เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นจากไปแล้ว ซุยหลันซีจึงได้เอามือวางประสานอยู่บนหน้าอก หลับตาลง แล้วหวนคิดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตนเองในตอนนี้
จำได้ว่าเมื่อคืนออกไปฉลองกับเพื่อนในทีมอีกสองสามคนเนื่องในโอกาสได้รับรางวัลชนะเลิศ นักวาดยอดเยี่ยมประจำปีจากสำนักพิมพ์ชื่อดังแห่งหนึ่ง หลังงานจบจึงไปฉลองต่อที่ผับแถวบ้าน เผอิญว่าฉลองหนักไปหน่อย ในตอนขากลับบ้านลิฟต์ที่คอนโดเสีย แล้วเธอก็ง่วงนอนสุดๆ จึงทำให้ต้องเดินขึ้นบันไดแทน
แต่ด้วยความเมาเธอก้าวขึ้นไปสองก้าวก็ถอยหลังไปสามก้าว จำได้ว่าก่อนจะถึงชั้นที่อยู่ของตนเอง ดันก้าวพลาดตกบันได
คงเพราะแบบนั้น เธอน่าจะเสียชีวิต แล้ววิญญาณก็มาอยู่ในร่างของผู้หญิงคนนี้
ใครจะไปคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ แล้วก็ดันไม่ใช่ความฝันเสียด้วยสิ นี่ฉันต้องมาติดอยู่ในยุคนี้จริงๆ เหรอเนี่ย? ช่างเถอะทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยให้เลยตามเลยไปก่อนละกัน
ว่าแต่ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมฉันถึงไม่มีความทรงจำอะไรเลย เดี๋ยวนะ...ร่างนี้กำลังเดินทางไปกว่างโจวมันต้องมีอะไรสักอย่างให้ฉันหาข้อมูลได้แน่
ซุยหลันซีคิดได้ดังนั้นจึงผุดลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา แล้วลองคนในกระเป๋า ค้นอยู่สักพักก็เจอบัตรประจำตัวประชาชน[1]ของร่างนี้ ทะเบียนสมรส และเงินสดอีกจำนวนห้าร้อยหยวน และมีเหรียญอีกนิดหน่อย
ซุยหลันซีหยิบบัตรประชาชนออกมาดู ก็ต้องตกใจเป็นรอบที่สี่ ที่ชื่อบนบัตร รวมทั้งวันเดือนเกิด ตรงกับเธอทุกอย่าง พอหยิบทะเบียนสมรสออกมาเปิดดูก็ปรากฏว่าเป็นการแต่งงานกันระหว่างตนเองกับชายคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า เติ้งเว่ยหมิง อายุยี่สิบแปดปี ส่วนร่างนี้ตอนนี้อายุยี่สิบสองปี
“ฉันแต่งงานแล้วจริงๆ ด้วย ชาติก่อนแฟนยังไม่เคยมี มีแต่เพื่อนผู้ชาย รูปร่างก็เก้งก้างท่าทางกระโดกกระเดก หาความเป็นกุลสตรีไม่มี ไม่วาดรูปก็เขียนนิยาย วันๆ นั่งทำแต่งาน ทุ่มเทให้กับงานจนได้รางวัลนักวาดนักเขียนยอดเยี่ยมมาประดับชีวิต ไม่มีเวลาไปเดตกับผู้ชาย ชาตินี้พอฟื้นขึ้นมามายังไม่ทันข้ามวันกลับแต่งงานแล้ว เฮ้อ!” หลังจากเห็นหลักฐานต่างๆ แล้ว ซุยหลันซีก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ
“แต่งงานแล้ว หวังว่าชีวิตต่อจากนี้คงราบรื่นนะ”
ซุยหลันซีหลับตาภาวนาให้เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อวยพรให้ตนเอง
“นี่ครับ อาหารของคุณหนู” เติ้งเว่ยหมิงที่ไม่รู้ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เอ่ยขึ้นพลางยื่นของสิ่งหนึ่งไปตรงหน้าให้กับซุยหลันซี หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นว่าเป็นกล่องข้าวที่ส่งกลิ่นหอมฉุยออกมา
“ตอนแรกก็ไม่หิว แต่พอได้กลิ่นก็ท้องร้องเลยค่ะ”
ซุยหลันซีเอ่ยขึ้นเบาๆ พลางใช้มือข้างหนึ่งลูบท้องตนเองป้อยๆ แถมท้องเจ้ากรรมยังส่งเสียงประท้วงดังลั่น ทำให้เธอต้องอับอายขายขี้หน้า เธอส่งยิ้มอย่างขอโทษให้ชายตรงหน้ายื่นมือออกไปรับพลางกล่าวขอบคุณ เติ้งเว่ยหมิงถึงกับมองด้วยสายตาเข้ม
ยิ้ม! คุณหนูผู้เกลียดเขาเข้าไส้ ยิ้มให้เขา? ผ่านไปไม่นานเมื่อตั้งสติได้ก็ส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว หนึ่งหญิงหนึ่งชายก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ซุยหลันซีนั่งคิดเรื่อยเปื่อย สายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ พยายามค้นหาความทรงจำของร่างนี้ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกทำไมไม่เหมือนกับในนิยายที่เธอแต่ง เวลาทะลุมิติมาจะต้องมีความทรงจำเจ้าของร่างเดิม แต่ไหงร่างนี้ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า?
