ฉันถูกส่งมาในโรงเรียนที่ขึ้นชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องการใช้งานและควบคุมพลังเวท ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทายฉัน เว้นแต่รูมเมทของฉันที่ยอมคุยด้วย ...ถึงหลายครั้งเธอจะทำมากกว่านั้นก็เถอะ
View Moreบทที่ 1 : คำสาป
ฉันชื่อบลู ความหมายของชื่อมิได้แปลว่าสีน้ำเงินที่สื่อถึงความสงบหรือความมั่นคงตามที่พ่อกับแม่หวังไว้แต่ประการใด หากแต่ในความคิดของฉัน ...ความหมายของมันคือความเศร้า ...หม่นหมอง
ชีวิตของฉันจมอยู่กับความทรมานและโดดเดี่ยวดั่งชื่อเล่นนั้น แม้ทางบ้านจะมีฐานะร่ำรวยและมากด้วยชื่อเสียงบารมีเงินเพียงใด ทั้งพ่อและแม่รักต่างตามใจฉันในหลายๆ เรื่อง แต่เพราะเวทมนตร์ซึ่งยากจะประเมินพลังและมันดันเป็นเวทสายมืด เวท ...ที่ไม่ได้เน้นใช้ป้องกันหรือโจมตีเพื่อขัดขวางอีกฝ่าย มันมีเพื่อปลิดชีพผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตที่เป็นศัตรู เป้าหมาย ใครก็ตาม
...พลังอันใหญ่ยิ่ง ทว่าไม่มีใครคิดว่ามันยิ่งใหญ่ ผู้คนรวมถึงฉันกลับมองมันเป็นเพียง ....คำสาป
ฟูวววว
เสียงของสายลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามายังห้องนอนบนชั้นที่สี่ของบ้านหลังใหญ่
....
....เฮ้อ
เสียงถอนหายใจที่เกิดขึ้นในทุกวันที่ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาแสดงถึงความรู้สึกของการมีชีวิต ...ฉันรับรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
ห้องนอนอันกว้างใหญ่ในบ้านอันกว้างขวาง
บนโลกที่เวทมนตร์อยู่เหนือทุกสิ่ง อยู่ในทุกการกระทำของชีวิต ตระกูลของฉันเมื่อครั้งอดีตกาลคือหนึ่งในตระกูล ...เป็นเพียงตระกูลเดียวที่ช่วยเหลือประเทศแห่งนี้ให้รอดพ้นจากสงครามกับอีกหลายประเทศทั้งจากรอบๆ หรือจากทวีปอันห่างไกล
ทรัพยากร ธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ของประเทศแห่งนี้เป็นที่หมายปองของทุกคนที่แสวงหาในอำนาจและความมั่งคั่ง
แต่เพียงไม่นานที่บรรพบุรุษของฉันปรากฏตัว ทุกคนที่เคยคิดจะบุกโจมตีประเทศแห่งนี้ก็ต้องหยุดความคิดลมๆ แล้งๆ นั้นทันที บ้างก็ยอมแพ้แต่โดยดี หรือบ้างก็เลือกที่จะสู้กับเราต่อ ...ผลของการต่อสู้เป็นไปเหมือนดั่งทุกครั้ง พวกเขาดันทุรังสู้ทั้งที่รู้ว่าชะตากรรมจะออกมาเป็นแบบไหน ทุกคนที่ดาหน้ากันเข้ามาเหลือกลับไปเพียงแค่ชื่อเปล่า ใครก็ตามที่เป็นศัตรู ผู้ใดก็ตามที่กล้าหันคทาเวทใส่ชายในชุดคลุมสีดำ ...เพียงไม่กี่อึดใจร่างเหล่านั้นจะกลายเป็นเพียงเถ้าธุลีละเอียด
...
