วันที่ 31 เดือนตุลาคม...
รถยนต์คันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว บนถนนที่กำลังออกนอกจังหวัดกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดนครปฐม มีรถยนต์ผ่านมาบ้างเพียงสามสี่คัน ภายในรถยนต์คันนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นผู้ขับ เธอสวมแว่นตาดำขับรถมาจนถึงสี่แยกแห่งหนึ่ง สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากสีเหลืองมาเป็นสีแดงภายในพริบตา
หญิงสาวเงยหน้ามองเห็นไฟจราจรเปลี่ยน เท้าเหยียบเบรกรถยนต์ แต่...เบรกกลับไม่ยอมทำงานอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้หญิงสาวบนรถเริ่มมีสีหน้าตื่นตระหนก เธอกรีดร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นว่ารถไม่ยอมหยุด
“กรี๊ดดด!!!”
โครม!!!
รถยนต์ของหญิงสาวพุ่งชนกับรถอีกคันหนึ่ง เศษกระจกแตกกระจายเกลื่อนกลางสี่แยก รวมถึงชิ้นส่วนอื่นๆ ที่กระจัดกระจาย เสียงคนกรีดร้องจากริมถนนและรถยนต์คันอื่นที่จอดติดสัญญาณไฟแดงอยู่แถวนั้น เพียงครู่เดียวก็มีพลเมืองดีโทรศัพท์เรียกหน่วยกู้ภัยและตำรวจทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ
น่าแปลก...ที่รถยนต์ของฝ่ายหลังถึงจะพังยับเยิน แต่คนขับรถที่เป็นผู้ชายกลับไม่เป็นอะไรเลย แค่ฟกช้ำจากการถูกกระแทกเพียงเล็กน้อย
กลับกัน...หญิงสาวในรถยนต์อีกคัน ร่างกายกระแทกกับพวงมาลัยรถ เศษกระจกบาดตามตัวของเธอผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น มีชิ้นหนึ่งบาดเข้าที่คอจนเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ทำให้เสียเลือดไปมาก
เจ้าหน้าที่กู้ภัยคนหนึ่งเปิดประตูรถยนต์คันนั้นและได้เห็นสภาพของหญิงสาวที่ฟุบอยู่ตรงพวงมาลัยรถ พร้อมกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว เขาจับชีพจรของเธอ มองไปยังเบาะรถยนต์ด้านหลัง เห็นกระเป๋าถือของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายวางอยู่ เขากำลังจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋านั้นมาดู แต่แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
“เฮ้ย!”
เขาร้องอุทานด้วยความตกใจ แต่เมื่อตั้งสติได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากกระเป๋าตรงหน้าจึงเปิดกระเป๋าออกดู ก่อนพบกับโทรศัพท์ที่มีสายเรียกเข้า หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาว่า ‘น้องสาว’
เจ้าหน้าที่กู้ภัยหันมาเจอตำรวจคนหนึ่งยืนอยู่แถวนั้น เขายื่นโทรศัพท์ให้ตำรวจ แล้วหันมาค้นในกระเป๋าต่อจนเจอกระเป๋าสตางค์ของเธอ เขาเปิดออกดูหาบัตรประชาชน จะได้รู้ว่าหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายคนนี้คือใคร?
“เจอแล้วครับ ชื่อผู้ตาย นางสาวนิรมล...”
“ที่นี่...ที่ไหนกันนะ?”
หญิงสาวหันมองรอบตัวที่มืดมิดจนไม่รู้ทิศทาง หูได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของมนุษย์หรือสัตว์กันแน่ เธอหันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียง และคงหันมองรอบตัวอีกนาน หากไม่ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“ยังมีดวงวิญญาณหลงเหลืออีกหรือนี่ เจ้าน่ะชื่ออะไร?”
หญิงสาวหันหน้าไปมองก็พบชายคนหนึ่ง รูปร่างดูสูงใหญ่กว่าปกติ แต่ไม่สวมเสื้อ นุ่งโจงกระเบนสีแดง เมื่อเธอหันหน้ามามองเห็นว่าเขามายืนใกล้ชิดจนต้องถอยหลังหนี ด้วยความรู้สึกเกรงกลัวอะไรบางอย่างจาก ‘เขา’
“เจ้ามากับข้าทางนี้เถิด”
ชายคนนั้นเดินนำหน้าหญิงสาวที่ยังคงหันมองรอบทิศทาง หูยังคงเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นเรื่อยๆ จนเธอเริ่มรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็ยังคงเดินตามหลังทั้งที่ในหัวยังคงมีคำถามอยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่คือที่ไหน จนเห็นสะพานเล็กๆ ตรงหน้า
“เจ้าเดินข้ามสะพานไปด้านโน้นเถิด”
หญิงสาวทำตามโดยดี แต่ก็ยังคงคิ้วขมวดด้วยความสงสัยจนอดที่จะถามไม่ได้
“ที่นี่คือที่ไหนคะ?”
