ซุยหลันซีมาถึงโรงงานสิ่งทอจินเซิงที่เติ้งเว่ยหมิงทำงานก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี โรงงานแห่งนี้มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้กับพนักงานทุกคน
ซุยหลันซีเป็นเพียงคนนอกไม่ได้เป็นพนักงานของโรงงาน เมื่อแจ้งความประสงค์ว่าต้องการขอพบสามีแล้วเธอก็เดินออกมาด้านนอก เพื่อหาอาหารกลางวันรับประทาน เพราะต้องรอให้เติ้งเว่ยหมิงกินข้าวกลางวันเสร็จก่อน เสร็จจากมื้อกลางวันก็เดินกลับเข้าไปที่โรงงานอีกครั้ง
เธอรออยู่ที่ห้องรับรองของโรงงาน ไม่นานเติ้งเว่ยหมิงก็เดินออกมา
“พี่เว่ยหมิงมาแล้วเหรอคะ” ซุยหลันซีลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเขา
“ทำไมคุณถึงมานี่นี่ล่ะ? แล้วที่โรงงานเฟิงหยุนเป็นยังไงบ้าง สำเร็จไหม?”
เติ้งเว่ยหมิงรู้ว่าวันนี้เธอไปที่โรงงานตัดเย็บผ้าเฟิงหยุนจึงถามเช่นนี้ แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงมาหาเขาที่โรงงาน
หรือว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายขนาดนั้น?
เติ้งเว่ยหมิงขมวดคิ้วแน่น
“พี่เว่ยหมิง ฝีมือระดับฉันแล้วจะพลาดเหรอคะ ว่าแต่พี่พอจะพาฉันไปพบเถ้าแก่โรงงานของพี่ได้ไหม ฉันมีข้อเสนอเรื่องธุรกิจจะมาคุยกับเขาค่ะ” ซุยหลันซียืดอกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“พบเถ้าแก่ของผม เรื่องธุรกิจ?”
“เอาไว้กลับบ้านแล้วฉันจะเล่าให้ฟังนะคะ รับรองว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำก็เพื่ออนาคตของเราสองคนแน่นอน ว่าแต่พี่พาฉันไปพบเถ้าแก่ของพี่ได้ไหม? ถ้าเป็นวันนี้เลยจะยิ่งดีที่สุด”
เติ้งเว่ยหมิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงดังออกมาจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็เห็นเป็นชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดพนักงานใบหน้าบึ้งตึง เดินตรงมายังสองสามีภรรยา
“เว่ยหมิง เวลาทำงานมามัวโอเอ้อะไรอยู่ที่นี่ ยังไม่รีบไปทำงานอีก” จางชุน เป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปี รูปร่างอ้วนเตี้ย ผมบาง
เพราะอาศัยว่าเป็นญาติห่างๆ กับเจ้าของโรงงานจึงได้ตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน แล้วยังบ้าอำนาจ ใช้ความเป็นผู้จัดการโรงงานกดข่มพนักงาน
นอกจากนี้ จางชุนคนนี้ก็เจ้าชู้มาก พนักงานหญิงหลายคนมักถูกเขาหาเรื่องลวนลาม โดยไม่มีใครกล้าฟ้องเถ้าแก่โรงงานสักคน เพราะจางชุนขู่ว่าจะไล่ออก