พอคิดอะไรไม่ออกเธอก็แอบเหลือบสายตามองไปยังคนร่วมเดินทาง แต่เมื่อเจอเข้ากับสายตาเย็นชาก็รีบชักสายตากลับคืนมา กลืนน้ำลายลงคอแล้วทำหน้านิ่ง
รถไฟขบวนนี้ออกเดินทางในตอนเย็นของเมืองปักกิ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณสองวันกว่าๆ จึงจะไปถึงจุดหมายปลายทาง โดยจะไปถึงกว่างโจวในตอนเช้า ขบวนรถไฟมีการแวะจอดเป็นระยะตามหัวเมืองใหญ่ ซุยหลันซีรู้สึกขอบคุณอะไรก็ตามที่เลือกรถไฟที่เป็นตั๋วตู้นอน ถ้าต้องนั่งไปเธอคงก้นด้านเป็นแน่
จนเวลาผ่านไปสามชั่วโมง ทั้งคู่จึงแยกย้ายกันนอนหลับ
ซุยหลันซีหลับไม่สนิท รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งชมฉากเหตุการณ์ในโรงภาพยนต์
เป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่ง ใบหน้า ชื่อ แซ่เหมือนกันกับเธอไม่มีผิดเพี้ยน ต่างกันตรงที่หญิงสาวคนนี้เป็นบุตรสาวคนเดียวของนายพลซุยหาน ซึ่งรักยิ่งกว่าไข่ในหิน และตามใจบุตรสาวคนนี้มาก จนทำให้เจ้าของร่างนี้ เติบโตมากลายเป็นคนที่เอาแต่ใจ ร้ายกาจ ชอบกดขี่และกลั่นแกล้งคนในบ้าน
นายพลซุยหานถูกทางการตั้งข้อหาว่าสมคบคิดกับต่างชาติ ขายข้อมูลลับ กำลังจะถูกดำเนินคดี ท่านนายพลไม่อยากให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนต้องมาพัวพันกับเรื่องนี้ จึงขอร้องแกมบีบบังคับเติ้งเว่ยหมิงให้แต่งงานกับลูกสาวคนเดียวของตนเอง
เติ้งเว่ยหมิงคนนี้เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อบ้านเติ้ง ซุยหลันซีเกิดและเติบโตจนรู้ความก็เห็นเขาเป็นเด็กในบ้าน และยังเป็นลูกไล่ให้กับเธอมาโดยตลอด แต่พอเขาเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ก็สอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ หลังจากนั้นเข้าร่วมทำงานในกองทัพ ตั้งแต่นั้นมาเธอก็แทบจะไม่ได้พบหน้าเขาอีกเลย
เธอแสร้งถามพ่อบ้านทำให้รู้ว่าในการทำภารกิจครั้งล่าสุดให้กับกองทัพ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นทหาร ทั้งๆ ที่หน้าที่การงานกำลังไปได้ด้วยดี
เมื่อนายพลซุยหานเกิดเรื่อง จึงเรียกตัวเติ้งเว่ยหมิงกลับมาขอร้องให้เขาแต่งงานกับบุตรสาวของตัวเอง
เติ้งเว่ยหมิงตอบตกลงเพื่อแสดงความกตัญญู ต่างกับซุยหลันซีที่อาละวาด ไม่ยินยอม ตำหนิว่าชายหนุ่มเป็นแค่คนงานในบ้านกล้าดีอย่างไรถึงจะมาแต่งงานกับคุณหนูผู้สูงส่งอย่างเธอ
ครั้งนี้ท่านนายพลผู้เป็นพ่อไม่ได้ตามใจบุตรสาวสุดที่รักอีกต่อไป เขาจัดการให้ทั้งคู่ไปจดทะเบียนสมรส แล้วให้ออกเดินทางไปกว่างโจวในทันที ทั้งยังห้ามกลับมาที่ปักกิ่งอีกเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองก็ตาม
ซุยหลันซีโกรธให้กับผู้เป็นพ่อมาก แต่พอเห็นมีทหารกรูเข้ามาที่บ้าน คุณหนูที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อก็ลนลานตกใจกลัว เป็นเติ้งเว่ยหมิงที่ตั้งสติได้ลากซุยหลันซีหลบออกมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางที่ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
ในระหว่างที่นั่งรถมาที่สถานีรถไฟซุยหลันซีเริ่มหอบเหนื่อย เติ้งเว่ยหมิงก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร
ทั้งคู่นั่งรอรถไฟตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น เป็นเพราะไม่เคยตกระกำลำบากทำให้ร่างนี้นั่งหลับตาเงียบๆ ไม่พูดไม่จาใดๆ เติ้งเว่ยหมิงก็ปรายตามองเป็นระยะ
เขาคิดแค่ว่าคุณหนูกำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้เอะใจว่าซุยหลันซีหัวใจวายเสียชีวิตไปแล้ว
ส่วนซุยหลันซีที่ตกบันไดหงายหลังเสียชีวิตก็ถูกพลังงานสายหนึ่งถีบวิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างของซุยหลันซีคนนี้
ซุยหลันซีหายใจเฮือกแล้วตกใจตื่น เพราะเสียงนายตรวจมาตรวจตั๋วรถไฟ เธอลุกพรวดขึ้นนั่งเหงื่อแตกพลั่ก แม้ว่าอากาศในตู้นอนจะเย็นยะเยือก
หลังจากเห็นเติ้งเว่ยหมิงส่งตั๋วรถไฟให้ตรวจแล้ว ซุยหลันซีที่ตื่นเต็มตาแล้วก็มานั่งทบทวนถึงความฝันอีกครั้ง