“ที่นี่คือยมโลกยังไงละ หากเจ้าเดินข้ามสะพานไปทางด้านโน้น เจ้าจะได้พบกับท่านยมบาล”
ชายร่างสูงใหญ่นั้นคือ ‘ยมทูต’ นั่นเอง หญิงสาวก้มลงมองตัวเอง ก่อนพบว่าร่างของเธอโปร่งแสง แทบมองไม่เห็นแม้แต่มือ เธอได้แต่พึมพำอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“นี่...ฉะ...ฉันตายแล้วเหรอ แล้ว...ฉันตายได้ยังไงคะ”
“นี่เจ้าจำไม่ได้จริงๆ หรือว่าเจ้าตายได้ยังไง เจ้าเกิดอุบัติเหตุ รถยนต์ของเจ้าพุ่งชนกับรถอีกคันกลางสี่แยก”
หญิงสาวค่อยๆ นึกทบทวนความทรงจำ
“ใช่ ฉันจำได้ว่าเบรกรถยนต์ไม่ทำงาน พยายามเหยียบเบรก...แต่...”
‘ยมทูต’ คิดว่าถ้าปล่อยให้หญิงสาวถามอยู่แบบนี้ เธอคงไม่เดินไปไหนแน่ เขาใช้มือลากหญิงสาวให้เดินข้ามไปด้วยกัน
“เจ้าเดินข้ามสะพานไปเถิด ข้าไม่มีเวลาแล้ว เดี๋ยวข้าจะต้องไปรับดวงวิญญาณดวงอื่นอีก เจ้ามาทางนี้”
หญิงสาวจะร้องโวยวายหรือขัดขืน แต่เหมือนโดนสะกดให้ต้องทำตาม ระหว่างนั้นเธอหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เกิดขึ้น ภาพในหัวเริ่มค่อยๆ ปะติดปะต่อ และเริ่มชัดเจนโดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ อยู่ๆ พูดโพล่งออกมา
“ใครตัดสายเบรกหรือเปล่า?”
ยมทูตที่พาเดินนำหน้ามาหยุดชะงัก
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“เอ่อ ฉะ...ฉันไม่แน่ใจ ทะ...ท่านจะพาฉันไปไหนคะ”
หญิงสาวมีอาการหวาดกลัวเพิ่มขึ้น ยิ่งกำลังจะเดินข้ามสะพานไปอีกด้าน เธอหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ตัว แต่กลับไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด หูยังคงได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งผู้ที่เดินนำหน้าเธอหยุดเดิน ทำให้หญิงสาวหันมามองตรงหน้า
ด้านหน้าของหญิงสาวมีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่สูงจนเธอต้องแหงนหน้ามอง ท่าทางดูมีอำนาจและดูน่าเกรงขาม ยมทูตที่พาเธอเข้ามารีบบอกอีกฝ่าย
“ยังมีดวงวิญญาณอีกหนึ่งดวง กระผมพามาจากด้านหน้านี่เองขอรับ”
“เจ้าชื่ออะไร?”
หญิงสาวกำลังจะตอบ แต่แล้วกลับมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นจนเธอตกใจ ท่านยมบาลรีบออกคำสั่งกับยมทูตตรงหน้า
“เจ้าไปดูทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น”
ยมทูตหายไปตามคำบัญชา ท่านยมบาลหันมามองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังมองซ้ายขวา มือข้างหนึ่งจับที่หน้าอก ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เสียงกรีดร้องโหยหวนจากที่ดังอยู่แล้วกลับยิ่งดังมากขึ้น จนท่านยมบาลต้องถามซ้ำอีกครั้ง
“เจ้าชื่ออะไร?”
“ดะ...ดิฉันชื่อ นิรมล ติยะสกุลค่ะ”
หญิงสาวพูดตะกุกตะกัก ท่านยมบาลเปิดประวัติดู คิ้วขมวดด้วยความสงสัยกับข้อมูลตรงหน้า ต่างจากเธอที่มีอาการ ‘กลัว’ อย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าเป็นอะไรหรือ”
หญิงสาวหันซ้ายหันขวา ยังคงได้ยินเสียงร้องโหยหวนที่น่ากลัวนั้นอยู่ ปากพูดพึมพำโดยไม่ได้สนใจท่านยมบาลตรงหน้าสักนิด
“ฉันตายแล้วจริงๆ เหรอ ที่นี่คือยมโลก...ฉะ...ฉันตายแล้ว...”
