ณ สตูดิโอหรูใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ตอนนี้มีเหล่านางแบบมากหน้าหลายตาทั้งไทยและต่างประเทศ มารวมตัวกันที่หน้าสตูดิโอเมื่อถึงเวลาที่โมเดลลิ่งนัดมาถ่ายแบบ
“นั่นใครเหรอ นายแบบใหม่เหรอ” นางแบบสาวหน้าใหม่ไฟแรงอย่างบีน่ารู้สึกสะดุดตากับชายหนุ่มต่างชาติที่แต่งตัวแบรนด์เนมทั้งตัวทั้งยังมาดเซอร์ปล่อยผมยาวสยายดูโดดเด่นกว่าคนอื่น
“สามีคุณเอยนางแบบลูกรักพี่มิราไง” พิมพ์ลักษณ์พี่เลี้ยงของบีน่ารีบบอกให้หญิงสาวไดรับรู้ว่าคนที่เธอกำลังจ้องมองไม่ใช่นายแบบ
“อ๋อ...” รู้ดังนั้นบีน่าก็ยังไม่วายที่จะจ้องมองชายหนุ่มด้วยแววตาที่เหมือนจะเขมือบเสียให้ได้
“กรุณาอย่าอ่อยใครพร่ำเพรื่อนะยะ เพราะพี่มิราไม่ชอบให้นางแบบในสังกัดมีข่าวเชิงชู้สาว” พิมพ์ลักษณ์รู้ดีว่าเด็กของเธอนิสัยเป็นอย่างไรจึงต้องกำชับเอาไว้ก่อน กว่าจะฝากบีน่าเข้าสังกัดของมิราไม่ใชเรื่องง่ายๆ เพราะมิราไม่ได้เลือกนางแบบที่มีดีเพียงหน้าตาเท่านั้นแต่เน้นเรื่องนิสัยด้วย
“ฉันไปแต่งตัวดีกว่า” บีน่าเดินอมยิ้มกรุ้มกริ่มเข้าไปในห้องแต่งตัวของเหล่านางแบบผู้หญิง ไม่ได้รับปากว่าจะไม่ทำอะไรอย่างที่พิมพ์ลักษณ์ห้าม เพราะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนร่วมอาชีพถูกตาต้องใจของเธอเสียเหลือเกิน
“ใจพี่ไม่อยากให้เอยเลิกรับงานเลย ทั้งหุ่นทั้งหน้าเอยทำให้พี่ขายงานได้ง่ายมาก” มิราเดินมานั่งคุยกับเจ้าเอยหลังจากที่หญิงสาวแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว มิรารู้สึกใจเสียที่จะต้องเสียคนที่หน้าตารูปร่างดีสมบูรณ์แบบแถมยังทำงานเก่งและอยู่ด้วยกันมานานไป กว่าจะหาคนที่ทั้งสวยทั้งนิสัยดีได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ แล้วมีนางแบบใหม่เข้ามาบ้างหรือยังคะ”
“อืม... พี่ได้บีน่ามานั่นไง” มิราหันไปหานางแบบวัยละอ่อนที่นั่งแต่งตัวอยู่มุมในสุดของห้อง
“น้องสวยน่ารักมากๆ เลยนะคะ”
“สวยจริงน่ารักจริง แอบเกเรไปหน่อย แต่ก็ต้องเอามาสำรองในสังกัดไว้ก่อน” มิราชอบนางแบบที่อายุน้อยๆ ก็จริง แต่ก็ต้องแลกกับการควบคุมเรื่องวินัยยากไปหน่อย แต่ยังไงเธอก็ต้องรับบีน่าเข้าสังกัดเอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะเสนอบีน่าที่ไหนลูกค้าก็รับทุกงาน
“เธอยังเด็กน่ะค่ะ ให้โอกาสเธอหน่อยนะคะ”
“พี่จะหาคนอย่างเอยได้ที่ไหนกันนะ”
