LOGINเมื่อเห็นว่าชายคนนั้นจากไปแล้ว ซุยหลันซีจึงได้เอามือวางประสานอยู่บนหน้าอก หลับตาลง แล้วหวนคิดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตนเองในตอนนี้
จำได้ว่าเมื่อคืนออกไปฉลองกับเพื่อนในทีมอีกสองสามคนเนื่องในโอกาสได้รับรางวัลชนะเลิศ นักวาดยอดเยี่ยมประจำปีจากสำนักพิมพ์ชื่อดังแห่งหนึ่ง หลังงานจบจึงไปฉลองต่อที่ผับแถวบ้าน เผอิญว่าฉลองหนักไปหน่อย ในตอนขากลับบ้านลิฟต์ที่คอนโดเสีย แล้วเธอก็ง่วงนอนสุดๆ จึงทำให้ต้องเดินขึ้นบันไดแทน
แต่ด้วยความเมาเธอก้าวขึ้นไปสองก้าวก็ถอยหลังไปสามก้าว จำได้ว่าก่อนจะถึงชั้นที่อยู่ของตนเอง ดันก้าวพลาดตกบันได
คงเพราะแบบนั้น เธอน่าจะเสียชีวิต แล้ววิญญาณก็มาอยู่ในร่างของผู้หญิงคนนี้
ใครจะไปคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ แล้วก็ดันไม่ใช่ความฝันเสียด้วยสิ นี่ฉันต้องมาติดอยู่ในยุคนี้จริงๆ เหรอเนี่ย? ช่างเถอะทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยให้เลยตามเลยไปก่อนละกัน
ว่าแต่ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมฉันถึงไม่มีความทรงจำอะไรเลย เดี๋ยวนะ...ร่างนี้กำลังเดินทางไปกว่างโจวมันต้องมีอะไรสักอย่างให้ฉันหาข้อมูลได้แน่
ซุยหลันซีคิดได้ดังนั้นจึงผุดลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา แล้วลองคนในกระเป๋า ค้นอยู่สักพักก็เจอบัตรประจำตัวประชาชน[1]ของร่างนี้ ทะเบียนสมรส และเงินสดอีกจำนวนห้าร้อยหยวน และมีเหรียญอีกนิดหน่อย
ซุยหลันซีหยิบบัตรประชาชนออกมาดู ก็ต้องตกใจเป็นรอบที่สี่ ที่ชื่อบนบัตร รวมทั้งวันเดือนเกิด ตรงกับเธอทุกอย่าง พอหยิบทะเบียนสมรสออกมาเปิดดูก็ปรากฏว่าเป็นการแต่งงานกันระหว่างตนเองกับชายคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า เติ้งเว่ยหมิง อายุยี่สิบแปดปี ส่วนร่างนี้ตอนนี้อายุยี่สิบสองปี
“ฉันแต่งงานแล้วจริงๆ ด้วย ชาติก่อนแฟนยังไม่เคยมี มีแต่เพื่อนผู้ชาย รูปร่างก็เก้งก้างท่าทางกระโดกกระเดก หาความเป็นกุลสตรีไม่มี ไม่วาดรูปก็เขียนนิยาย วันๆ นั่งทำแต่งาน ทุ่มเทให้กับงานจนได้รางวัลนักวาดนักเขียนยอดเยี่ยมมาประดับชีวิต ไม่มีเวลาไปเดตกับผู้ชาย ชาตินี้พอฟื้นขึ้นมามายังไม่ทันข้ามวันกลับแต่งงานแล้ว เฮ้อ!” หลังจากเห็นหลักฐานต่างๆ แล้ว ซุยหลันซีก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ
“แต่งงานแล้ว หวังว่าชีวิตต่อจากนี้คงราบรื่นนะ”
ซุยหลันซีหลับตาภาวนาให้เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อวยพรให้ตนเอง
“นี่ครับ อาหารของคุณหนู” เติ้งเว่ยหมิงที่ไม่รู้ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เอ่ยขึ้นพลางยื่นของสิ่งหนึ่งไปตรงหน้าให้กับซุยหลันซี หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นว่าเป็นกล่องข้าวที่ส่งกลิ่นหอมฉุยออกมา