“ใช่ เจ้าตายแล้ว ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนเหล่านั้นหรือไม่ นั่นคือเสียงพวกใจบาปหยาบหนาที่ข้ากำลังลงทัณฑ์พวกมันอยู่!”
หญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก ในใจคิดถึงบาปบุญที่เคยทำมา ท่านยมบาลเหมือนจะรู้ความในใจของเธอจึงพูดขึ้นมา
“หากที่ผ่านมาเจ้าทำบุญหรือทำดี ข้าคิดว่าไม่มีสิ่งใดต้องหวาดกลัวดอก”
คำพูดประโยคนั้นไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวรู้สึกใจชื้นขึ้น แต่กลับนึกถึงสาเหตุการตายของตัวเองจนอดที่จะถาม ‘ท่าน’ ไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้สึกเกรงกลัว
“ฉันสงสัยการตายของตัวเองค่ะ ฉะ...ฉันขับรถมา อยู่ๆ เบรกก็ไม่ทำงาน ต้องมีใครคิดทำร้ายฉันแน่”
“เจ้าตายไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องบนโลกมนุษย์อีก”
ท่านยมบาลพูดเตือนสติ แต่นิรมลอึกอัก คิดลังเลอยู่ในใจ จะพูดดีไหมนะ แต่ถ้าไม่พูด...เธอก็จะไม่มีวันรู้แน่นอน...
“ฉันอยากจะขอร้องท่าน ขอย้อนเวลากลับไปยังโลกมนุษย์อีกครั้งค่ะ อยากขอโอกาสจากท่าน...อยากรู้ว่าฉันไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือเปล่า หรือว่าไปทำอะไรไม่ดี ถึงต้องมาทำร้ายฉัน...จนตาย”
นิรมลพูดอ้อนวอนท่านยมบาล ถึงแม้ว่าเธอกลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าเงยหน้าสบสายตากับ ‘ท่าน’ ได้แต่นั่งก้มหน้า แต่สิ่งที่สงสัยอยู่ในใจกลับมีมากกว่า อีกฝ่ายมองหญิงสาวนิ่ง
“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น ไหนลองบอกข้าที ถ้ามีเหตุผลมากพอ ข้าอาจจะรับฟังเจ้า”
นิรมลนิ่งคิด ค่อยๆ คิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา แต่...เธอกลับนึกอะไรไม่ออกเสียเลย
“ฉะ...ฉัน...เป็นเสาหลักของครอบครัว พ่อแม่คงลำบากแน่ถ้าฉันเสียชีวิต น้องสาวก็ยังเรียนหนังสืออยู่ ไหนจะหน้าที่การงานอีก ฉันยังตายไม่ได้”
ท่านยมบาลมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ไม่พูดอะไรอีก ทำให้นิรมลพูดขอร้องอีกครั้ง
“ฉันรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่...ฉันอยากจะขอร้องท่านสักครั้ง ขอย้อนเวลากลับไปโลกมนุษย์ แค่ครั้งเดียวก็ยังดีค่ะ”
“เจ้าขอร้องข้าขนาดนี้ เจ้ามีสิ่งแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะได้มาง่ายๆ ดอก”
หญิงสาวนิ่งคิด ต้องมีสิ่งทดแทนสินะ จะเอาอะไรไปแลกเปลี่ยนดี? เธอนั่งนิ่งไม่พูดอะไรอยู่นานจนอีกฝ่ายไม่พอใจ
“เจ้าจะว่าอย่างไร ข้าไม่ได้มีเวลามานั่งเฝ้ารอคำตอบจากเจ้าเช่นนี้ดอกนะ”
นิรมลสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นสบสายตากับอีกฝ่าย แววตาแสดงความรู้สึกกลัวและไม่มั่นใจ แต่ก็ตัดสินใจพูดออกมา
“คะ...คือ ฉันจะช่วยเหลือดวงวิญญาณที่กำลังเดือดร้อนค่ะ จะได้เป็นบุญกุศลกับตัวฉัน และช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณเหล่านั้นด้วย”
ท่านยมบาลนิ่ง อ่านประวัติของหญิงสาวตรงหน้าเพื่อคิดทบทวนอีกครั้ง
“ได้ ความจริงแล้วเจ้ายังไม่ถึงฆาต ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า ข้ายินยอมตามที่ร้องขอ แต่เจ้าจะย้อนเวลากลับไปได้เพียงเก้าสิบวันเท่านั้น และมอบสัมผัสพิเศษเปิดดวงตาที่สามให้เจ้ามองเห็น เจ้าต้องช่วยเหลือดวงวิญญาณห้าดวงตามที่พวกเขาร้องขอ เจ้าจะตกลงตามนี้หรือไม่”
“ตกลงค่ะ”
เมื่อสิ้นสุดคำว่า ‘ตกลง’ หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเบา คล้ายๆ จะลอยไปไหนสักแห่ง และในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะหมดสติ หูของเธอได้ยินเสียงดังแว่ว
“แต่เจ้าจะจดจำช่วงเวลาเก้าสิบวันที่ผ่านมาไม่ได้ ยกเว้น...”