ฉันคือ “บูล เชอร์โนบ็อก” ลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีอำนาจทัดเทียมกับกษัตริย์ของประเทศหรืออาจมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่กษัตริย์ของที่นี่ถูกผู้คนนับถือจากวีรกรรมอันกล้าหาญและความคิดต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
...ต่างจากเชอร์โนบ็อก ผู้คนนับถือเราเพียงพบสบตาเผชิญหน้า ลับหลังหาใช่จะเป็นแบบนั้นไม่ แน่นอนว่าคำพูดของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยการนินทาว่าร้ายใส่เรา
...เวทมนตร์แห่งความมืด มันไม่มีชื่อเรียกที่ชัดเจน บ้างก็ถูกเรียกว่าเวททำลายล้างหรือความว่างเปล่า
พลังของตระกูลนี้มีมากจนเกินไป มากจนหนึ่งในผู้นำตระกูลจากยุคอดีตต้องคิดค้นสิ่งที่จะใช้ควบคุมพลังเวทไม่ให้ถูกใช้มากจนเกินไป จนผู้ใช้ควบคุมไม่ได้
...ใช่ เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ครั้งหนึ่งในช่วงสงครามอันยิ่งใหญ่ การต่อสู้ช่วงสุดท้าย หนึ่งในผู้นำตระกูลของเราดันเผลอปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีออกมาเพื่อทำลายฝ่ายศัตรู ความโกรธแค้นที่คนรักถูกอีกฝ่ายฆ่าในการต่อสู้ทำให้เขาหมดอาลัยตายอยาก ชายคนนั้นขาดสติและระเบิดพลังอันน่าหวาดกลัวออกมา
พรึบ!
เสมือนมีเสียงเพลงอันน่าหดหู่บรรเลงออกมาพร้อมๆ กับรอบข้างที่กลายเป็นสีดำทมิฬ
รอบๆ ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรถูกความมืดเข้าโจมตี ใจกลางพลังคือชายที่หัวใจแตกสลาย ต้นไม้ใบหญ้า ศัตรูหรือฝ่ายเดียวกัน ทุกคนที่ถูกพลังนี้สัมผัสกลายเป็นผุยผงเพียงเวลาไม่นาน
พื้นที่แห่งนั้นไม่เหลืออะไรเลยในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ทุกอย่างมันจบลง การต่อสู้ที่อีกฝ่ายรู้ว่าผลแพ้ชนะนั้นตายตัวอยู่แล้ว หากแต่เมื่อได้เห็นพลังนี้ด้วยตาตัวเอก ผู้คนที่รอดมาได้ก็ยิ่งไม่กล้าหืออือมากเข้าไปอีก
...ทั้งหมดคือเหตุผลที่คทา “เมเจียร์” ถูกสร้างขึ้น ด้ามจับสีดำทำจากแร่เวทมนตร์หายากสลักขึ้นรูปทั้งด้าม ส่วนบนมีลูกแก้วสีชมพูอ่อนตั้งไว้เพื่อเป็นศูนย์กลางช่วยในการควบคุมพลังและกิ่งไม้หนาที่คอยประคองลูกแก้วเอาไว้ หากผู้ใช้ยิ่งปล่อยพลังออกมามากเพียงใด สีของมันจะยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยจนกลายเป็นสีดำและบังคับร่างของผู้ใช้ให้หยุด
แม่มด พ่อมด นักเวททุกคนจะต้องมีคทาเพื่อใช้ร่ายเวท เมเจียร์เองก็คือคทาตามที่ว่ามา หากแต่ไม้ทั่วๆ ไปไม่สามารถรับความหนักของลูกแก้วกลมวงนี้ได้ การสร้างด้ามจับที่เหมาะสมจนกลายมาเป็นแท่งแร่ขนาดใหญ่จึงเป็นเหตุผลให้ตัวคทานี้ใหญ่กว่าคทาทั่วๆ ไป
