LOGINการเดินทางสิ้นสุดลงในเช้าอีกสองวันถัดมา เติ้งเว่ยหมิงหิ้วกระเป๋าเดินทางสองใบ ส่งสายตาให้ภรรยาพร้อมกับทำหน้าพยักเพยิดบอกให้เธอลงจากรถไฟ
ซุยหลันซีใช้สายตางงงวยมองตอบเขา อ้าปากเป็นคำพูดถามว่า ‘ลงที่นี่เหรอ?’ แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา พร้อมกับพยักหน้ารับรู้
เธอหยิบกระเป๋าถือขึ้นมาแล้วเดินตามชายหนุ่มไปเงียบๆ
ในช่วงการเดินทางบนรถไฟ ระหว่างพวกเขาสองคนแทบจะไม่มีบทสนนาอะไรกันมากนัก เพราะต่างคนต่างก็จดจ่ออยู่กับความคิดของตนเอง
สำหรับเติ้งเว่ยหมิงแล้ว เขาเห็นว่าคุณหนูผู้เอาแต่ใจแปลกไป เธอรู้จักขอบคุณ มีความอดทน ไม่โวยวายที่ต้องอุดอู้อยู่บนรถไฟตลอดสองวันมานี้ และที่สำคัญไม่กลั่นแกล้งเขาอย่างแต่ก่อน
ชายหนุ่มพาหญิงสาวออกมาจากชานชลา แล้วเรียกรถรับจ้างให้ไปส่งยังที่พัก ซุยหลันซีก็เดินตามไปอย่างเงียบๆ เช่นเคย แต่ใช้สายตากวาดมองสำรวจด้วยความตื่นตาตื่นใจ ความแปลกใหม่ของยุคสมัยนี้ สถานที่ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้ซุยหลันซีรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของเธอในตอนนี้
หลังจากใช้เวลาเดินทางประมาณสี่สิบห้านาที รถรับจ้างก็พาทั้งสองคนมาถึงจุดหมายปลายทาง จอดนิ่งสนิทอยู่ที่หน้าตึกอาคารขนาดห้าชั้นสภาพกลางเก่ากลางใหม่หลังหนึ่ง
เติ้งเว่ยหมิงจ่ายเงินค่ารถแล้วหิ้วกระเป๋าเดินทางออกเดินดุ่มไม่พูดไม่จาพาซุยหลันซีเดินขึ้นบันไดไปหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่งตรงสุดทางเดินของชั้นสอง
เขาล้วงกุญแจออกมา เปิดประตูห้องเข้าไป ซุยหลันซีก้าวเท้าเข้าไปในห้อง แต่ก็ไม่ได้ก้าวไปมากกว่านั้น เธอยืนนิ่งอยู่ตรงหลังบานประตูอยู่อย่างนั้น
“คุณหนู บ้านของผมคับแคบ ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนที่บ้านของคุณหนู คุณหนูพักที่ห้องนอน ผมจะนอนที่เก้าอี้ยาวเอง แต่ว่าตู้เสื้อผ้าไม่มีที่วาง ผมอาจจะต้องเข้าไปใช้ในห้องด้วยกัน เราแบ่งกันใช่คนละฝั่ง ห้องน้ำอยู่ทางนี้ นี่เป็นห้องครัว ระเบียงหลังบ้านเอาไว้ตากผ้า ส่วนนี่เป็นห้องเก็บของ สุดท้ายนี่เป็นกุญแจบ้านสำรอง คุณหนูเอาไปใช้ได้เลย”
สายตาของซุยหลันซีมองสำรวจภายในห้องไปทีละจุดตามที่เติ้งเว่ยหมิงแนะนำ ห้องนี้เหมาะสำหรับพักอยู่คนเดียว หากอยู่กันสองคนก็ดูเหมือนจะคับแคบไปสักหน่อย
เติ้งเว่ยหมิงเห็นเธอยืนมองไปรอบๆ อย่างนิ่งๆ เขาจึงยกกระเป๋าเดินทางของซุยหลันซีเอาไปวางไว้ให้ที่ในห้องนอน กะว่าจะให้หญิงสาวได้จัดข้าวของส่วนตัวของเธอก่อน ส่วนของตัวเองค่อยทำทีหลัง ขณะกำลังจะหันหลังกลับออกมาจากห้องนอน ก็หยุดชะงัก เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตามเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
พอเห็นว่าเขากำลังจะเดินกลับออกไป เสียงหวานๆ ของเธอก็ดังขึ้น “เดี๋ยวค่ะพี่เว่ยหมิง ขอฉันคุยด้วยหน่อยได้ไหมคะ?” ซุยหลันซีรีบเรียกชายหนุ่มเอาไว้เมื่อเห็นเขากำลังจะผละตัวออกจากห้องไป เติ้งเว่ยหมิงชะงักก่อนจะหันมาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“พี่เว่ยหมิง?”