“เดี๋ยวก็เจอค่ะ สู้ๆ นะคะพี่มิ” เจ้าเอยยิ้มหน้าเจื่อน ใจเธอไม่ได้อยากจะหยุดรับงาน แต่ทำอย่างไรได้เมื่อสามีของเธอต้องการให้เธอเตรียมตัวเป็นแม่
“มีเรื่องด่วนอะไรจะคุยเหรอครับ” มานูแอลได้รับโทรศัพท์จากไอรดาเขาจึงปลีกตัวออกมาจากสตูดิโอและมาหาหญิงสาวที่ร้านกาแฟไม่ไกลจากสตูดิโอถ่ายแบบเท่าไหร่นัก แปลกใจพอสมควรที่หญิงสาวติดต่อหาเขาว่าอยากคุยด้วยทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็แทบจะไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กันเท่าไหร่แม้ว่าเธอจะเป็นคนในครอบครัวของภรรยาก็เถอะ
“ด่วนมากที่สุดค่ะ แต่ฉันขอค่าเปิดปาก...” มานูแอลนั่งลงตรงข้ามได้ไอรดาก็เริ่มเปิดประเด็นตรงไปตรงมา ก่อนที่เธอจะเผยความจริงอะไรออกไปเธอก็ต้องมีค่าตอบแทนก่อน ไม่ได้เงินค่าสินสอดของเจ้าเอยเธอก็ต้องใช้วิธีนี้เพื่อหาเงินแล้วยังได้แก้แค้นสองแม่ลูกจอมเห็นแก่ตัวนั่นอีกด้วย
หลังจากทำงานมาร่วมวันก็ถึงเวลากลับบ้านของเจ้าเอย หญิงสาวเดินออกมาพ้นประตูห้องแต่งตัวไม่เท่าไหร่มิราก็รับวิ่งเข้ามารั้งเธอเอาไว้ก่อน
“ไปปาร์ตี้ต่อกับพี่นะเอย”
“เอ่อ...” เจ้าเอยยิ้มหน้าเตื่อนก่อนจะพยักเพยิดใบหน้าไปทางมานูแอลที่นั่งรอเธออยู่ที่หน้าสตูดิโอ
“อ่อ... พี่เข้าใจ อิจฉาคนเนื้อหอมจริงๆ เลย” มิราบุ้ยปากเล็กน้อยเสียดายที่เจ้าเอยมีสามีมารอเธออุตส่าห์จะถือโอกาสนี้เลี้ยงส่งเจ้าเอยเสียหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไร ดีแล้วที่หญิงสาวเห็นคนในครอบครัวสำคัญกว่าเรื่องอื่น
“เอยขอตัวนะคะ”
“รีบไปเถอะ คนนั้นเค้าคิดถึงแย่แล้ว” มิราพูดพร้อมยกมือดันหลังเจ้าเอยให้รีบเดินไปหามานูแอล
“กลับกันเถอะค่ะ” ยังไม่ทันที่เจ้าเอยจะได้พูดจบประโยคมานูแอลก็ลุกหนีเดินนำหน้าเธอไปที่ลานจอดรถแล้ว หญิงสาวตกใจกับพฤติกรรมของสามีพอสมควร เพราะตั้งแค่รู้จักกันมามานูแอลไม่เคยทำท่าทางเมินเฉยต่อเธอเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเขารอเธอจนอารมณ์เสียหรือว่ามีเรื่องอะไรทำให้ไม่สบายใจกันแน่
เจ้าเอยพยายามเงียบและสังเกตสีหน้าของมานูแอลมาพักใหญ่ ดูก็รู้ว่าตอนนี้เขากำลังไม่สบอารมณ์สาเหตุจากอะไรเธอก็ไม่ทราบได้เพราะเขาไม่คิดจะปริปากพูดจาอะไรกับเธอสักคำเดียว จนเป็นเธอเองที่ทนอึดอัดต่อไปไม่ไหว
“คุณแอลเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
เอี๊ยด... “ว๊าย...” เจ้าเอยแทบหน้าทิ้งไปที่คอนโซลหน้ารถ ดีที่มีเข็มขัดนิรภัยรั้งตัวเอาไว้
“เข้ามาในชีวิตผมเพื่อเงินอย่างเดียวเลยใช่ไหม?”