หากเทียบราคาของคทานี้ มันคือหนึ่งในสมบัติชิ้นสำคัญของประเทศ แต่เพราะระบบป้องกันตัวเองเมื่อถูกจับโดยผู้ที่ประสงค์ร้าย คทาจะแผ่ความรู้สึกด้านลบออกมาจนคร่าชีวิตผู้ที่คิดร้ายลงตรงนั้นเลยก็มี
ตระกูลของฉันคือความมั่นคงของประเทศ ไม่แปลกที่เราจะร่ำรวยและมากด้วยอำนาจจากเงินของราชวงศ์ที่มอบให้ทุกปี
คฤหาสน์ขนาดใหญ่พร้อมสวนดอกไม้และทะเลสาบหลังบ้าน ทั้งหมดล้วนบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของเชอร์โนบ็อก
ต๊อก ต๊อก ต๊อก
เด็กสาวค่อยๆ ยกร่างของตัวเองให้ลุกออกจากเตียงก่อนจะก้าวเท้าเดินตรงไปยังห้องน้ำที่ถูกสร้างไว้ในห้องนอน เธอมองตรงไปยังกระจกเงาบานใหญ่เบื้องหน้า
ผมสีเทาคล้ายสีของขี้เถ้า ดวงตาสีดำทมิฬที่มองกลับมายังตนเองด้วยความเบื่อหน่าย
ร่างของเด็กสาวที่ดันเกิดมาในครอบครัวต้องสาป เธอค่อยๆ วักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเพื่อทำให้ตัวเองสดชื่นก่อนจะเดินออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ไม่เพียงแค่ห้องน้ำในตัวที่กว้างใหญ่ ของใช้อย่างเสื้อผ้าหรือรองเท้าเองก็มีให้เลือกใช้ไม่ซ้ำวันเช่นกัน เด็กสาวชอบสีโทนดำซึ่งอิงจากเสื้อและกระโปรงที่มีในตู้ แม้แต่ชั้นในเองก็เป็นสีดำหรือสีเทาเรียบ
...
ฟรุบ!
ชุดเดรสแขนสั้นสีม่วงลากไปถึงกระโปรงยาวเกือบคลุมเข่า เธอจัดระเบียบทรงผมอีกทีก่อนจะยิ้มมุมปากให้ตัวเอง
...โอเค
ต๊อก ต๊อก
บลูก้าวขาออกมาจากห้องนอนตรงลงมาที่ชั้นสองของบ้าน มุ่งหน้าไปยังโต๊ะทานข้าวตัวใหญ่ในห้องที่ถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบหรูซึ่งพ่อและแม่ของเธอกำลังรออยู่
“รอกันนานรึเปล่าคะ?”
เด็กสาวเอ่ยถามคนทั้งสองด้วยความจืดเจื่อน ทว่าทั้งสองกลับยิ้มแล้วตอบกลับอย่างร่าเริง
“ไม่เลยๆ พ่อก็พึ่งมาเอง อีกอย่างอาหารก็ยังมาเสิร์ฟไม่ครบเลยด้วย”
“มาสิลูก วันนี้มานั่งข้างๆ แม่มั้ย?”
“ค่ะ! ฮิ ฮิ”
...แม้นี่จะเป็นตระกูลต้องสาปตามที่ผู้คนกล่าวหา แต่สำหรับฉัน อย่างน้อยความรู้สึกที่พ่อและแม่มีให้ มันคือครอบครัวแสนสุขครอบครัวหนึ่ง
ฟึบ..
เด็กสาวเลือกนั่งเก้าอี้ข้างแม่ของตนก่อนจะนั่งลงและโน้มตัวไปซบไหล่อีกฝ่ายอย่างประจบประแจงโดยมีชายแก่ร่างผอมสูงเส้นผมสั้นสีดำมองมาทางนี้พลางหัวเราะคิกคักให้
“โยดิน เชอร์โนบ็อก” ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันหรือพ่อของบลู
“เฮร่า เชอร์โนบ็อก” หญิงแก่ซึ่งมีผมสีขาวคล้ายกับเด็กสาวที่นั่งข้างๆ แม่ของบลู
...ครอบครัวของฉันถึงจะถูกสังคมภายนอกมองไปในทางไม่ดีซึ่งมันทำให้ฉันอึดอัดทุกครั้งที่ต้องออกไปนอกบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นพ่อของฉันก็เลือกจะมองข้ามและให้ความสำคัญกับความรู้สึกคนในครอบครัวเป็นหลัก