“ใช่ค่ะ พี่เว่ยหมิง ไหนๆ พวกเราก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน มาทำข้อตกลงกันก่อนดีไหมคะ? ที่ฉันไม่ได้คุยตอนอยู่บนรถไฟก็เพราะทำตัวไม่ถูกค่ะ”
การที่ซุยหลันซีบอกให้เขาได้รับทราบความคิดของเธอ ทำให้เติ้งเว่ยหมิงแปลกใจไม่น้อย เขาเก็บความสงสัยเอาไว้ พยักหน้าตกลง พร้อมกับเดินออกไปที่ห้องรับแขก ซุยหลันซีจึงได้เดินตามออกไป ทั้งคู่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวห่างกันคนละฝั่ง
“พี่เว่ยหมิง ตอนนี้พวกเราก็แต่งงานกันแล้ว แต่บอกพี่ตามตรง ฉันยังรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง เรื่องเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันตั้งตัวไม่ทัน พวกเราแต่งงานกันแต่ในนามแบบนี้ไปก่อน ถ้าในอนาคตพี่เว่ยหมิงมีคนที่ชอบ หรือว่าฉันมีคนที่ชอบ สักปีสองปีพวกเราก็มาหย่ากันเถอะ
อีกอย่างพี่เรียกฉันว่าคุณหนู มันฟังดูพิกล ตอนนี้พี่ก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คุณหนูอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อฉันตอนนี้ฉันเป็นภรรยาของพี่ พี่ก็เรียกฉันว่าหลันหลันเถอะ ฉันจะเรียกพี่ว่าพี่เว่ยหมิง แบบนี้พี่เห็นว่าเป็นไง?”
ซุยหลันซีบอกสิ่งที่เธอคิดมาตลอดสองวัน การอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็ต้องเริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ไปก่อน มันคงดูประหลาดที่สามีจะเรียกภรรยาเหมือนเป็นคนอื่น แบบนี้คนทั่วไปจะนินทาเอาได้
ในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไรในยุคสมัยนี้ การมีคนให้พึ่งพิงได้น่าจะดีที่สุดแล้ว อีกอย่างดูท่าทางคนตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ร้ายกาจและเอาแต่ใจเช่นร่างนี้แน่
ซุยหลันซีได้แต่หวังว่าเธอจะคิดไม่ผิด
“เอาตามที่คุณพูดมาก็ได้ ผมไม่มีปัญหา ผมจะให้เงินเดือนคุณเอาไว้สำหรับใช้จ่ายในบ้านห้าสิบหยวน คุณคิดว่าจะพอไหม อ้อ! อีกอย่าง ที่นี่ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วยอำนวยความสะดวกเหมือนที่คฤหาสน์ตระกูลซุย เสื้อผ้าต้องซักมือ เตาก็ยังเป็นเตาถ่าน ถ้าทำไม่เป็นก็รอผมกลับมาจากทำงานก่อน”
“ได้! ว่าแต่พี่ทำงานอะไร บอกฉันได้ไหม?” ซุยหลันซีเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“ผมทำงานที่โรงงานสิ่งทอจินเซิงนั่งรถโดยสารไปไม่ถึงสิบนาที”
“ฉันไปทำงานที่นั่นด้วยได้ไหม หรือพี่พาฉันไปดูที่ทำงานของพี่ก่อนก็ได้”
“ถึงแม้ว่าผมจะจน ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคุณ แต่แค่คุณคนเดียวผมเลี้ยงไหว อีกอย่างผมก็ไม่คิดว่าคุณจะทำงานหนักแบบนั้นได้ ขอโทษ ผมไม่ได้ดูถูกคุณ แต่ว่างานที่นั่น คุณทำไม่ถึงครึ่งวันก็คงขอลาออกแล้ว”
