“ก็จริงนะ ฉันเป็นคุณหนู ไม่เคยทำงานหนัก ในเมื่อพี่เป็นสามีก็ต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูฉันอยู่แล้ว”
ซุยหลันซีนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว หลังจากพูดประโยคสุดท้ายจบ เธอก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เติ้งเว่ยหมิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่กระเป๋าเดินทาง
ซิปกระเป๋าเดินทางถูกเปิดออก เติ้งเว่ยหมิงค่อยๆ หยิบเสื้อผ้าออกมาทีละชิ้น เขาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและเริ่มจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ ซุยหลันซีมองดูเขาด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากเก็บเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ เสียงน้ำไหลดังขึ้นเบาๆ ไม่นานนักเขาก็เดินออกมาในชุดอยู่บ้านธรรมดาๆ กางเกงผ้าฝ้ายขายาว
“บ้านสกปรกไปหน่อย เพราะผมไม่อยู่หลายวัน” เติ้งเว่ยหมิงพูดขึ้นเบาๆ พลางมองไปรอบๆ ห้อง
ซุยหลันซีพยักหน้า “ค่ะ”
เติ้งเว่ยหมิงเดินไปหยิบไม้กวาดและผ้าถูพื้น เขาเริ่มทำความสะอาดอย่างขะมักเขม้น ซุยหลันซีมองดูเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องเพื่อจัดการกับของของตัวเองบ้าง
เธอหยิบเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋า นำไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าอีกด้านหนึ่งที่ว่างอยู่ ก่อนจะชะงักมือยืนนิ่ง
ในมือของเธอถือชุดชั้นในสีชมพูอ่อน เธอกวาดตามองไปรอบๆ ไม่รู้จะเก็บไว้ตรงไหนดี ยังไม่ทันได้ตัดสินใจก็มีเสียงดังขึ้นจากทางด้านหลัง ซุยหลันซีหันไปทั้งตัว ในมือยังถือชุดชั้นในตัวจิ๋วไว้อยู่
เติ้งเว่ยหมิงเห็นอย่างนั้นก็ชะงัก ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แต่ใบหูกลับแดงก่ำขึ้นมา โดยที่ซุยหลันซีไม่ทันได้สังเกตเห็น พอรู้สึกตัวเธอรีบเอามือไปซ่อนไว้ด้านหลังทันที ใบหน้าขาวเนียนแดงระเรื่อ
“ขอโทษที่ไม่ได้เคาะประตูก่อน ผมเอาผ้าปูที่นอนใหม่มาให้” เขาบอกพร้อมกับยื่นชุดผ้าปูที่นอนใหม่ให้กับเธอ แต่เมื่อเห็นหญิงสาวยังยืนนิ่งก็นึกขึ้นได้ว่ามือของเธอไม่ว่าง เขาจึงวางผ้าปูที่นอนไว้บนเตียงแล้วหันหลังจะเดินออกไป ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าก็ได้ยินเสียงของเธอเรียกด้วยความนุ่มนวล
“เอ่อ... พี่เว่ยหมิงคะ?”
เติ้งเว่ยหมิงชะงักฝีเท้าหมุนตัวหันกลับมา “มีอะไรเหรอ?”
“พี่... พี่มีกล่องผ้าหรือกล่องกระดาษไหมคะ?” เธอถามเสียงเบา ใบหน้าแดงก่ำ
เติ้งเว่ยหมิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ เดินออกไปด้านนอก ตรงที่ชั้นวางของเขาหยิบกล่องผ้าใบหนึ่งลงมาแล้วเดินกลับเข้ามายังห้องนอน
“อันนี้ได้ไหม?”
“ได้ ขอบคุณค่ะ” เธอพยัก ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปรับกล่องมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันหลังเข้าหาตู้เสื้อผ้า
เติ้งเว่ยหมิงมองไปยังแผ่นหลังของภรรยา รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะกลับไปทำความสะอาดบ้านต่อ
ในห้องนอน ซุยหลันซีได้ยินเสียงฝีเท้าของเติ้งเว่ยหมิงเดินจากไป ก็รีบเก็บชุดชั้นในทั้งหมดลงในกล่องผ้า แล้วนำไปวางไว้ที่ชั้นล่างสุดของตู้เสื้อผ้า เธอถอนหายใจยาว รู้สึกโล่งอก
“โอ๊ย... อายจัง” เธอพึมพำกับตัวเอง ยกมือขึ้นปิดหน้า “ฉันเนี่ยนะ.... ชุดสีชมพู” ซุยหลันซีตบหน้าตนเองเบาๆ เรียกสติอยู่สองสามที แล้วจึงลงมือเก็บของจนเสร็จ
เธอเดินกลับออกมาอีกครั้งเห็นเติ้งเว่ยหมิงกำลังเช็ดโต๊ะ ห้องดูสะอาดขึ้นมาก
“ฉัน... ฉันช่วยอะไรได้ไหมคะ?” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ
เติ้งเว่ยหมิงหันมามอง สีหน้าของเขาอ่อนลง
“คุณอยากช่วยเหรอ?”