พวกเราทั้งสามมีกันและกัน คนรับใช้ที่ถูกจ้างมาเองก็ใช่ว่าจะมากมายอะไร พวกเขาล้วนเคยเป็นเด็กยากไร้ที่ถูกเราช่วยเหลือและมอบทั้งอาชีพและที่พักพิงให้ รายได้ของตระกูลมาจากเงินประจำตำแหน่งที่ทางอาณาจักรมอบให้และจากธุรกิจเหมืองแร่ของคุณพ่อ
แม้จะมีคนรับใช้หลายคนพยายามแก้ต่างตอนถูกคนรู้จักทักเรื่องความน่ากลัวของตระกูลเชอร์โนบ็อก แต่ใครจะเชื่อคำท้วงติงจากคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ซ้ำร้ายคนพวกนั้นยังคิดว่าเราเป็นฝ่ายไปล้างสมองคนงานเสียเองอีก
...ในตอนที่ฉันเข้าใจความเป็นไปทุกอย่างของครอบครัว ฉันตั้งมั่นกับตัวเองสามข้อ
หนึ่งคือฉันจะศึกษาเวทมนตร์หลายๆ รูปแบบและเลี่ยงเวทสายมืดให้ถึงที่สุด สองคือฉันจะทำตัวดีและยิ้มให้ทุกคนแม้ต้องปั้นหน้าเพียงใดก็ตาม และสามคือการหาเพื่อนให้ได้
ในตอนนี้ฉันอายุสิบหกปีและอยู่ในช่วงที่ต้องเลือกโรงเรียนเพื่อเรียนต่อ
“บลู โรงเรียนที่แม่แนะนำไป มีที่ไหนที่ถูกใจลูกบ้างมั้ย?”
“...ยังเลยค่ะ”
หญิงแก่ผู้เป็นแม่เองก็ลำบากใจที่ลูกของตนถึงวัยที่ต้องเข้าเรียนต่อ เฉกเช่นผู้ปกครองทุกคนเมื่อลูกของตัวเองถึงวัย เธอพยายามหาโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากมายมาให้บลู ทั้งหมดคือโรงเรียนขึ้นชื่อระดับประเทศและมีที่ตั้งไม่ห่างจากบ้านมากนัก
“ฮืมมม ...ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาอีกเป็นเดือนให้หาโรงเรียนที่ลูกชอบเนอะ”
“ค่ะ...”
พวกเราคุยสัพเพเหระกันจนอาหารเช้าถูกนำมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ เมนูบนจานนั้นมากมายและดูหรูหราแม้มื้อเช้ามันไม่ควรจะมากขนาดนี้ก็ตาม ขนาดของจุกจิกอย่างผักที่ถูกใช้ตกแต่งรอบจานเองก็ถูกสลักเป็นลวดลายประณีตสวยงาม
“นี่เป็นผลงานที่ฉันลองสลักเล่นดูน่ะค่ะ หวังว่าจะชอบนะคะ”
สาวเสิร์ฟชี้แจงถึงการตกแต่งอาหารให้พ่อของฉันพลางยิ้มหวานให้
“หรอๆ อืม สวยแหละแต่ทำแบบนี้ไม่เมื่อยแย่หรอ?”
“ไม่เลยค่าาา”
...
“ตาแก่ เธออายุห่างกับคุณสามสิบปีเลยนะ อีกอย่างภรรยาของคุณก็นั่งอยู่ตรงนี้นะ เบาได้เบาเนอะ”
“....? ผมเปล่านะๆ”
“ฉันล้อเล่นค่ะ ...ขอบคุณที่เอาอาหารมาให้นะ ไปพักเถอะ”
“ค่ะนายหญิง ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวอายุยี่สิบต้นๆ เดินจากไปพร้อมกับถาดกลมใส่อาหาร ชุดเมดสีดำแซมด้วยชายผ้าสีขาวคือสัญลักษณ์ของคนรับใช้ภายในบ้าน พวกเธอมีหน้าที่ดูแลเรื่องงานบ้านทั้งหมด นั่นเลยทำให้คนที่ใส่ชุดเมดจะมีจำนวนมากที่สุดในบ้าน รองลงมาคือชาวสวนที่คอยดูแลทั้งสนามหญ้า สวนดอกไม้และทะเลสาบรอบตัวบ้าน
เวทมนตร์คือตัวช่วยให้การทำงานต่างๆ ดูง่ายไปหมด ไม่แปลกที่หญ้าในสนามจะสูงพอดีกับความต้องการของเราตลอดเวลา