แม้จะมีคำว่า ‘ขอโทษ’ แต่ยังสัมผัสได้ถึงความดูถูกในน้ำเสียงที่เปล่งออกมา ทำให้ซุยหลันซีรู้สึกโกรธ กำลังจะอ้าปากเถียง ความคิดดีๆ ก็แล่นเข้ามาให้หัวเสียก่อน เธอจึงทำเป็นพยักหน้าเห็นด้วยแทน
“ก็จริงนะ ฉันเป็นคุณหนู ไม่เคยทำงานหนัก ในเมื่อพี่เป็นสามีก็ต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูฉันอยู่แล้ว”
เสียงเครื่องช่วยหายใจดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลกลางเมืองปักกิ่ง ซุยหลันซีในชุดคนไข้นอนหลับนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าไร้สีเลือด แต่ยังคงความงดงามแฝงด้วยความสงบ ห้องที่เธอนอนอยู่ดูอบอุ่นกว่าห้องพักฟื้นทั่วไป ข้างเตียงมีกระถางดอกลิลลี่สีขาววางไว้ เติมความสดชื่นให้กับบรรยากาศ“นี่ฉัน...กลับมาที่ยุคของฉันแล้วใช่ไหม?”เธอถามตัวเอง หลังจากที่ยืนมองร่างของตนเองที่นอนอยู่บนเตียงจากนั้น ก็มีเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นหน้าห้องพักฟื้น เสียงนี้คุ้นเคยจนเธอรู้สึกอบอุ่น เพ่ยเพ่ยเดินเข้ามาเป็นคนแรก ตามด้วยลี่ลี่และเหอจิ้ง พวกเขาต่างถือถุงใส่อาหารและเครื่องดื่มมาด้วย สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี“หลันหลัน! เธอต้องภูมิใจแน่ๆ”เพ่ยเพ่ยวางถุงไว้ที่โต๊ะข้างเตียง พร้อมกับจับมือขวาของซุยหลันซีขึ้นมาจับไว้ “คอมมิคของพวกเราผ่านการพิจารณาแล้วนะ! สำนักพิมพ์ใหญ่เซ็นสัญญาแล้วด้วย”ลี่ลี่หัวเราะเบาๆ “ใช่แล้ว จะขี้เซานอนไปถึงเมื่อไหร่ ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นดีใจ ฉลองกับพวกเราดีกว่าไหม”เหอจิ้งที่มักพูดน้อยที่สุดในกลุ่ม พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเราส
ในงานเลี้ยงหลังการแสดงแบบ ซุยหลันซีกำลังจิบน้ำชาอย่างสงบ ด้วยเธอยังให้นมลูกอยู่จึงไม่สะดวกเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สายตากวาดมองผู้คนที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส เสียงหัวเราะ เสียงแก้วกระทบกันดังแว่วมาเป็นระยะ“คุณซุย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักขึ้นเป็นภาษาจีนกลางที่มีสำเนียงกวางตุ้งแทรกซุยหลันซีหันไปพบกับชายวัยกลางคนในชุดสูทสีเทาเข้ม รูปร่างท้วมภูมิฐาน เขายิ้มอย่างมีไมตรีก่อนแนะนำตัว“ผมหว่องไห่เฉิง จากห้างสรรพสินค้าไท่ผิงหยางในฮ่องกงครับ” เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย “ชุดที่คุณออกแบบ...น่าสนใจมากทีเดียว”เติ้งเว่ยหมิงที่ยืนอยู่ข้างภรรยา สังเกตเห็นประกายในดวงตาของนักธุรกิจผู้นี้ นั่นคือสายตาของคนที่มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ“ขอบคุณมากค่ะ” ซุยหลันซีตอบอย่างถ่อมตน พลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ“ทราบมาว่าคุณเพิ่งเริ่มออกแบบได้ไม่นาน” หว่องไห่เฉิงเอ่ยต่อ สายตาประเมินอย่างแยบยล “แต่ลายเส้นของคุณ...มันมีอะไรบางอย่างที่พิเศษ”“คุณชมเกินไปแล้วค่ะ” ซุยหลันซียิ้มบาง “ฉันแค่พยายามผสมผสานความงามแบบดั้งเดิมเข้ากับรสนิยมร่วมสมัย”“นั่นสิ” หว่องไห่เฉิงพยักหน้าอย่างเห็