“ตอนแรกก็ไม่หิว แต่พอได้กลิ่นก็ท้องร้องเลยค่ะ”
ซุยหลันซีเอ่ยขึ้นเบาๆ พลางใช้มือข้างหนึ่งลูบท้องตนเองป้อยๆ แถมท้องเจ้ากรรมยังส่งเสียงประท้วงดังลั่น ทำให้เธอต้องอับอายขายขี้หน้า เธอส่งยิ้มอย่างขอโทษให้ชายตรงหน้ายื่นมือออกไปรับพลางกล่าวขอบคุณ เติ้งเว่ยหมิงถึงกับมองด้วยสายตาเข้ม
ยิ้ม! คุณหนูผู้เกลียดเขาเข้าไส้ ยิ้มให้เขา? ผ่านไปไม่นานเมื่อตั้งสติได้ก็ส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว หนึ่งหญิงหนึ่งชายก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ซุยหลันซีนั่งคิดเรื่อยเปื่อย สายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ พยายามค้นหาความทรงจำของร่างนี้ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกทำไมไม่เหมือนกับในนิยายที่เธอแต่ง เวลาทะลุมิติมาจะต้องมีความทรงจำเจ้าของร่างเดิม แต่ไหงร่างนี้ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า?
พอคิดอะไรไม่ออกเธอก็แอบเหลือบสายตามองไปยังคนร่วมเดินทาง แต่เมื่อเจอเข้ากับสายตาเย็นชาก็รีบชักสายตากลับคืนมา กลืนน้ำลายลงคอแล้วทำหน้านิ่ง
รถไฟขบวนนี้ออกเดินทางในตอนเย็นของเมืองปักกิ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณสองวันกว่าๆ จึงจะไปถึงจุดหมายปลายทาง โดยจะไปถึงกว่างโจวในตอนเช้า ขบวนรถไฟมีการแวะจอดเป็นระยะตามหัวเมืองใหญ่ ซุยหลันซีรู้สึกขอบคุณอะไรก็ตามที่เลือกรถไฟที่เป็นตั๋วตู้นอน ถ้าต้องนั่งไปเธอคงก้นด้านเป็นแน่
จนเวลาผ่านไปสามชั่วโมง ทั้งคู่จึงแยกย้ายกันนอนหลับ
ซุยหลันซีหลับไม่สนิท รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งชมฉากเหตุการณ์ในโรงภาพยนต์
เป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่ง ใบหน้า ชื่อ แซ่เหมือนกันกับเธอไม่มีผิดเพี้ยน ต่างกันตรงที่หญิงสาวคนนี้เป็นบุตรสาวคนเดียวของนายพลซุยหาน ซึ่งรักยิ่งกว่าไข่ในหิน และตามใจบุตรสาวคนนี้มาก จนทำให้เจ้าของร่างนี้ เติบโตมากลายเป็นคนที่เอาแต่ใจ ร้ายกาจ ชอบกดขี่และกลั่นแกล้งคนในบ้าน
นายพลซุยหานถูกทางการตั้งข้อหาว่าสมคบคิดกับต่างชาติ ขายข้อมูลลับ กำลังจะถูกดำเนินคดี ท่านนายพลไม่อยากให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนต้องมาพัวพันกับเรื่องนี้ จึงขอร้องแกมบีบบังคับเติ้งเว่ยหมิงให้แต่งงานกับลูกสาวคนเดียวของตนเอง
เติ้งเว่ยหมิงคนนี้เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อบ้านเติ้ง ซุยหลันซีเกิดและเติบโตจนรู้ความก็เห็นเขาเป็นเด็กในบ้าน และยังเป็นลูกไล่ให้กับเธอมาโดยตลอด แต่พอเขาเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ก็สอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ หลังจากนั้นเข้าร่วมทำงานในกองทัพ ตั้งแต่นั้นมาเธอก็แทบจะไม่ได้พบหน้าเขาอีกเลย