งานที่มีสวัสดิการดี เงินเดือนดีแบบนี้ ใครๆ ก็ไม่อยากมีปัญหาเพราะนั่นหมายถึงพวกเขาจะต้องสูญเสียแหล่งรายได้ที่จะมาเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัว ดังนั้นที่พวกเขาทำได้คือหาทางหลีกเลี่ยง พยายามอดทนไม่สร้างปัญหา ใครเก่งและมีสติก็เอาตัวรอดไปได้
“สวัสดีคุณคนสวย มาติดต่อเรื่องอะไรครับ” จางชุนหลังจากตวาดไล่เติ้งเว่ยหมิงแล้ว ก็กระแอมเล็กน้อยหันมาเอ่ยกับซุยหลันซีด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่กลับแฝงไปด้วยความกะลิ้มกะเหลี่ย
“อ้อ ฉันมาขอพบเถ้าแก่ค่ะ ฉันมีเรื่องเกี่ยวกับความร่วมมือทางธุรกิจมานำเสนอ” ซุยหลันซีหันไปมองสามีแวบหนึ่งแล้วหันไปตอบจางชุนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้จะไม่พอใจที่เห็นเติ้งเว่ยหมิงถูกปฏิบัติอย่างนั้น
“มาหาเถ้าแก่เหรอ มีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่า คุณคนสวยแจ้งผมได้นะ ผมเป็นผู้จัดการโรงงานนี้”
จางชุนกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ก็เต็มไปด้วยความโอ้อวด เขายืดอกที่มีแต่ไขมันขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับส่งยิ้มคิดว่ามีเสน่ห์ให้กับซุยหลันซี ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับขณะกวาดมองหญิงสาวตรงหน้า
ท่าทางของเขาแสดงออกชัดเจนถึงความภูมิใจในตำแหน่งผู้จัดการเป็นอย่างมาก แสดงความสนใจในตัวซุยหลันซีอย่างเปิดเผย สองมือของเขาประสานกันโน้มตัวเข้าหาเธอเล็กน้อย ราวกับจะบอกว่าเขาพร้อมจะให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
ซุยหลันซีผงะร่างถอยหลังออกมาแทบไม่ทัน ในใจอยากจะตวาดชายตรงหน้า แต่คิดว่าเพราะมีงานสำคัญกำลังรออยู่ จึงได้อดกลั้นเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ผู้จัดการคะ ฉันมีเรื่องสำคัญมากที่ต้องคุยกับเถ้าแก่เจ้าของโรงงานโดยตรงเท่านั้น ฉันเกรงว่าผู้จัดการคงไม่น่าจะตัดสินใจแทนเถ้าแก่ได้ เห็นว่าผู้จัดการมีจิตใจดี อยากช่วยเหลือฉัน อย่างไรรบกวนพาฉันไปพบเถ้าแก่ได้หรือเปล่าคะ?”
“ถ้าคนสวยขอร้องแบบนี้ผมก็คงได้แต่ต้องช่วยเหลือแล้ว เชิญทางนี้ครับ ส่วนนายก็กลับไปทำงานได้แล้ว”
ได้ยินเสียงหวานๆ เจรจาจางชุนก็คิดไปเองว่าซุยหลันซีคงชอบที่ตนมีตำแหน่งใหญ่โต ไม่แน่ว่าหลังจากที่คุยกับเถ้าแก่แล้ว เขาอาจจะนัดหญิงสาวไปกินข้าวเย็นด้วยกัน แต่ประโยคต่อมาของซุยหลันซี กลับดับฝันกลางอากาศของเขาเข้าอย่างจัง
“ผู้จัดการคะ พอดีเรื่องที่ฉันจะคุยกับเถ้าแก่จำเป็นต้องให้สามีของฉันเข้าพบด้วยค่ะ”
ได้ยินคำว่าสามี ใบหน้าและน้ำเสียงของจางชุนก็เข้มงวดขึ้นทันที
“ทำไม? ผมเป็นผู้จัดการส่วนเขาเป็นแค่พนักงานธรรมดา มีความสำคัญอะไรที่ต้องพาเขาไปพบเถ้าแก่ด้วย?”