เช้าวันรุ่งขึ้น นิรมลไปทำงานตามปกติ โดยไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นที่บริษัทบ้าง หญิงสาวหยิบแฟ้มสรุปงานเมื่อวานที่ไปพบลูกค้ามาเพื่อจะรายงานหัวหน้า ขณะเดียวกันเพื่อนที่นั่งทำงานโต๊ะข้างๆ ก็เดินเข้ามาพอดี เธอรีบวางกระเป๋าแล้วเดินไปหานิรมลเพื่อจะสนทนาถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้“นิว...เมื่อวานเธอไม่อยู่...”“นิวมาหรือยัง?”เสียงดังมาจากข้างหลัง ทุกคนหันหน้าไปมองตามเสียง เพื่อนคนที่กำลังจะเล่าเรื่องหยุดชะงักและถอยห่างจากนิรมลเมื่อเห็นสีหน้าคนถามที่ดูเคร่งเครียด“เมื่อวานผลเป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวคุณเข้าไปสรุปให้ผมฟังที แล้วก็เตรียมข้อมูลและเข้าประชุมกับบอร์ดบริหารกับผมด้วย”“ได้ค่ะ”นิรมลรับคำแล้วรีบถือแฟ้มงานตามเข้าไปในห้องหัวหน้า เพื่อรายงานผลงานเมื่อวานนี้ และออกมาเตรียมเอกสารการประชุมด้วยความเคร่งเครียด จนเพื่อนคนที่จะเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟังได้แต่นั่งมองห่างๆ จนหญิงสาวรู้สึกได้ว่ามีคนมอง“เมื่อเช้านี้พี่จะเล่าอะไรให้ฟังหรือเปล่าคะ หัวหน้ามาพอดีเลยไม่ได้คุยกันต่อ”“ไม่มีอะไรหรอก นิวรีบทำงานเหอะ อีกห้านาทีต้องเข้าประชุมแล้ว เดี๋ยวเตรียมเอกสารไม่ทัน”นิรมลพยักหน้าให้“งั้นค่อยคุยกันนะคะ”นิรม
“ดีใจไหมลูก หนูได้น้องสาวนะ”พ่อของนิรมลพาไปดูน้องที่ห้องทารกแรกเกิด เด็กหญิงนิรมลชะเง้อมองผ่านกระจก ในตอนนั้นเธออายุเพียงสิบสองปี ในความคิดของเด็กๆ เธอคิดว่าน้องสาวเสมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต สามารถเล่นได้ จับแต่งตัวได้หลังจากนั้นไม่กี่วัน แม่ของเธอออกจากโรงพยาบาล ส่วนพ่อไปทำนาคนเดียว แม่หยุดพักเพียงสองสามวันก็ออกไปทำนาช่วยพ่ออีกแรง พาน้องสาวไปเลี้ยงที่ทุ่งนาด้วย จัดการผูกเปลไว้ที่ต้นไม้ แล้วตัวเองไปยืนหลังขดหลังแข็งทำนากลางแดดร้อนๆ ส่วนเด็กหญิงนิรมลต้องไปโรงเรียน เมื่อเลิกเรียนหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เธอจะช่วยแม่เลี้ยงน้องสาวเมื่อเวลาพ่อแม่ไปทำนา หรือเวลาที่แม่ต้องทำงานบ้าน เธอรักน้องสาวมากเพราะช่วยแม่เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยเด็กหญิงนิรมลเห็นพ่อแม่ทำงานหนักแทบทุกวัน ไม่มีวันหยุดเลย นั่นทำให้เธอวางเป้าหมายในชีวิตไว้ทันที‘ฉันจะเรียนหนังสือให้เก่ง จะได้ทำงานดีๆ มีเงินเดือนสูงๆ เลี้ยงดูพ่อแม่เอง จะได้ไม่ต้องทำงานหนักอย่างทุกวันนี้’เวลาผ่านไป นิรมลเรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ เธอได้รับการติดต่อจากบริษัทขายอาหารเสริมที่เธอไปฝึกงาน และหญิงสาวได้เข้าทำงานที่นี่ เธอตั้ง