ซุยหลันซีพยักหน้า
เติ้งเว่ยหมิงยิ้มบางๆ “งั้นคุณช่วยผมทำความสะอาดพวกถ้วยจานในครัวได้ไหม? ไม่ได้ใช้หลายวันฝุ่นมันจับน่ะ”
“ฉันจะลองดู”
เธอเดินไปทางห้องครัวยกพวกถ้วย จาน ชามออกมาล้างทำความสะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนจะเอาไปเก็บไว้ที่เดิม
หลอดไฟกลางห้องส่องแสงสีขาวนวล สายตาคมของชายหนุ่มจับจ้องอยู่ที่ร่างบอบบางของหญิงสาว
การกระทำของซุยหลันซีทำให้เติ้งเว่ยหมิงมองด้วยความสับสน เขาแค่พูดไปอย่างนั้น แต่กลับไม่คิดว่าคุณหนูผู้เย่อหยิ่งจะยอมทำตามที่เขาบอก
หรือผู้หญิงคนนี้จะป่วย?
เติ้งเว่ยหมิงแอบมองซุยหลันซีเป็นพักๆ เขาอดคิดไม่ได้ว่า ‘นี่ใช่คุณหนูผู้เย่อหยิ่งของเขาจริงๆ หรือ? ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้...’
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เขาก็รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว
“พ่อค่ะ รถยนต์คันใหญ่มาจากไหนเหรอคะ”ซุยหลันซีเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยท่านนายพลหวนคิดไปถึงในวันที่ถูกปล่อยจากคุกในวันที่ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา ก่อนที่เขาจะออกจากคุก ท่านนายพลกุ้ยได้เข้าไปพบเข้าถึงด้านในจุดที่เตรียมตัวปล่อยนักโทษนายพลทั้งสองนั่งเผชิญหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย“ท่านนายพลกุ้ย ผมขอขอบคุณที่เห็นแก่มิตรภาพเก่าแก่” ท่านนายพลซุยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ หลังจากลงนามในเอกสารมอบทรัพย์สินให้พรรคและยังมีการสัญญาว่านายพลซุยหานจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับทางทหารและทางการเมืองอีก และจะไม่เข้ามาที่ปักกิ่งอีกตลอดชีวิตเช่นกัน“อาหาน เราเป็นเพื่อนกันมานาน” ท่านนายพลกุ้ยตบบ่าเบาๆ “ผมรู้ว่าคุณรักลูกสาวมาก นี่เป็นเงินก้อนหนึ่ง เพียงพอสำหรับซื้อบ้านที่กว่างโจว และสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายไปจนตลอดชีวิต” เขาส่งกระเป๋าหนังสีน้ำตาลให้“และนี่...” ท่านนายพลกุ้ยยื่นกุญแจรถพร้อมเอกสารการเป็นเจ้าของให้ “รถคันใหม่ สำหรับครอบครัวของคุณ”ท่านนายพลซุยรับมาด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณมาก ผมจะไม่ลืมน้ำใจนี้”“แค่สัญญากับผมว่า จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขกับครอ
เมื่อถึงวันที่ซุยหลันซีกับเติ้งเว่ยหมิงต้องไปรับท่านนายพลซุยกับเติ้งหลิวป๋อที่ปักกิ่ง ซุยหลันซีที่ตั้งครรภ์ได้เข้าเดือนที่ห้าแล้วก็เกิดอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถไปรับบิดาของเธอได้“หลันหลัน คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะนะ”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยเสียงนุ่มพลางจัดผ้าห่มให้ภรรยาที่นอนพิงหมอนอยู่บนเตียง ซุยหลันซีส่ายหน้าน้อยๆ ดวงตาฉายแววกังวล “พี่เว่ยหมิง ฉันอยากไปรับพ่อด้วย...”