บทที่ 7 : คำที่อยากบอกทัศนศึกษา การค้นคว้าหาความรู้นอกห้องเรียน หรืออาจแค่เปลี่ยนบรรยากาศให้น่าเบื่อกว่าเดิมการออกผจญภัยนอกสถานที่ สำหรับหลายคนคงมองเป็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจ แต่หาใช่กับฉันไม่ มันเหน็ดเหนื่อย ยากลำบากและเป็นการเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์“สัปดาห์หน้าอาจารย์จะพาทุกคนไปทัศนศึกษาในป่าหลังโรงเรียนกันนะ”“เฮ้!!”...หา?เหล่านักเรียนต่างส่งเสียงดีใจกันยกใหญ่ ผิดกับเด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่มุมหลังสุดของห้อง เธอเบี่ยงสายตาออกไปนอกหน้าต่างด้านซ้ายมือก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย...ฉันชอบป่า ชอบธรรมชาติ แต่ทัศนศึกษาทำให้การพักผ่อนไม่เป็นอิสระ...อีกอย่างคือมันไม่ใช่ป่าเล็กๆ แบบหลังบ้านนี่สิ“ส่วนกิจกรรมก็ตามนี้เลยนะ”ชายแก่ยื่นแผ่นกระดาษที่ระบุช่วงเวลาการทำกิจกรรมไว้คร่าวๆ ให้นักเรียนทุกคน ฉันแทบจะเป็นลมเมื่อเห็นว่าการเดินทางครั้งนี้ต้องค้างกลางป่าหนึ่งคืน“...”...แกไม่รอดแน่บลู“เจอกันที่ทะเลสาบหลังโรงเรียนตอนเก้าโมงเช้า พายเรือข้ามไปอีกฟาก เดินขึ้นเขาต่อ แล้วก็ตั้งแคมป์บนที่ราบสูง สุดท้ายก็วาดรูปวิวทิวทัศน์”“....”“รอบแรกไปกันแค่ผู้หญิง นั่นช่วยตัดจำนวนคนเหลือแค่สิบกว
ณ ห้องนอนซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นสามของพระราชวัง ร่างของฉันกำลังนั่งลงบนเตียงและเหม่อมองรอบห้องอย่างไม่ตั้งใจตัวเองยังคงสับสนที่อยู่ดีๆ ก็มาโผล่ที่ห้องแห่งนี้ เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านไปโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัวอาหารเย็นที่ทานกันอย่างสุภาพแต่ฉันกลับคิดว่ามันเร็วจนแทบไม่รู้สึกตัว......ถ้าเหม่อไปเรื่อยๆ อยู่แบบนี้จะไปโผล่ที่ห้องหอพักเลยรึเปล่านะก๊อก ก๊อก“บลู หลับรึยัง?” เด็กสาวกับน้ำเสียงแสนคุ้นเคยเคาะห้องเรียกฉันเบาๆแอ๊ดดดด“อ่าว แกรด? ไม่ได้ไปเดินเล่นกับพวกอายหรอ?”“ไม่หรอก เราขอเข้าไปได้มั้ย?”“...อืม”อย่างน้อยในห้องอันใหญ่โตนี้ก็ไม่เงียบเหงา ข้างกายของฉันมีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างรื่นเริง“มานี่สิ”...?แกรดชวนให้ฉันเดินออกไปที่หน้าต่าง เธอชวนฉันมองดูเมืองรอบๆ ผ่านทางหน้าต่างแสงไฟยามค่ำคืนและความวุ่นวายไม่สงบ“...ให้ฉันดูอะไรหรอ?”“ดูเมืองไง”“...?”เด็กสาวค่อยๆ ชี้นิ้วไปตรงโน้นทีตรงนี้ทีพลางสาธยายที่ตรงนั้นด้วยจินตนาการของเธอ“ตรงนั้นน่าจะเป็นตลาดนัด ตอนนี้ป้าที่เรากำลังชี้อยู่คงกำลังทอนเงินลูกค้าอยู่”“...”“ส่วนลุงคนนั้นก็กำลังโดนโจรล้วงกระเป๋า เดี๋ยวๆ แบบนั้นไม่ได้