ตืด...ตืด...เสียงนาฬิกาปลุกดังก้อง ทำให้นิรมลที่นอนอยู่บนเตียงดึงผ้าห่มมาคลุมโปง เพื่อให้ไม่ได้ยินเสียงดังที่รบกวนการนอน พร้อมกับเอื้อมมือมาปิดนาฬิกาปลุกที่ตอนนี้บอกเวลาหกนาฬิกานิรมลคงจะนอนต่ออย่างมีความสุขหากไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หญิงสาวถึงกับร้องออกมาด้วยความหงุดหงิดที่การนอนของเธอถูกรบกวน“โว้ย...คนจะหลับจะนอน”แต่เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง...ไม่ยอมหยุดสักที หญิงสาวหันไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู เบอร์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือเบอร์โทรศัพท์ของหัวหน้างาน“เฮ้ย!”หญิงสาวลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ตั้งสติด้วยการเปิดดูโทรศัพท์อีกครั้ง คราวนี้เสียงโทรศัพท์ทางไลน์ดังขึ้นมาแทน เธอรับโทรศัพท์ทันที‘ผมโทรศัพท์หาคุณตั้งหลายสายแล้ว นี่ตื่นหรือยัง’“อะ...เอ่อ...หัวหน้ามีอะไรคะ ฉันกำลังจะไปทำงานแล้วค่ะ”น้ำเสียงทางฝั่งโน้นไม่ค่อยพอใจเท่าไรนักเมื่อได้ยินคำถามนี้ เสียงของเขาค่อนข้างเคร่งเครียด ในขณะที่นิรมลยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าทำไมหัวหน้าถึงไม่พอใจเช่นนี้‘คุณลืมอะไรไปหรือเปล่า วันนี้มีประชุมตอนเก้าโมงเช้า เดี๋ยวผมกำลังจะออกจากบ้านละ คุณไปเตรียมเอกสารการประชุมให้พร้อมก็แล้วกัน ผมจะได้อ่า
วันที่ 31 เดือนตุลาคม...รถยนต์คันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว บนถนนที่กำลังออกนอกจังหวัดกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดนครปฐม มีรถยนต์ผ่านมาบ้างเพียงสามสี่คัน ภายในรถยนต์คันนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นผู้ขับ เธอสวมแว่นตาดำขับรถมาจนถึงสี่แยกแห่งหนึ่ง สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากสีเหลืองมาเป็นสีแดงภายในพริบตาหญิงสาวเงยหน้ามองเห็นไฟจราจรเปลี่ยน เท้าเหยียบเบรกรถยนต์ แต่...เบรกกลับไม่ยอมทำงานอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้หญิงสาวบนรถเริ่มมีสีหน้าตื่นตระหนก เธอกรีดร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นว่ารถไม่ยอมหยุด“กรี๊ดดด!!!”โครม!!!รถยนต์ของหญิงสาวพุ่งชนกับรถอีกคันหนึ่ง เศษกระจกแตกกระจายเกลื่อนกลางสี่แยก รวมถึงชิ้นส่วนอื่นๆ ที่กระจัดกระจาย เสียงคนกรีดร้องจากริมถนนและรถยนต์คันอื่นที่จอดติดสัญญาณไฟแดงอยู่แถวนั้น เพียงครู่เดียวก็มีพลเมืองดีโทรศัพท์เรียกหน่วยกู้ภัยและตำรวจทันทีที่เกิดอุบัติเหตุน่าแปลก...ที่รถยนต์ของฝ่ายหลังถึงจะพังยับเยิน แต่คนขับรถที่เป็นผู้ชายกลับไม่เป็นอะไรเลย แค่ฟกช้ำจากการถูกกระแทกเพียงเล็กน้อยกลับกัน...หญิงสาวในรถยนต์อีกคัน ร่างกายกระแทกกับพวงมาลัยรถ เศษกระจกบาดตามตัวของเธอผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น มีชิ้นหน