“คะ!” ยังไม่ทันหายตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่มานูแอลก็หันมาตวาดเจ้าเอยเสียงดังลั่น จนหญิงสาวสะดุ้งตกใจอีกรอบ
“ผมรู้เรื่องทุกอย่างแล้วว่าคุณมีคนรักอยู่แล้วแต่ยอมคบยอมแต่งงานกับผมก็แค่ต้องการเงินเท่านั้น ผมไม่น่าให้หัวใจกับผู้หญิงอย่างคุณเลย” มานูแอลมองจ้องเจ้าเอยเขม็ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ ทั้งยังไม่ยอมลดความแข็งกร้าวของน้ำเสียงลง เขากระชากข้อมือของเจ้าเอย บีบแน่นจนเธอรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและเริ่มมีสีหน้าเหยเก
“เอยเจ็บค่ะคุณแอล” สาวเจ้าใจเสียไม่น้อยที่จู่ๆ มานูแอลก็มาล่วงรู้ความลับที่เธอปกปิดมานานแสนนาน
“เจ็บแค่นี้มันไม่เท่าเศษเสี้ยวความเจ็บใจของผมหรอก” มานูแอลรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่มากๆ ที่ปล่อยให้ผู้หญิงที่เขาคิดว่าเธอใสซื่อนิสัยดีหลอกมาโดยตลอด แผนอนาคตที่เขาวาดเอาไว้พังลงไม่เป็นท่า เพราะคนเห็นแก่เงินที่รวมหัวหันหลอกลวงเขาเป็นกระบวนการ
“เอยขอโทษค่ะ” เจ้าเอยไม่มีคำไหนที่จะพูดกับเขานอกจากคำว่าขอโทษ เธอไม่คิดแก้ตัวอะไรทั้งนั้น เพราะสิ่งที่เขาพูดเธอก็ทำทุกอย่าง เคยคิดว่าวันหนึ่งเรื่องอาจจะต้องถูกเปิดโปงแต่ก็ไม่คิดมานูแอลจะรู้เรื่องราวเร็วเช่นนี้
“ผมไม่ได้อยากฟังคำขอโทษ หลังจากนี้อย่าคิดว่าชีวิตของคุณจะหาความสุขได้อีกเลย”
“คุณแอลจะทำอะไรคะ” เจ้าเอยหันมองคนที่เปิดประตูลงจากรถไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“เป็นยังไงบ้างคะ” ม่อนไหมเดินอุ้มลูกสาวของเธอเข้ามาในห้องนอนของลอเลนโซหลังจากที่หมอฟิลิปได้เข้ามาตรวจอาการสามีของเธอจนกลับไปแล้วลอเลนโซมองจ้องหญิงสาวกับลูกน้อยไม่วางตา จนม่อนไหมเริ่มประหม่าเพราะไม่รู้ว่าลอเลนโซกำลังคิดอะไรอยู่“มองหน้าม่อนแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”“ป้อ...ป้อ...” เด็กหญิงถูกวางลงที่เตียงได้ก็รีบคลานเข้าไปนอนซบอกคนเป็นพ่อทันที“ยังมีอาการปวดหัวอยู่หรือเปล่าคะ”ลอเลนโซกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมอกและส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะมองไปที่เท้าอวบอูมของเจ้าตัวกลมที่สวมถุงเท้าสีขาวเอาไว้“ถ้าสวมถุงเท้าไหมพรมสีฟ้าคงจะน่ารักน่าดูนะ”“คุณลอส” ม่อนไหมนั่งอ้าปากค้างไม่กี่วินาทีน้ำตาของเธอก็ไหลอาบแก้ม“ผมจำทุกอย่างได้แล้วครับ” ลอเลนโซลุกขึ้นมารวบกอดทั้งลูกและภรรยาแน่น