“ฮืมมมม ...ชาเซเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังบ่อยๆ เลย พอได้เห็นตัวจริงเลยเข้าใจว่าทำไมเขาถึงถูกใจเธอขนาดนี้”“...ค่ะ”“อ่าว ไม่ได้สนิทกับชาเซหรอกหรอ? เห็นเขาพูดถึงเธอบ่อยๆ เลยนะ”ชายแก่เห็นถึงความผิดปกติจากสีหน้าอันเหนื่อยใจของแกรด ในตอนนี้ผู้เป็นราชาเข้าใจหลายๆ อย่างเป็นที่เรียบร้อย“พวกเราแค่อยู่ห้องเรียนเดียวกันเพียงเท่านั้นค่ะ”“เฮ้อ ...ขนาดผู้กล้ายังมีสิ่งที่สู้ไม่ได้อยู่สินะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”“...ครับ” ชายหนุ่มยิ้มแห้งก่อนจะตอบกลับพระราชา“ขนาดถูกชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาขนาดนี้จีบยังไม่ไหวติง ...คงมีคนในใจอยู่แล้วสินะ”...ใช่ค่ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆปากของฉันมันคันจนสั่นไปหมดแล้ว“...ค่ะ”“อะ โอ๊ะ ประกาศกันเลยหรอ? เอาเถอะ ยังไงก็ยินดีกับชายหนุ่มผู้โชคดีคนนั้นด้วยแล้วกัน”...เธอเป็นผู้หญิงค่ะ หนูเองค่ะ หนูๆๆๆๆๆๆๆ!“...ข ขอบคุณค่ะ”พระราชาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเบนสายตามาทางฉัน ดูจากสีหน้าคงรู้จักฉันอยู่แล้วสินะ“เขาบอกว่าเธอไม่ค่อยยิ้ม แต่เขาบอกว่าเธอไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คนอื่นๆ คิดกัน”“...?”“เป็นตามนั้นรึเปล่า? บลู เชอร์โนบ็อก”คำถามที่ถูกเอ่ยอย่างเรียบนิ่งทำฉันขนลุกสู้ซุบซิบ ซุบซิบเหล่าขุนนางเร
“อาย ...ฉันกลัวจะทำพลาดจังเลย”เด็กสาวผมฟ้าเริ่มมีสีหน้าอมทุกข์ทันทีที่ประตูรถถูกปิด เธอหันไปบ่นงึมงำกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างโอดครวญ“...เมื่อวานฉันพาเธอซ้อมการทำความเคารพไปหลายๆ อย่างแล้วนะ ไม่เป็นไรหรอก”“...”ลิลิธเป็นเพียงเด็กสาวคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ได้มาจากตระกูลร่ำรวย เธอเป็นเพียงลูกสาวของตระกูลคนรับใช้ที่คอยดูแลครอบครัวของอายอีกที นั่นเลยทำให้เด็กสาวมีปัญหาจากการเข้าพูดคุยกับคนใหญ่โตพอสมควร รวมถึงการถูกเหยียดและสายตาของผู้คนที่มองเธอด้วยความดูหมิ่น สำหรับเธอมันคงเป็นอะไรที่ชวนให้ลำบากพอสมควร“ไม่เป็นไรนะๆ เดี๋ยวฉันพาไปเที่ยวในเมืองตอนกลางคืน”“...อืม”...อย่างน้อยเธอก็มีคนปกป้องแหละนะการเดินทางอันยาวนานทำให้ฉันเริ่มเมื่อยล้า ดวงตาของฉันปิดลงพร้อมๆ สติที่ดับไปชั่วขณะ กระทั่งมีบางอย่างปลุกฉันให้ตื่นบลูรับรู้ได้ถึงการโต้ตอบของผู้คนมากมายที่เริ่มส่งเสียงดังขึ้นเรื่อย ดังขึ้นเรื่อย และดังขึ้นข้างๆ หูของเธอ“....บลู”“...อึ อืมมมม”ฉันสะดุ้งตัวตื่นหลังถูกปลุก เสียงที่คิดว่าเป็นแค่ฝันบัดนี้มันเกิดขึ้นจริงเมื่อได้มองออกไปยังหน้าต่างซึ่งถูกแง้มออกเล็กน้อย...“...เราถึงเมืองหลว