ในเวลาตอนเย็นที่เป็นการแสดงที่แท้จริง ทุกคนจากคณะของประเทศจีนก็มาเตรียมตัวในส่วนที่ทางเจ้าภาพจัดให้ไว้ ไมเคิลมาประกบคณะจากโรงงานเฟิ่งหยุนตั้งแต่ตอนกลางวันแล้วที่ห้องเตรียมตัวชั้นล่างของโรงแรม ซึ่งเป็นห้องที่มีการจัดงาน เทศกาลแฟชั่นและวัฒนธรรมนานาชาติฮ่องกง ปี 1986 ซุยหลันซียืนจ้องชุด ‘กำเนิดหงส์ทอง’ ที่แขวนอยู่บนราวด้วยสายตาพิถีพิถัน ผ้าไหมสีม่วงอมน้ำเงินเข้มเป็นประกายระยับใต้แสงไฟ ลายปักนกหงส์ทองและดอกโบตั๋นที่ปักด้วยด้ายเงินดูมีชีวิตชีวา“พี่หลันหลัน” เสี่ยวน่าที่เพิ่งแต่งหน้าเสร็จเดินเข้ามาหา “พี่คิดว่าชุดนี้จะได้รับความสนใจจากนักธุรกิจฮ่องกงไหมคะ”“แน่นอนสิจ๊ะ” ซุยหลันซียิ้มให้กำลังใจ“เธอสวยมากวันนี้ เสี่ยวจูแต่งหน้าให้เข้ากับชุดได้ดีทีเดียว”เสี่ยวจูที่ยืนจัดอุปกรณ์แต่งหน้าอยู่ข้างๆ ยิ้มด้วยความภูมิใจ “ฉันตั้งใจมากเลยนะคะ วันนี้ต้องให้เสี่ยวน่าสวยที่สุด”หวงเสี่ยวเหมยเดินเข้ามาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง “นี่ลำดับการเดินแบบ เราเป็นลำดับที่สาม ต่อจากร้านเสื้อดังของฮ่องกง”ซุยหลันซีพยักหน้า มือเธอสัมผัสผ้าไหมของชุดอีกครั้ง นึกถึงคำพู
รุ่งขึ้นหลังจากที่กินอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว ไมเคิลก็มาพาคณะของประเทศจีนไปเยี่ยมชมสถานที่เป็นแลนด์มาร์กของฮ่องกง ซึ่งก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับทุกคน โดยเฉพาะคนของโรงงานเฟิงหยุนนั่นเองฟ้าใสไร้เมฆในยามสายทำให้การเริ่มต้นทัวร์ฮ่องกงของพวกเขาเป็นไปอย่างสดใส ไมเคิลวางแผนเส้นทางอย่างละเอียด เริ่มจากพีคแทรมที่พาทุกคนขึ้นสู่จุดชมวิวบนยอดเขาวิกตอเรีย“นี่คือพีคแทรม รถรางที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 1888” ไมเคิลอธิบายขณะที่พวกเขานั่งอยู่ในรถรางไม้เก่าแก่ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปบนเขาวิกตอเรีย เสียงล้อเหล็กครูดกับรางดังเป็นจังหวะซุยหลันซีนั่งข้างหน้าต่างบานเล็ก มือข้างหนึ่งโอบอุ้มซุยอวี้เซียนที่กำลังงอแง เด็กน้อยคงไม่คุ้นชินกับการเดินทางแบบนี้ ส่วนเติ้งเจียหาวนั่งบนตักของเติ้งเว่ยหมิง มือน้อยๆ เกาะขอบหน้าต่างแน่น ทุกครั้งที่รถรางสั่นไหว“พี่เสี่ยวเหมยคะ ดูตึกพวกนั้นสิ” เสี่ยวจูชี้ไปยังอาคารสูงสิบกว่าชั้นที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมอ่าว ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นหวงเสี่ยวเหมยมองตามนิ้วชี้ของเสี่ยวจู ใบหน้าเผยความประหลาดใจไม่ต่างกัน “ฮ่องกงช่างแตกต่างจากกว่างโจวจริ