เธอแสร้งถามพ่อบ้านทำให้รู้ว่าในการทำภารกิจครั้งล่าสุดให้กับกองทัพ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นทหาร ทั้งๆ ที่หน้าที่การงานกำลังไปได้ด้วยดี
เมื่อนายพลซุยหานเกิดเรื่อง จึงเรียกตัวเติ้งเว่ยหมิงกลับมาขอร้องให้เขาแต่งงานกับบุตรสาวของตัวเอง
เติ้งเว่ยหมิงตอบตกลงเพื่อแสดงความกตัญญู ต่างกับซุยหลันซีที่อาละวาด ไม่ยินยอม ตำหนิว่าชายหนุ่มเป็นแค่คนงานในบ้านกล้าดีอย่างไรถึงจะมาแต่งงานกับคุณหนูผู้สูงส่งอย่างเธอ
ครั้งนี้ท่านนายพลผู้เป็นพ่อไม่ได้ตามใจบุตรสาวสุดที่รักอีกต่อไป เขาจัดการให้ทั้งคู่ไปจดทะเบียนสมรส แล้วให้ออกเดินทางไปกว่างโจวในทันที ทั้งยังห้ามกลับมาที่ปักกิ่งอีกเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองก็ตาม
ซุยหลันซีโกรธให้กับผู้เป็นพ่อมาก แต่พอเห็นมีทหารกรูเข้ามาที่บ้าน คุณหนูที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อก็ลนลานตกใจกลัว เป็นเติ้งเว่ยหมิงที่ตั้งสติได้ลากซุยหลันซีหลบออกมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางที่ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
ในระหว่างที่นั่งรถมาที่สถานีรถไฟซุยหลันซีเริ่มหอบเหนื่อย เติ้งเว่ยหมิงก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร
ทั้งคู่นั่งรอรถไฟตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น เป็นเพราะไม่เคยตกระกำลำบากทำให้ร่างนี้นั่งหลับตาเงียบๆ ไม่พูดไม่จาใดๆ เติ้งเว่ยหมิงก็ปรายตามองเป็นระยะ
เขาคิดแค่ว่าคุณหนูกำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้เอะใจว่าซุยหลันซีหัวใจวายเสียชีวิตไปแล้ว
ส่วนซุยหลันซีที่ตกบันไดหงายหลังเสียชีวิตก็ถูกพลังงานสายหนึ่งถีบวิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างของซุยหลันซีคนนี้
ซุยหลันซีหายใจเฮือกแล้วตกใจตื่น เพราะเสียงนายตรวจมาตรวจตั๋วรถไฟ เธอลุกพรวดขึ้นนั่งเหงื่อแตกพลั่ก แม้ว่าอากาศในตู้นอนจะเย็นยะเยือก
หลังจากเห็นเติ้งเว่ยหมิงส่งตั๋วรถไฟให้ตรวจแล้ว ซุยหลันซีที่ตื่นเต็มตาแล้วก็มานั่งทบทวนถึงความฝันอีกครั้ง
สรุปว่าร่างนี้ตายไปแล้ว แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้วิญญาณของเธอเข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้ จะนับว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่านะ? วีรกรรมของร่างนี้ที่ก่อไว้ช่างน่าปวดหัว
ถึงจะน่าปวดหัวอย่างไรก็ยังต้องขอบคุณที่ทำให้เธอได้มีชีวิตอีกครั้ง แม้ว่าจะผิดยุคผิดสมัยก็เถอะ เอาเป็นว่าฉันจะยกเธอให้เป็นบรรพบุรุษของฉัน แล้วจะไหว้เธอในเทศกาลเช็งเม้งทุกปีก็แล้วกันนะ