บทที่ 6 : คำให้การ“อึ อืมมมมม”เด็กสาวลืมตาตื่นก่อนจะยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจหนึ่งที...ปวดแขน“...?”ระดับสายตาถูกลดต่ำลงก่อนจะพบร่างอันเปลือยเปล่าของตัวเองบนเตียงยับยู่ยี่...ลืมเลยว่าไม่ได้ใส่เสื้อผ้าบลูเหลือบตาหันไปมองจ้องแกรดซึ่งกำลังทำหน้าจิ้มลิ้มนอนหลับอยู่ข้างๆ กายของเธอ..//..เด็กสาวยิ้มให้ความเอ็นดูนั้นก่อนจะค่อยๆ ย่องออกจากห้องไป...เมื่อคืน ...เหมือนฝันเลย“ก ...แกรด เช้าแล้-”“อืมมมม”ฉันกลับมากปลุกเด็กสาวหลังอาบน้ำด้วยน้ำเสียงประหม่า แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะเป็นเอามากกว่า แกรดตอบกลับฉันด้วยเสียงกระอ้อมกระแอ้ม ร่างที่ไร้อาภรณ์กำลังบิดกระมิดกระเมี้ยนไปมาพร้อมกับผ้าห่มที่ถูกจับขึ้นมาคลุมร่างเปลือยเปล่าเอาไว้อย่างขวยเขิน“...//..”“...เดี๋ยวเราออกไปนะ”“...อืม”วันศุกร์ วันหยุดสำหรับนักเรียนทุกคนลากยาวไปถึงวันเสาร์อาทิตย์ณ ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่นอกบ้าน บลูกำลังนั่งเหม่อมองท้องฟ้ารออาหารกลางวันจากเด็กสาวอีกคนด้วยสีหน้าตะกุกตะกัก“มาแล้ว...”“...ขอบคุณนะ”“ค่ะ //”ฉันยื่นมือไปรับอาหารมาวางก่อนจะรินน้ำใส่แก้วให้แกรดพลางชำเลืองมองใบหน้าอีกฝ่ายเป็นพักๆก๊อก ก๊อก ก๊อก“แกรด บลู เป็นไ
...อึ อืม...?ฉันลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกบนเตียงของตัวเอง...ใช้แรงมากไปจริงด้วย...แกรด?ฉันหันไปมองรอบๆ ก่อนจะสะดุดกับเด็กสาวคนหนึ่งที่นอนหลับอยู่ข้างๆ...เตียงของฉันมีเด็กสาวอีกคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่...ใบหน้าตอนหลับยังคงงดงามแต่ก็แฝงความน่าเอ็นดูไว้อย่างคาดไม่ถึง...ฉันเองก็ต้องขอบคุณที่เธอช่วยโรงเรียนแล้วก็ช่วยพาฉันกลับมาที่นี่ด้วยสินะฉันมองจ้องใบหน้าของแกรดโดยมิอาจละสายตาไปทางอื่นได้ ใจของฉันเริ่มเต้นแรง...//...จุ๊บ......ยามเมื่อบรรยากาศนั้นเป็นใจ โดยที่อาจทำไปอย่างไม่ตั้งใจ ฉันโน้มตัวไปหอมแก้มของเด็กสาวในตอนที่เธอหลับ แบบนี้เรียกว่าฉวยโอกาสได้มั้ยนะ ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นคนบอกให้เว้นระยะห่างเองแท้ๆฟรึบ!...!?หมับ!บลูกะจะเดินออกไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมานอนต่อ ทว่าบางอย่างกำลังดึงแขนของเธอเอาไว้เด็กสาวหันไปมองแขนตัวเองก่อนจะพบว่าแกรดกำลังตื่นอยู่และรั้งแขนของเธอไว้ไม่ให้ไปไหน...เธอแกล้งหลั-....!“เมื่อกี๊ ...ฉันเปล่านะ”ฟรึบ!ร่างของบลูถูกฉุดอย่างแรงจนเด็กสาวเสียการทรงตัวล้มลงบนเตียง...“...แกรด”ร่างของแกรดกำลังคร่อมร่างของฉัน มันเหมือนกับในตอนนั้น...แต่ว่า“เราตื่นพอดีน
Comments