“สำคัญค่ะ เพราะว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับผ้าที่เขาต้องรับผิดชอบ”
คำตอบของซุยหลันซีทำให้จางชุนถึงกับแสยะยิ้มมุมปาก เมื่อนึกถึงว่าเติ้งเว่ยหมิงต้องชดใช้เป็นเงินจำนวนมาก รอยยิ้มมุมปากก็ยิ่งยกสูง
สาเหตุที่จางชุนไม่ชอบเติ้งเว่ยหมิง ก็เป็นเพราะเขากลัวว่าชายหนุ่มจะได้รับความโปรดปรานจากเจ้าของโรงงาน เนื่องจากเติ้งเว่ยหมิงทำงานเก่ง มีความรับผิดชอบสูง ขยันและไม่เคยทำตัวมีปัญหา ส่วนตัวเองนั้นเอาแต่ทำงานเหลาะแหละ วันๆ มีแต่จะเกี้ยวพาราสีเหล่าพนักงานสาวๆ ในโรงงาน
อีกอย่างเติ้งเว่ยหมิงเป็นชายหนุ่มหน้าตาถือว่าดีมาก ยิ่งเขาเคยเป็นทหาร มีการศึกษา ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้หญิงในโรงงานหลายคน
แม้จะมีคนแสดงความสนใจในตัวเขาอยู่หลายคน แต่ด้วยเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดหรือสุงสิงกับใคร ไม่เคยไปกินเหล้าหลังเลิกงาน ไม่เคยแสดงออกว่ามีความสนใจผู้หญิง ทำตัวเหมือนนักพรต ก็เลยทำให้จางชุนรู้สึกวางใจ
ความจริงแล้วเติ้งเว่ยหมิงไม่เคยมาทำอะไรให้เขาไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นหญิงสาวหลายคนแสดงความสนใจในตัวเติ้งเว่ยหมิง กลายเป็นว่าเมื่อเห็นเติ้งเว่ยหมิงก็รู้สึกขัดหูขัดตาขึ้นมาทันที
แต่ที่คาดไม่ถึงลูกน้องคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าจะมีภรรยางดงามถึงเพียงนี้
“หึ เชิญ” จางชุนเมื่อได้ยินคำตอบก็หน้าเปลี่ยนสีด้วยความโมโห พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
“พี่เว่ยหมิง อย่าบอกนะว่าคนนี้ที่ทำให้พี่ต้องเจอความยุ่งยากและต้องรับผิดชอบผ้าที่ผลิตผิดพลาดน่ะ?” ซุยหลันซีเอนตัวไปทางเติ้งเว่ยหมิงเล็กน้อยก่อนป้องปากกระซิบถาม
เติ้งเว่ยหมิงจึงได้พยักหน้าตอบ “ไม่ต้องไปสนใจหรอก พวกเราไปกันเถอะ”
ชายหนุ่มพาภรรยาเดินตรงไปยังห้องทำงานของเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน เคาะประตูสองครั้งก็ได้ยินเสียงลอดมาจากด้านใน “เข้ามา”
เติ้งเว่ยหมิงเปิดประตูเบี่ยงตัวให้ซุยหลันซีเดินเข้าไปก่อนแล้วปิดประตู เถ้าแก่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานขนาดใหญ่
ห้องทำงานของเถ้าแก่กว้างขวางสมกับเป็นห้องของเจ้าของโรงงาน ตรงฝาผนังด้านหลังเขามีภาพเสือโคร่งขนาดใหญ่ประดับอยู่ บนโต๊ะทำงานมีปี่เซียะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ วางประดับอยู่ที่มุมโต๊ะด้านหน้าด้านทั้งสองข้าง
“ว่ายังไงอาหมิง นี่พาใครมาเหรอ?”
อี้ชุน เจ้าของโรงงานสิ่งทอจินเซิง เป็นชายอายุประมาณห้าสิบปี เขามีรูปร่างสมส่วน ผมเริ่มบางมีสีดอกเลาแซมอยู่โดยรอบ สวมแว่นตาทรงเหลี่ยม
เวลาบ่ายสองโมง เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นทำให้เติ้งเว่ยหมิงรีบวางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กลงในกะละมังแล้วลุกไปเปิดประตู ปรากฏว่าหลี่ชิงหรง เพื่อนบ้านยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู“อาหมิง หลันหลันอยู่บ้านไหม พี่มีเรื่องจะมาบอก”“อยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้หลันหลันน่าจะไม่สะดวกพบพี่นะครับ” เติ้งเว่ยหมิงแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ไม่สะดวกเจอ หลันหลันเป็นอะไรหรือเปล่า”หลี่ชิงหรงถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“เป็นไข้ครับ ผมเลยให้นอนพัก”“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ตอนเช้าพี่มาเคาะประตูรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเปิด เลยมาอีกทีตอนบ่าย พี่อุตส่าห์เตือนแล้วเชียวว่าอย่าหักโหมทำงานหนัก เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน อาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ไม่เป็นไร รอให้หลันหลันหายดีก่อนก็แล้วกัน ฝากบอกหลันหลันด้วยละกันว่าพี่มาหา” หลี่ชิงหรงบ่นอุบอิบถึงเพื่อนบ้านรุ่นน้องที่เธอก็รักไม่ต่างกับน้องสาวตนเองจริงๆ“ครับแล้วผมจะบอกให้ ถ้าหลันหลันค่อยยังชั่วแล้วจะให้ไปหาพี่ชิงหรงนะครับ”“ได้ งั้นพี่กลับบ้านก่อนละกัน”หลี่ชิงหรงกลับไปแล้ว เติ้งเว่ยหมิงจึงปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ทรุดตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นซุยหลันซีตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเติ้งเว่ยหมิง หญิงสาวถึงกับเขินอายและทำตัวไม่ถูก เธอรีบลุกออกไปจากเตียงเงียบๆ โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่ตกลงว่าจะเป็นสามีแต่เพียงในนามของเธอนั้นตื่นก่อนเธอนานแล้ว แต่เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเขา ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นยังไม่ตื่นซุยหลันซีตบหน้าเรียกสติตนเองอยู่สองสามทีก่อนจะทำหน้าที่ของตนเองเหมือนทุกวันที่ผ่านมา นั่นก็คือทำอาหารและเตรียมของให้เติ้งเว่ยหมิงไปทำงานทั้งคู่นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด เติ้งเว่ยหมิงมีรอยยิ้มแต้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา ส่วนซุยหลันซีก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเงียบๆหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปทำงาน ซุยหลันซีถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเริ่มลงมือทำงานบ้าน ซักผ้าแล้วไปปลุกเด็กชายเล่อเล่อ ล้างหน้าให้เด็กชาย ดูแลให้เด็กน้อยกินอาหารเช้า เสร็จแล้วก็มานั่งทำงานออกแบบลายผ้าเล่อเล่อนั่งเล่นคนเดียวอย่างเงียบๆ เด็กชายชินแล้ว เขาจะไม่เข้าไปกวนเวลาพี่สาวคนสวยทำงาน เพราะแม่ของเขาสั่งมาว่าห้ามกวนพี่สาวคน
ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงช่วยซุยหลันซีเก็บจานล้างทำความสะอาด โดยบอกให้เธอไปอาบน้ำส่วนตัวเขานั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าตึงเครียด คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาหญิงสาวอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใช้สายตามองชายหนุ่มผ่านทางกระจกบรรยากาศช่างน่าอึดอัดและเงียบจนซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า? หรือมีปัญหาอะไรที่ทำงานอีกไหม หรือว่าผู้จัดการจางทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจ?” ซุยหลันซีหยุดมือที่กำลังหวีผม หันหน้ามาทางเขาที่นั่งอยู่บนเตียง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเติ้งเว่ยหมิงไม่ตอบ เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าสายตาลุ่มลึกที่มองมาทำให้ซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเติ้งเว่ยหมิงผลักร่างของซุยหลันซี เธอไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปบนเตียงนอนเขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดข้อมือเล็กบางของเธอเอาไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างกดอยู่ที่เอวของเธอ ร่างสูงใหญ่
