที่นี่ไม่ใช่พลังงานของปีศาจ แต่มันเป็นพลังที่เก่าแก่กว่านั้น… ลึกซึ้งกว่านั้น” ตามนิมิตของฮารุ ผ้ายันต์ผืนสุดท้ายถูกซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้าในป่าลึกแห่งนี้ ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่วบริเวณ และมีแสงสีม่วงเข้มเปล่งออกมาจากรากของมัน “เรามาถูกทางแล้วใช่ไหมอิจิ?” ฮารุถาม “ฉันหวังว่าอย่างนั้นฮารุ
ปดปีผ่านไปนับจากเหตุการณ์บน เกาะแห่งม่านหมอก โลกยังคงสงบสุขภายใต้การดูแลของ อิจิ และ ฮารุ พวกเขายังคงทำหน้าที่ผู้พิทักษ์แห่งสมดุลอย่างเงียบๆ ฮารุในวัย 26 ปี กลายเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาชุมชนให้กับเมืองหลวง เธอใช้ความเข้าใจในธรรมชาติของผู้คนและความผูกพันกับผืนดินในการช่วยฟื้นฟูหมู่บ้านและส่งเสริมการศึกษา อิจิในวัย 30 ปี ยังคงเป็นองครักษ์เงาที่แข็งแกร่งและรอบคอบ แต่บทบาทของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากผู้ปกป้องส่วนตัวของฮารุ เขากลายเป็นผู้ดูแลความมั่นคงของเมือง คอยสืบสวนเหตุการณ์แปลกประหลาดที่อาจคุกคามความสงบสุขของประชาชน ผ้ายันต์แห่งความจริงที่เคยเป็นกุญแจสำคัญในการผจญภัยครั้งก่อนๆ บัดนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในหอคอยแห่งปัญญาของเมืองหลวง เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้และความจริงที่ไม่มีวันถูกลืม แม้โลกจะสงบสุข แต่ภายในใจของอิจิกลับมีความรู้สึกบางอย่างค้างคามาตลอด เขาไม่เคยลืมคำพูดของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ว่า “ข้าจะกลับมา!” และความรู้สึกของเขาบอกว่าความสงบสุขนี้อาจเป็นเพียงม่านบังตา “อิจิ นายยังคงกังวลเรื่องนั้นอยู่หรือเปล่า?” ฮารุถามในขณะที่พวกเขากำลังเดินเล่นในสวนของวังหลวง แสงจันทร์สาดส่องลงมาต้อง
หลังจากทำข้อตกลงกับหัวหน้าเผ่าสึนะ ไคลด์ ไดชิ และดาอิ ก็เริ่มต้นภารกิจที่อันตรายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญมา การเดินทางสู่ แหล่งพลังอาคมแห่งเงาที่แท้จริง ซึ่งซ่อนอยู่ลึกใต้เกาะแสงอรุณ มีเพียงไคลด์เท่านั้นที่รู้ทางเข้า ซึ่งต้องเดินทางผ่านทางน้ำใต้ดินที่ซับซ้อน "พวกเราทุกคนต้องรู้ว่าความมืดมิดที่พวกเจ้าเคยทำลายไปนั้น...เป็นแค่ เปลือกนอก ของพลังงานทั้งหมด" ไคลด์กล่าวขณะนำทางพวกเขาไปยังปากถ้ำที่ถูกซ่อนไว้ใต้รากต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบ "พลังเงาที่แท้จริงไม่ได้มีไว้เพื่อทำลายล้าง แต่มีไว้เพื่อ รักษาสมดุลของผืนดิน เมื่อหลายศตวรรษก่อน ผู้พิทักษ์รุ่นก่อนได้ผนึกมันไว้ไม่ให้ถูกผู้ใดครอบครอง" ปากทางสู่ความมืด ปากถ้ำนั้นแคบและมืดมิด มีเพียงแสงจากตะเกียงอาคมที่ดาอิสร้างขึ้นเท่านั้นที่ช่วยให้พวกเขามองเห็นได้ ไคลด์ลงไปในน้ำก่อน ตามมาด้วยไดชิและดาอิ พวกเขาต้องว่ายน้ำตามกระแสน้ำใต้ดินที่เย็นเฉียบและมืดสนิทไปนานหลายนาที เมื่อกระแสน้ำสงบลง พวกเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ใน อุโมงค์หินขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำค้างและเสียงสะท้อนที่น่าขนลุก พื้นผิวของผนังถ้ำเต็มไปด้วย คริสตัลเงาสีดำ ที่ส่องแสงสลัว ๆ บ่งบอกถึงคว
สองปีผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝัน อิจิ และ ฮารุ กลับมาใช้ชีวิตที่เงียบสงบในเมืองหลวงของสยามประเทศ เมืองที่เคยถูกม่านหมอกแห่งการลืมเลือนปกคลุม บัดนี้กลับมาคึกคักและสดใสกว่าเดิม ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แม้บาดแผลจากอดีตจะยังคงอยู่ แต่พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและสร้างอนาคตที่ดีกว่า ฮารุในวัย 18 ปี เติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามและเปี่ยมด้วยจิตใจที่เมตตา เธอทุ่มเทเวลาให้กับการสอนหนังสือเด็กๆ ในหมู่บ้านที่เคยถูกทำลาย และช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา แม้พลังแห่งชีวิตจะหายไปจนหมดสิ้น แต่จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์และเข้มแข็งของเธอกลับเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม อิจิยังคงเป็นองครักษ์เงาของเธอ คอยปกป้องเธอจากห่างๆ และเฝ้ามองการเติบโตของเธอด้วยความภาคภูมิใจ เขารู้สึกถึงความสงบสุขที่แท้จริงที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน “อาจารย์ฮารุ! วันนี้จะเล่านิทานเรื่องอะไรให้ฟังคะ?!” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งดังขึ้น เด็กๆ หลายคนมารวมตัวกันรอบๆ ฮารุ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ฮารุยิ้มอ่อนโยน “วันนี้อาจารย์จะเล่าเรื่องของ ผู้
แสงแรกของอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาในศาลเจ้าโบราณที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของป่า อิจิ และ ฮารุ ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าของพวกเขามีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการผจญภัยที่ยาวนาน แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว หลังจากการเดินทางผ่าน เมืองแห่งความทรงจำ และการเผชิญหน้ากับ ‘ผู้พิทักษ์’ ที่ถูกควบคุมโดย ‘ผู้ตื่น’ พวกเขาได้รับรู้ถึงแผนการอันชั่วร้ายของ ‘ผู้ตื่น’ ที่ต้องการจะลบเลือนความทรงจำของมนุษย์เกี่ยวกับอดีตทั้งหมด เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ที่มันคือผู้ปกครองสูงสุด “เราจะทำลาย ‘คำสาปแห่งการลืมเลือน’ ได้ยังไงอิจิ?” ฮารุถาม น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา เธอวางผ้ายันต์แห่งความจริงลงบนฝ่ามือ มันเป็นเพียงแผ่นผ้าเก่าๆ ธรรมดาๆ ไม่มีแสงเรืองรองใดๆ เหลืออยู่แล้ว อิจิหยิบผ้ายันต์ขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ “ไคบอกว่าพลังของเธอที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณแห่งความทรงจำที่แท้จริงคือกุญแจ… และการทำลายคำสาปนี้จะต้องแลกด้วยพลังแห่งชีวิตของเธอทั้งหมด” “ฉันรู้… และฉันก็พร้อมที่จะเสียสละมัน” ฮารุกล่าว ดวงตาของเธอฉายแววแน่วแน่ “ฉันจะไม่ยอมให้ความจริงถูกบิดเบือนไปตล




![[Unlimited Money] ระบบเงินทุนไร้ขีดจำกัด](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