ซุยหลันซีเอ่ยบอกวิญญาณของร่างนี้ในใจ แล้วหลับตานอนหลับพักผ่อนต่อไป
เรื่องของวันข้างหน้าก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตาฟ้าลิขิต จะไปวิตกกังวลล่วงหน้าทำไม หากมีปัญหาค่อยหาทางแก้ไปที่ละอย่างก็แล้วกัน
[1] บัตรประชาชนจีน เริ่มใช้ในปี ค.ศ. 1984
เสียงเครื่องช่วยหายใจดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลกลางเมืองปักกิ่ง ซุยหลันซีในชุดคนไข้นอนหลับนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าไร้สีเลือด แต่ยังคงความงดงามแฝงด้วยความสงบ ห้องที่เธอนอนอยู่ดูอบอุ่นกว่าห้องพักฟื้นทั่วไป ข้างเตียงมีกระถางดอกลิลลี่สีขาววางไว้ เติมความสดชื่นให้กับบรรยากาศ“นี่ฉัน...กลับมาที่ยุคของฉันแล้วใช่ไหม?”เธอถามตัวเอง หลังจากที่ยืนมองร่างของตนเองที่นอนอยู่บนเตียงจากนั้น ก็มีเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นหน้าห้องพักฟื้น เสียงนี้คุ้นเคยจนเธอรู้สึกอบอุ่น เพ่ยเพ่ยเดินเข้ามาเป็นคนแรก ตามด้วยลี่ลี่และเหอจิ้ง พวกเขาต่างถือถุงใส่อาหารและเครื่องดื่มมาด้วย สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี“หลันหลัน! เธอต้องภูมิใจแน่ๆ”เพ่ยเพ่ยวางถุงไว้ที่โต๊ะข้างเตียง พร้อมกับจับมือขวาของซุยหลันซีขึ้นมาจับไว้ “คอมมิคของพวกเราผ่านการพิจารณาแล้วนะ! สำนักพิมพ์ใหญ่เซ็นสัญญาแล้วด้วย”ลี่ลี่หัวเราะเบาๆ “ใช่แล้ว จะขี้เซานอนไปถึงเมื่อไหร่ ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นดีใจ ฉลองกับพวกเราดีกว่าไหม”เหอจิ้งที่มักพูดน้อยที่สุดในกลุ่ม พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเราส
ในงานเลี้ยงหลังการแสดงแบบ ซุยหลันซีกำลังจิบน้ำชาอย่างสงบ ด้วยเธอยังให้นมลูกอยู่จึงไม่สะดวกเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สายตากวาดมองผู้คนที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส เสียงหัวเราะ เสียงแก้วกระทบกันดังแว่วมาเป็นระยะ“คุณซุย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักขึ้นเป็นภาษาจีนกลางที่มีสำเนียงกวางตุ้งแทรกซุยหลันซีหันไปพบกับชายวัยกลางคนในชุดสูทสีเทาเข้ม รูปร่างท้วมภูมิฐาน เขายิ้มอย่างมีไมตรีก่อนแนะนำตัว“ผมหว่องไห่เฉิง จากห้างสรรพสินค้าไท่ผิงหยางในฮ่องกงครับ” เขาพยักหน้าให้เล็กน้อย “ชุดที่คุณออกแบบ...น่าสนใจมากทีเดียว”เติ้งเว่ยหมิงที่ยืนอยู่ข้างภรรยา สังเกตเห็นประกายในดวงตาของนักธุรกิจผู้นี้ นั่นคือสายตาของคนที่มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ“ขอบคุณมากค่ะ” ซุยหลันซีตอบอย่างถ่อมตน พลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ“ทราบมาว่าคุณเพิ่งเริ่มออกแบบได้ไม่นาน” หว่องไห่เฉิงเอ่ยต่อ สายตาประเมินอย่างแยบยล “แต่ลายเส้นของคุณ...มันมีอะไรบางอย่างที่พิเศษ”“คุณชมเกินไปแล้วค่ะ” ซุยหลันซียิ้มบาง “ฉันแค่พยายามผสมผสานความงามแบบดั้งเดิมเข้ากับรสนิยมร่วมสมัย”“นั่นสิ” หว่องไห่เฉิงพยักหน้าอย่างเห็