อี้ชุนคุ้นเคยกับเติ้งเว่ยหมิงเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนรับชายหนุ่มเข้ามาทำงานด้วยตนเองเนื่องจากเติ้งเว่ยหมิงได้มีโอกาสช่วยชีวิตอี้ชุนขณะที่ถูกคนดักปล้น ซึ่งเป็นช่วงที่เติ้งเว่ยหมิงย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ หลังจากช่วยเหลือกันแล้ว อี้ชุนต้องการตอบแทนบุญคุณ แต่เติ้งเว่ยหมิงปฏิเสธหลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่อี้ชุนก็รู้ว่าเขาจบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์มา แล้วยังเคยเป็นทหารมาก่อน และตอนนี้กำลังหางานทำ จึงชวนเติ้งเว่ยหมิงมาทำงานคุมเครื่องจักรในโรงงานของตัวเอง จึงนับว่าทั้งคู่ค่อนข้างมีความสนิทสนมกันอยู่พอสมควร“ซุยหลันซี ภรรยาของผมครับ หลันหลัน คนนี้คือคุณอี้ชุนเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกันซุยหลันซีจึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนกล่าวทักทาย“สวัสดีค่ะ เถ้าแก่อี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาหมิงฉันไม่คิดว่านายจะปิดบังเรื่องแต่งงานกับฉัน แต่เธอสวยงามและเหมาะสมกับนายมาก” เถ้าแก่อี้ค้อมหัวเล็กน้อยทักทายเธอกลับ แล้วหันไปพูดกับเติ้งเว่ยหมิง ตัดพ้อเขาเล็กน้อย แล้วเอ่ยชมด้วยความจริงใจซุยหลันซ
ซุยหลันซีมาถึงโรงงานสิ่งทอจินเซิงที่เติ้งเว่ยหมิงทำงานก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี โรงงานแห่งนี้มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้กับพนักงานทุกคนซุยหลันซีเป็นเพียงคนนอกไม่ได้เป็นพนักงานของโรงงาน เมื่อแจ้งความประสงค์ว่าต้องการขอพบสามีแล้วเธอก็เดินออกมาด้านนอก เพื่อหาอาหารกลางวันรับประทาน เพราะต้องรอให้เติ้งเว่ยหมิงกินข้าวกลางวันเสร็จก่อน เสร็จจากมื้อกลางวันก็เดินกลับเข้าไปที่โรงงานอีกครั้งเธอรออยู่ที่ห้องรับรองของโรงงาน ไม่นานเติ้งเว่ยหมิงก็เดินออกมา“พี่เว่ยหมิงมาแล้วเหรอคะ” ซุยหลันซีลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเขา“ทำไมคุณถึงมานี่นี่ล่ะ? แล้วที่โรงงานเฟิงหยุนเป็นยังไงบ้าง สำเร็จไหม?”เติ้งเว่ยหมิงรู้ว่าวันนี้เธอไปที่โรงงานตัดเย็บผ้าเฟิงหยุนจึงถามเช่นนี้ แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงมาหาเขาที่โรงงานหรือว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายขนาดนั้น?เติ้งเว่ยหมิงขมวดคิ้วแน่น“พี่เว่ยหมิง ฝีมือระดับฉันแล้วจะพลาดเหรอคะ ว่าแต่พี่พอจะพาฉันไปพบเถ้าแก่โรงงานของพี่ได้ไหม ฉันมีข้อเสนอเรื่องธุรกิจจะมาคุยกับเขาค่ะ” ซุยหลันซียืดอกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียง
“คุณซุย ฉันยอมรับว่าชุดที่คุณออกแบบมามันน่าทึ่งมาก คุณสามารถออกแบบชุดเพื่อมาจัดการกับผ้าที่ผลิตผิดพลาดได้ดี ฉันต้องยอมรับในความสามารถของคุณจริงๆ ตั้งแต่ฉันเปิดรับสมัครมาเป็นเวลาสามเดือน มีแบบของคุณซุยนี่แหละที่เข้าตาฉันมากที่สุด” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“ขอบคุณนะคะที่ชอบชุดของฉัน อันที่จริงที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะต้องการความร่วมมือของคุณค่ะ ฉันใช้ผ้าที่เหลือมาตัดชุดที่ฉันออกแบบ นอกจากชุดที่ฉันตัดมาเป็นตัวอย่างในวันนี้แล้ว ฉันว่าจะออกแบบอีกสักสองสามชุด มีชุดให้ลูกค้าเลือกหลายๆ แบบจะขายได้ง่ายกว่า ร้านค้าส่งที่เป็นคู่ค้าของโรงงานเฟิงหยุนสามารถช่วยขายชุดได้ ฉันเชื่อว่าต้องมีใบสั่งซื้อเพิ่มอีกแน่นอน” ซุยหลันซีโน้มน้าวเถ้าแก่เนี้ยอย่างสุดกำลัง เพราะอยากช่วยแก้ปัญหาให้กับเติ้งเว่ยหมิง นอกจากนี้อาจทำกำไรได้อีกนิดหน่อย“โรงงานเฟิงหยุนยินดีที่จะทำตามที่คุณซุยนำเสนอ แต่ว่าเฟิงหยุนของฉันจะได้อะไรบ้างคะ?” หวงเสี่ยวเหมยแสดงความยินดีที่จะทำตามข้อเสนอของซุยหลันซี แต่ก็ยังคงต่อรองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ สมกับเป็นเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของโรงงานผู้มากประสบการณ์ ที่ไม่เคยเก็บงำเขี้