ก่อนจะปล่อยน้ำตาแห่งความตื้นตันดีใจออกมาอาบที่แก้ม และแล้วเขาก็จำทุกอย่างได้เสียที“จำได้แล้ว เย่...” ต้นสายตะโกนเสียงหลงเมื่อรับรู้ข่าวจากม่านแก้วว่าตอนนี้ลอเลนโซจำเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว“ดีใจที่สุดเลย” นิลน้ำกระโดดกอดคอกับต้นสายแน่น ที่รับรู้ว่าม่อนไหมนั้นพ้นจากความทุกข์ใจเสียทีหลังจากที่ทรมานใจมาพักใหญ่“หลังจากนี้ก็น่าจะมีแต่ความสุ
“ก็ถ้าคนรักของฉันเจ็บป่วยฉันก็อยากจะดูแลใกล้ชิดเหมือนกันค่ะ ยิ่งอยู่ห่างก็ยิ่งห่วงกว่าเดิมค่ะ คุณลองคิดสิคะว่าพ่อคุณนอนเจ็บอยู่โรงพยาบาลแล้วไม่ให้คุณเข้าเยี่ยมคุณจะทุกข์ใจแค่ไหน”ลอเลนโซนั่งเงียบ ด้วยคิดตามพยาบาลสาวแล้วมันก็เป็นความจริงอย่างที่เธอพูด“ไม่มีอะไรจะเถียงล่ะสิ”“ยุ่ง ผมอิ่มแล้วพาผมเข้าห้องไปพักด้วย”“กินยาก่อนค่ะ”“เอามา” ครั้งนี้ลอเลนโซยอมกินยาง่ายๆ เพราะรู้ว่าหากยื้อเวลาก็จะต้องมานั่งต่อปากต่อคำกับพยาบาลสาวจอมปากจัดคนนี้ต่อ“ทำตัวไม่ดื้อก็เป็นนี่คะ” ม่อนไหมยืนถ้วยยาเล็กใส่มือของลอเลนโซ เธอยืนยิ้มแก้มปริเพราะวันนี้ไม่ต้องเหนื่อยสู้รบกับชายหนุ่มในเรื่องบังคับกันกินยา“เค้ามีวี่แววว่าจะจำอะไรได้หรือยังม่อน”ม่อนไหมส่ายหัวเป็นคำตอบให้กับม่านแก้ว ม่อนไหมดูแลลอเลนโซมาร่วมสองอาทิตย์จนตอนนี้ชายหนุ่มต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาดวงตา เธอเริ่มหมดกำลังใจในการรื้อฟื้นความจำของสามีเธอพอสมควร เพราะอุตส่าห์ตะล่อมให้ลอเลนโซยอมเจอพ่อและน้องๆ ได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถพูดให้เขาอยากเจอลูกกับภรรยาได้เลยทุกๆ เช้าเธอจะสรรหาเมนูที่เขาเคยชอบในฝีมือของเธอให้เขาได้รับประทานเป็นประจำ แต่ทำอย่างไรเ
“แต่ไม่ใช่ฉันค่ะ ยังไงคุณก็ต้องกินค่ะ ไม่ห่วงตัวเองก็สนใจความรู้สึกของคนที่เค้าคอยเป็นห่วง คนที่เค้ารอคอยว่าคุณจะหายอย่างใจจดใจจ่อหน่อยเถอะค่ะ”“ผมแค่ไม่อยากกินยา ทำไมคุณต้องโยงไปถึงคนอื่นด้วย” ลอเลนโซรู้สึกว่าจะไม่ค่อยถูกชะตากับพยาบาลคนใหม่เสียแล้ว“ถ้าคุณไม่ยอมกินยา ฉันจะเข็นคุณออกไปนั่วนอกบ้านให้ปวดกระดูกจนเป็นไข้เลยเอาไหมคะ” เธอก้มกระซิบข้างหูของคนเป็นสามีเบาๆ เพราะกลัวว่ากล้องวงรปิดจะได้ยินว่าพยาบาลคนใหม่อย่างเธอพูดอะไรกับคนไข้“คุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับผม รู้หรือเปล่าว่าผมสามารถทำให้คุณตกงานได้ตลอดชีวิต” ลอเลนโซเริ่มน้ำเสียงขุ่น ไม่รู้ว่าหญิงสาวเป็นพยาบาลจริงๆ หรือเปล่าถึงได้พูดจากับคนไข้เช่นนี้“ไม่รู้จริงๆ ค่ะ” ม่อนไหมพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี และอาศัยจังหวะที่ลอเลนโซอ้าปากใส่ยาตามด้วยน้ำเข้าไปในปากของเขา“อื้อ” และแล้วลอเลนโซก็ต้องรีบกลืนยาลงลอเพราะหากไม่กลืนก็อาจจะทำให้เขาสำลักม่อนไหมยืนยิ้มกรุ้มกริ่มและเข็นรถเข็นพาคนไข้จอมพยศไปที่ห้องของเขา เมื่อครู่เธอไม่ได้กลัวเขาสำลักแม้แต่น้อยเพราะจำได้ดีว่าในตอนที่ดูแลลอเลนโซตอนครั้งที่บาดเจ็บตอนนั้น เขาก็พยศไม่ชอบกินยาเธอก็ใช้วิธีนี้
“ประมาณสามปีล่าสุดครับ”“แสดงว่า...” หญิงสาวเข่าทรุด เท่ากับว่าตอนนี้ลอเลนโซไม่รู้เลยว่ามีเธอและลูกอยู่บนโลกใบนี้ ตอนนี้เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากกว่าตอนที่เห็นเขานอนเจ็บเสียอีก“ม่อน...ใจเย็นๆ ก่อนนะยังไงหมอก็บอกว่าลอสมีโอกาสหาย” ม่านแก้วรีบกอดปลอบม่อนไหมที่ขาอ่อนจนฟุบนั่งร้องให้ลงไปกับพื้น“คุณม่อน” มานูแอลรีบพยุงพี่สะใภ้ของเขามานั่งที่โซฟา“ทำไม ต้อง...เป็นแบบนี้ด้วยนะ” ม่อนไหมสะอึกสะอื้นซุกอยู่กับอกของม่านแก้ว สามีเธอฟื้นขึ้นมาแล้วแท้ๆ คิดว่าจะไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรอีกแต่เรื่องที่เธอเพิ่งรับรู้กลับทำให้เธอปวดหัวใจเป็นทวีคูณอเลสซานโดเดินเข้ามาลูบหัวคนที่สะอื้นตัวโยนอยู่ในอ้อมอกของม่านแก้ว ตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาปลอบใจม่อนไหมเช่นกัน เพราะตัวเองก็เครียดกับอาการของลูกชายคนโตมากพอสมควร“ม่อนจะไปหาคุณลอสค่ะ ถ้าม่อนได้ไปอยู่ใกล้กับเค้า เค้าอาจจะจำม่อนได้ก็ได้ค่ะ” ม่อนไหมรีบปาดน้ำตาลวกๆ และลุกขึ้นพรวดพูดกับอเลสซานโด“ตอนนี้ไม่ได้” อเลสซานโดส่ายหัว“ทะ...ทำไมคะ”“ลอสมีภาวะเครียดไม่อยากพบใคร แม้แต่ฉันก็ไม่อยากพบ” อเลสซานโดพูดเสียงอ่อน และนี่ก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาทุกคนยังอยู่ที่นี่แม้จ