ในเวลาตอนเย็นที่เป็นการแสดงที่แท้จริง ทุกคนจากคณะของประเทศจีนก็มาเตรียมตัวในส่วนที่ทางเจ้าภาพจัดให้ไว้ ไมเคิลมาประกบคณะจากโรงงานเฟิ่งหยุนตั้งแต่ตอนกลางวันแล้วที่ห้องเตรียมตัวชั้นล่างของโรงแรม ซึ่งเป็นห้องที่มีการจัดงาน เทศกาลแฟชั่นและวัฒนธรรมนานาชาติฮ่องกง ปี 1986 ซุยหลันซียืนจ้องชุด ‘กำเนิดหงส์ทอง’ ที่แขวนอยู่บนราวด้วยสายตาพิถีพิถัน ผ้าไหมสีม่วงอมน้ำเงินเข้มเป็นประกายระยับใต้แสงไฟ ลายปักนกหงส์ทองและดอกโบตั๋นที่ปักด้วยด้ายเงินดูมีชีวิตชีวา“พี่หลันหลัน” เสี่ยวน่าที่เพิ่งแต่งหน้าเสร็จเดินเข้ามาหา “พี่คิดว่าชุดนี้จะได้รับความสนใจจากนักธุรกิจฮ่องกงไหมคะ”“แน่นอนสิจ๊ะ” ซุยหลันซียิ้มให้กำลังใจ“เธอสวยมากวันนี้ เสี่ยวจูแต่งหน้าให้เข้ากับชุดได้ดีทีเดียว”เสี่ยวจูที่ยืนจัดอุปกรณ์แต่งหน้าอยู่ข้างๆ ยิ้มด้วยความภูมิใจ “ฉันตั้งใจมากเลยนะคะ วันนี้ต้องให้เสี่ยวน่าสวยที่สุด”หวงเสี่ยวเหมยเดินเข้ามาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง “นี่ลำดับการเดินแบบ เราเป็นลำดับที่สาม ต่อจากร้านเสื้อดังของฮ่องกง”ซุยหลันซีพยักหน้า มือเธอสัมผัสผ้าไหมของชุดอีกครั้ง นึกถึงคำพู
รุ่งขึ้นหลังจากที่กินอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว ไมเคิลก็มาพาคณะของประเทศจีนไปเยี่ยมชมสถานที่เป็นแลนด์มาร์กของฮ่องกง ซึ่งก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับทุกคน โดยเฉพาะคนของโรงงานเฟิงหยุนนั่นเองฟ้าใสไร้เมฆในยามสายทำให้การเริ่มต้นทัวร์ฮ่องกงของพวกเขาเป็นไปอย่างสดใส ไมเคิลวางแผนเส้นทางอย่างละเอียด เริ่มจากพีคแทรมที่พาทุกคนขึ้นสู่จุดชมวิวบนยอดเขาวิกตอเรีย“นี่คือพีคแทรม รถรางที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 1888” ไมเคิลอธิบายขณะที่พวกเขานั่งอยู่ในรถรางไม้เก่าแก่ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปบนเขาวิกตอเรีย เสียงล้อเหล็กครูดกับรางดังเป็นจังหวะซุยหลันซีนั่งข้างหน้าต่างบานเล็ก มือข้างหนึ่งโอบอุ้มซุยอวี้เซียนที่กำลังงอแง เด็กน้อยคงไม่คุ้นชินกับการเดินทางแบบนี้ ส่วนเติ้งเจียหาวนั่งบนตักของเติ้งเว่ยหมิง มือน้อยๆ เกาะขอบหน้าต่างแน่น ทุกครั้งที่รถรางสั่นไหว“พี่เสี่ยวเหมยคะ ดูตึกพวกนั้นสิ” เสี่ยวจูชี้ไปยังอาคารสูงสิบกว่าชั้นที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมอ่าว ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นหวงเสี่ยวเหมยมองตามนิ้วชี้ของเสี่ยวจู ใบหน้าเผยความประหลาดใจไม่ต่างกัน “ฮ่องกงช่างแตกต่างจากกว่างโจวจริ