“ไม่ได้หรอก” เติ้งเว่ยหมิงขัด พลางลูบท้องกลมของภรรยาเบาๆ “ลูกในท้องสำคัญที่สุด หมอบอกแล้วว่าต้องพักผ่อนให้มากๆ”ซุยหลันซีกุมมือสามีไว้ ใบหน้าเศร้าสร้อย “แต่ฉันคิดถึงพ่อมาก...” เสียงสั่นเครือ “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน”“พี่เข้าใจ” เติ้งเว่ยหมิงโอบไหล่ภรรยา“แต่ท่านนายพลคงไม่อยากเห็นหลานในท้องต้องลำบาก ใช่ไหม?”“ฉันฝากพี่ช่วยบอกพ่อด้วยนะคะว่าหลันหลันคิดถึง แล้วก็...” ซุยหลันซีชะงัก มือกุมท้องแน่น“เป็นอะไรครับ?” เติ้งเว่ยหมิงถามอย่างตกใจ“คลื่นไส้อีกแล้วค่ะ” ซุยหลันซีรีบคว้าถ้วยน้ำขิงที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาจิบ“นี่แหละครับ เหตุผลที่คุณต้องอยู
ซุยหลันซีรีบบอกหลานชายพร้อมกับช่วยดันร่างเล็กของเด็กชายขึ้นไปที่กลางเวทีเมื่อเด็กชายมาถึง พิธีกรก็ให้เขาไปยื่นอยู่ข้างผู้เป็นแม่ เล่อเล่อยืนอยู่ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ก็เกิดความประหม่า แต่เพราะมีมือที่อบอุ่นของแม่กอบกุมมือเขาไว้ เด็กชายจึงค่อยลดความประหม่าลงได้ในที่สุด พิธีกรส่งไมโครโฟนให้กับหลิวเจิ้งเย่“เล่อเล่อ วันนี้อาได้ทำพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องกับแม่ของเล่อเล่อแล้ว แต่ว่าอายังไม่ได้ขออนุญาตจากเล่อเล่อเลย” หลิวเจิ้งเย่หยุดพูดสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวออกไป“เล่อเล่อ ต่อไปนี้อนุญาตให้อาเป็นพ่ออีกคนของเล่อเล่อได้ไหม อาสัญญาว่าจะทำหน้าที่พ่อของเล่อเล่อให้ดีที่สุด จะไม่ลำเอียง จะไม่ทำโทษอย่างไม่มีเหตุผล และที่สำคัญเล่อเล่อจะเป็นคนสำคัญของอาอีกคน ได้ไหม?”เล่อเล่อเงยหน้ามองไปที่หลี่ชิงหรงเมื่อเห็นแม่ของตนพยักหน้าให้ก็เอ่ยตอบเสียงเบา“พ่อครับ” เล่อเล่อโผเข้ากอดหลิ้วเจิ้งเย่พร้อมกับร้องไห้ออกมา หลิวเจิ้งเย่ก็น้ำตาคลอไปเหมือนกัน “เล่อเล่อมาเป็นลูกชายคนโตของพ่อนะ” เล่อเล่อครางรับอืออาผู้คนส่งเส
เช้าตรู่ของวันมงคล บ้านเจ้าสาวตกแต่งด้วยโคมแดงและตัวอักษรมงคลที่ติดไว้บนประตูไม้สีสดที่เพิ่งผ่านการทาสีและปรับปรุงบ้านไปไม่นานมานี้ผ้าไหมสีแดงสดปักลวดลายหงส์คู่ถูกแขวนประดับทั่วบริเวณ เพิ่มความรู้สึกอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความเป็นสิริมงคล กลิ่นธูปหอมที่จุดไว้หน้าโต๊ะบรรพบุรุษอบอวลไปทั่วห้อง เสียงหัวเราะคิกคักของญาติๆ ที่ช่วยกันจัดเตรียมพิธีดังแทรกมากับเสียงข้าวของที่ถูกขนย้ายเสียงเครื่องดนตรีดังกังวานไปทั่วลานกว้างของหน้าบ้านขนาดสองชั้นของหลี่ชิงหรง ผ้าแดงประดับประดาพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน สะท้อนแสงแดดยามเช้าเป็นประกายระยิบระยับบนผ้าไหมสีแดงสดที่พันกายหลี่ชิงหรง ในห้องเตรียมตัวสำหรับเจ้าสาวชุดแต่งงานที่เธอสวมใส่เป็นผลงานการออกแบบล่าสุดของซุยหลันซีที่ตั้งใจรังสรรค์ให้เป็นของขวัญพิเศษสำหรับเพื่อนบ้านที่เปรียบเสมือนพี่สาวอีกคนท่อนบนเป็นชุดกี่เพ้าแขนสั้น คอจีนตั้งสูงประดับกระดุมมงคลสีทองเก้าเม็ด ปักลายดอกโบตั๋นด้วยด้ายสีทองและสีแดงอย่างวิจิตร เน้นให้เห็นสรีระส่วนบนอย่างงดงามแต่ไม่โป๊เปลือย ช่วงเอวคอดรับกับทรวดทรงของหลี่ชิงหรงอย่างพอเหมาะส่วนกระโปรงคือจ