ซุยหลันซีเดินทางมาถึงวันจัดงานก่อนล่วงหน้าถึงสามวัน เนื่องจากว่าเธอเดินทางกับเด็กเล็กจึงต้องการให้มีเวลาได้พักผ่อนไมเคิล เป็นคนที่มีความสามารถพูดได้หลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีนกลาง ภาษาอังกฤษ และภาษาจีนกวางตุ้ง ซึ่งเป็นภาษาหลักของคนพื้นเมืองของฮ่องกง แต่ภาษาทางการคือภาษาอังกฤษเนื่องจากฮ่องกงยังอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรนั่นเอง ในการสื่อสาร ไมเคิลใช้ภาษาจีนกลางในการสื่อสารจากคณะที่มาจากประเทศจีนด้วยการประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพของไมเคิล ทำให้ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองเป็นไปอย่างราบรื่น คณะของพวกเขาได้รับสิทธิพิเศษในการผ่านช่องทางสำหรับแขกของรัฐบาล“โรงแรมที่พวกเราจะเข้าพักคือ เดอะซาเลสเบอรี วายเอ็มซีเอ ตั้งอยู่ในย่านจิมซาจุ่ยครับ” ไมเคิลอธิบายขณะนำทางทุกคนขึ้นรถบัสปรับอากาศ“เป็นโรงแรมระดับสี่ดาวที่มีวิวสวยที่สุดแห่งหนึ่งของฮ่องกง พวกคุณจะได้เห็นอ่าววิกตอเรียและเส้นขอบฟ้าของเกาะฮ่องกงได้อย่างชัดเจนจากห้องพัก”หวงเสี่ยวเหมยกระซิบกับซุยหลันซี “โชคดีจริงๆ ที่ได้ท่านนายพลกุ้ยช่วย ถึงได้พักโรงแรมระดับนี้ในราคาถูก”ซุยหลันซีพยักห
หนึ่งวันก่อนการเดินทางไปฮ่องกง ที่โรงงานเฟิงหยุน มีการประชุมกันเป็นครั้งสุดท้ายอีกครั้ง“ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม?”เสียงใสของหวงเสี่ยวเหมยดังขึ้นในห้องประชุมของโรงงานเฟิงหยุน หญิงสาวกำลังตรวจรายการเอกสารและสัมภาระครั้งสุดท้ายก่อนการเดินทางไกลไปถึงต่างประเทศซุยหลันซีพยักหน้า พลางก้มมองแฟ้มเอกสารตรงหน้า ภายในบรรจุแบบเสื้อที่เธอทุ่มเทออกแบบจนได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศ ชุด ‘กำเนิดหงส์ทอง’ จะได้ร่วมแสดงในงานเดินแบบที่ฮ่องกง งานนี้จัดขึ้นเป็นกรณีพิเศษภายใต้โครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงวันเวลาจากหกเดือนมาเป็นหนึ่งปี“นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญของพวกเรา” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง“งานนี้จะมีนักธุรกิจจากฮ่องกงมาร่วมงานมากมาย ถ้าพวกเขาสนใจในแบบของเรา... ดังนั้นขอให้ทุกคนตั้งใจทำงานออกมาให้อย่างเต็มที่”ซุยหลันซีนักออกแบบ เสี่ยวน่านางแบบและเสี่ยวจูช่างแต่งหน้าที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะต่างพยักหน้ารับ พวกเธอจะร่วมเดินทางไปในฐานะผู้ช่วย&nbs






![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