“อะ...อะไรนะคะ” ทุกคนต่างมีสีหน้าตกอกตกใจไปตามๆ กันโดยเฉพาะม่อนไหม หญิงสาวนั่งหน้าซีดเผือดพูดอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูก“เก็บเสื้อผ้าไปดูอาการของลอสเดี๋ยวนี้เลยม่อน ส่วนยัยหนูเดี๋ยวน้าดูแลเองไม่ต้องห่วง” ม่านแก้วดูออกว่าหลานสาวทำอะไรไม่ถูกจึงรีบแนะแนวทางให้ ไม่ได้อยากจะคิดไปในแง่ร้ายแต่หากลอเลนโซอาการแย่ลงม่อนไหมจะได้มีเวลาได้ดูใจคนรักเป็นครั้งสุดท้าย แต่หากไม่ใช่ก็ถือว่าได้ไปดูแลกันอย่างใกล้ชิด“พวกเราก็จะช่วยดูแลด้วยไม่ต้องห่วงนะ” นิลน้ำวางมือที่หัวไหล่เพื่อนรักเบามือ“ขอบคุณทุกคนมากนะ” เธอพูดพร้อมยกมือปาดน้ำตา“น้าแก้วไปกับม่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวพวกเราปิดร้านให้” ต้นสายส่งเจ้าก้อนกลมที่ทำท่าเหมือนจะง่วงให้กับม่านแก้ว“ขอบใจนะ” ม่านแก้วรีบอุ้มไลลาเดินตามม่อนไหมที่กำลังเดินปรี่ไปที่รถและแล้วม่อนไหมก็ได้เดินทางมาถึงนครฟลอเรนซ์แคว้นคอสตานาพร้อมกับชาร์ลที่อาสามาเป็นเพื่อนกับม่อนไหมแม้จะลาออกจากตำแหน่งบอดี้การ์ดเพื่อไปแต่งงานกับพลอยพิมแล้ว“ที่นี่เป็นบ้านของคุณอเล็กซ์ครับ”“ทำไมพาฉันมาที่นี่ล่ะคะ ฉันอยากไปหาคุณลอส”“คุณอเล็กซ์บอกว่าให้คุณม่อนพักผ่อนก่อนครับ เพราะตอนนี้คุณลอสอยู่ในห้องผ่าตัดอีกหล
วันเวลาของความสุขพ้นผ่านนานร่วมหกเดือนตอนนี้ม่อนไหมท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีเดินเหินก็ไม่ค่อยสะดวกนักแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากเพราะมีสามีอย่างลอเลนโซคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งตอนนี้พ่อและน้องของสามีก็มาเฝ้าอยู่ที่บ้านรอคอยวันที่หลานจะออกมาลืมตาดูโลกไม่ห่างอีกด้วย“คุณพ่อแข็งแรงขึ้นมากเลยนะคะ”“เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเลี้ยงหลานไง นี่ก็ใกล้เวลาที่จะคอลดแล้วใช่ไหม” อเลสซานโดเริ่มเดินเหินได้ปกติแล้วหลังจากตั้งใจทำกายภาพบำบัดมาเป็นเวลาร่วมหกเดือน ที่เขามีกำลังแรงกายแรงใจฮึดสู้เพื่อให้ตคัวเองกลับมาเดินได้อีกครั้งก็เพราะรู้ตัวว่าจะได้อุ้มหลานนี่แหละ“ค่ะ วันคลอดที่หมอกำหนดเอาไว้ประมาณอาทิตย์หน้าอาจจะคลอดก่อนกำหนดหรือถ้ายังไม่ปวดท้องคลอดภายในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้ก็คงจะต้องผ่าคลอดค่ะ”“แล้วจะย้ายไปอิตาลีเมื่อไหร่ล่ะ ได้คิดเอาไว้แล้วหรือยัง”“คือ...เรื่องนี้เราคุยๆ กันอยู่ครับคุณพ่อ”“ค่อยๆ คิดแล้วกัน แต่ยังไงพ่อก็อยากให้เราไปอยู่ที่โน่นเป็นหลักนะ”“ครับ” สองสามีภรรยาเริ่มมองหน้ากัน เมื่อต้องพูดถึงเรื่องในอนาคต ไม่ใช่ว่าลอเลนโซจะไม่เคยคุยกันม่อนไหมเรื่องย้ายไปอิตาลี แต่เป็นเพราะตัวม่อนไหมเองที่ยัง