รถบรรทุกขนาดกลางจอดนิ่งหน้าบ้านสองชั้นหลังงาม กำแพงสีขาวสะอาดตา หลังคากระเบื้องสีเทาเข้ม ประตูไม้แกะสลักอย่างประณีต กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาตามสายลมยามเช้า ผสมกับไอเย็นจากลำธารด้านหลังบ้าน“สามหมื่นห้าพันหยวน...” ซุยหลันซีพึมพำขณะยืนอยู่กลางห้องโถง สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ตัวเลขที่ดูสูงลิ่วแต่คุ้มค่า เพราะนอกจากพื้นที่กว้างขวางแล้ว บ้านหลังนี้มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยที่สุดในยุคสมัยนี้แสงธรรมชาติสาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาในห้องโถง ปรากฏลวดลายของแสงและเงาบนพื้นไม้ขัดมัน ห้องครัวกว้างขวางมีชั้นวางของและพื้นที่ทำครัวที่จัดวางอย่างลงตัว แม้ยังไม่มีตู้เย็นหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทันสมัยแต่ระบบไฟฟ้าที่เพิ่งติดตั้งใหม่และปลั๊กไฟที่เตรียมไว้ก็พร้อมรองรับอนาคต น้ำประปาไหลแรง ที่สำคัญอยู่ในย่านที่ไม่มีความพลุกพล่าน ใกล้โรงเรียน ซึ่งต่อไปลูกๆ ของเธอจะได้ไปโรงเรียนได้อย่างสะดวก แถมยังไม่ไกลจากตลาดมากนัก ห่างจากโรงงานเฟิงหยุนแค่เพียงเดินทางด้วยรถโดยสารประมาณยี่สิบนาทีเท่านั้นที่สะดวกที่สุดคือบ้านหลังนี้อยู่ใกล้กับร้านตัดเสื้อหรงหลันของเธอนั่นเอง
หลังจากเรื่องเข้าใจผิดระหว่างถังจิงฮวากับเติ้งเว่ยหมิงคลี่คลายลง เวลาก็ผ่านมาอีกหนึ่งเดือนเสียงหัวเราะสดใสของเล่อเล่อดังแว่วมาจากมุมหนึ่งของบ้านหลี่ชิงหรง วันนี้ซุยหลันซีกับหลี่ชิงหรงไม่ได้ไปทำงาน เนื่องจากว่าเป็นวันหยุด พวกเธอทั้งสองคนกำลังนั่งออกแบบชุดแต่งงานของหลี่ชิงหรงกับหลิวเจิ้งเย่ที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า“หลันหลัน จดหมายมาค่ะ” เสียงของหลี่ชิงหรงดังแทรกเข้ามาในความคิด พร้อมกับซองจดหมายสีน้ำตาลยื่นมาตรงหน้าซุยหลันซีเงยหน้าขึ้นจากงานออกแบบที่กำลังทำค้างอยู่ ยื่นมือออกไปรับซองจดหมายดังกล่าวพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ“ขอบคุณมากค่ะ”หัวใจของคนที่ถูกเรียกชื่อเต้นแรงขึ้นเมื่อสังเกตเห็นตัวอักษรที่คุ้นตาบนซองจดหมาย เป็นลายมือของเติ้งหลิวป๋อ พ่อของสามีเธอ นิ้วเรียวยาวค่อยๆ แกะซองออกอย่างระมัดระวัง สายตากวาดอ่านข้อความในจดหมายอย่างรวดเร็ว“พี่ชิงหรง!”เธอร้องเรียกหุ้นส่วนเสียงดัง“พ่อ... พ่อของฉันจะได้กลับบ้านแล้ว!”น้ำตาแห่งความปีติไหลอาบแก้ม เธอลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความดีใจ แต่ทันใดโลกก็หมุนคว้าง เมื่อลุกขึ้นอย่างรว