ซุยหลันซีเดินทางมาถึงวันจัดงานก่อนล่วงหน้าถึงสามวัน เนื่องจากว่าเธอเดินทางกับเด็กเล็กจึงต้องการให้มีเวลาได้พักผ่อนไมเคิล เป็นคนที่มีความสามารถพูดได้หลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีนกลาง ภาษาอังกฤษ และภาษาจีนกวางตุ้ง ซึ่งเป็นภาษาหลักของคนพื้นเมืองของฮ่องกง แต่ภาษาทางการคือภาษาอังกฤษเนื่องจากฮ่องกงยังอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรนั่นเอง ในการสื่อสาร ไมเคิลใช้ภาษาจีนกลางในการสื่อสารจากคณะที่มาจากประเทศจีนด้วยการประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพของไมเคิล ทำให้ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองเป็นไปอย่างราบรื่น คณะของพวกเขาได้รับสิทธิพิเศษในการผ่านช่องทางสำหรับแขกของรัฐบาล“โรงแรมที่พวกเราจะเข้าพักคือ เดอะซาเลสเบอรี วายเอ็มซีเอ ตั้งอยู่ในย่านจิมซาจุ่ยครับ” ไมเคิลอธิบายขณะนำทางทุกคนขึ้นรถบัสปรับอากาศ“เป็นโรงแรมระดับสี่ดาวที่มีวิวสวยที่สุดแห่งหนึ่งของฮ่องกง พวกคุณจะได้เห็นอ่าววิกตอเรียและเส้นขอบฟ้าของเกาะฮ่องกงได้อย่างชัดเจนจากห้องพัก”หวงเสี่ยวเหมยกระซิบกับซุยหลันซี “โชคดีจริงๆ ที่ได้ท่านนายพลกุ้ยช่วย ถึงได้พักโรงแรมระดับนี้ในราคาถูก”ซุยหลันซีพยักห
หนึ่งวันก่อนการเดินทางไปฮ่องกง ที่โรงงานเฟิงหยุน มีการประชุมกันเป็นครั้งสุดท้ายอีกครั้ง“ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม?”เสียงใสของหวงเสี่ยวเหมยดังขึ้นในห้องประชุมของโรงงานเฟิงหยุน หญิงสาวกำลังตรวจรายการเอกสารและสัมภาระครั้งสุดท้ายก่อนการเดินทางไกลไปถึงต่างประเทศซุยหลันซีพยักหน้า พลางก้มมองแฟ้มเอกสารตรงหน้า ภายในบรรจุแบบเสื้อที่เธอทุ่มเทออกแบบจนได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศ ชุด ‘กำเนิดหงส์ทอง’ จะได้ร่วมแสดงในงานเดินแบบที่ฮ่องกง งานนี้จัดขึ้นเป็นกรณีพิเศษภายใต้โครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงวันเวลาจากหกเดือนมาเป็นหนึ่งปี“นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญของพวกเรา” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง“งานนี้จะมีนักธุรกิจจากฮ่องกงมาร่วมงานมากมาย ถ้าพวกเขาสนใจในแบบของเรา... ดังนั้นขอให้ทุกคนตั้งใจทำงานออกมาให้อย่างเต็มที่”ซุยหลันซีนักออกแบบ เสี่ยวน่านางแบบและเสี่ยวจูช่างแต่งหน้าที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะต่างพยักหน้ารับ พวกเธอจะร่วมเดินทางไปในฐานะผู้ช่วย&nbs







![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)