สรุปว่าร่างนี้ตายไปแล้ว แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้วิญญาณของเธอเข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้ จะนับว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่านะ? วีรกรรมของร่างนี้ที่ก่อไว้ช่างน่าปวดหัว
ถึงจะน่าปวดหัวอย่างไรก็ยังต้องขอบคุณที่ทำให้เธอได้มีชีวิตอีกครั้ง แม้ว่าจะผิดยุคผิดสมัยก็เถอะ เอาเป็นว่าฉันจะยกเธอให้เป็นบรรพบุรุษของฉัน แล้วจะไหว้เธอในเทศกาลเช็งเม้งทุกปีก็แล้วกันนะ
ซุยหลันซีเอ่ยบอกวิญญาณของร่างนี้ในใจ แล้วหลับตานอนหลับพักผ่อนต่อไป
เรื่องของวันข้างหน้าก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตาฟ้าลิขิต จะไปวิตกกังวลล่วงหน้าทำไม หากมีปัญหาค่อยหาทางแก้ไปที่ละอย่างก็แล้วกัน
[1] บัตรประชาชนจีน เริ่มใช้ในปี ค.ศ. 1984
เวลาบ่ายสองโมง เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นทำให้เติ้งเว่ยหมิงรีบวางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กลงในกะละมังแล้วลุกไปเปิดประตู ปรากฏว่าหลี่ชิงหรง เพื่อนบ้านยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู“อาหมิง หลันหลันอยู่บ้านไหม พี่มีเรื่องจะมาบอก”“อยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้หลันหลันน่าจะไม่สะดวกพบพี่นะครับ” เติ้งเว่ยหมิงแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ไม่สะดวกเจอ หลันหลันเป็นอะไรหรือเปล่า”หลี่ชิงหรงถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“เป็นไข้ครับ ผมเลยให้นอนพัก”“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ตอนเช้าพี่มาเคาะประตูรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเปิด เลยมาอีกทีตอนบ่าย พี่อุตส่าห์เตือนแล้วเชียวว่าอย่าหักโหมทำงานหนัก เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน อาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ไม่เป็นไร รอให้หลันหลันหายดีก่อนก็แล้วกัน ฝากบอกหลันหลันด้วยละกันว่าพี่มาหา” หลี่ชิงหรงบ่นอุบอิบถึงเพื่อนบ้านรุ่นน้องที่เธอก็รักไม่ต่างกับน้องสาวตนเองจริงๆ“ครับแล้วผมจะบอกให้ ถ้าหลันหลันค่อยยังชั่วแล้วจะให้ไปหาพี่ชิงหรงนะครับ”“ได้ งั้นพี่กลับบ้านก่อนละกัน”หลี่ชิงหรงกลับไปแล้ว เติ้งเว่ยหมิงจึงปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ทรุดตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นซุยหลันซีตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเติ้งเว่ยหมิง หญิงสาวถึงกับเขินอายและทำตัวไม่ถูก เธอรีบลุกออกไปจากเตียงเงียบๆ โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่ตกลงว่าจะเป็นสามีแต่เพียงในนามของเธอนั้นตื่นก่อนเธอนานแล้ว แต่เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเขา ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นยังไม่ตื่นซุยหลันซีตบหน้าเรียกสติตนเองอยู่สองสามทีก่อนจะทำหน้าที่ของตนเองเหมือนทุกวันที่ผ่านมา นั่นก็คือทำอาหารและเตรียมของให้เติ้งเว่ยหมิงไปทำงานทั้งคู่นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด เติ้งเว่ยหมิงมีรอยยิ้มแต้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา ส่วนซุยหลันซีก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเงียบๆหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปทำงาน ซุยหลันซีถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเริ่มลงมือทำงานบ้าน ซักผ้าแล้วไปปลุกเด็กชายเล่อเล่อ ล้างหน้าให้เด็กชาย ดูแลให้เด็กน้อยกินอาหารเช้า เสร็จแล้วก็มานั่งทำงานออกแบบลายผ้าเล่อเล่อนั่งเล่นคนเดียวอย่างเงียบๆ เด็กชายชินแล้ว เขาจะไม่เข้าไปกวนเวลาพี่สาวคนสวยทำงาน เพราะแม่ของเขาสั่งมาว่าห้ามกวนพี่สาวคน
ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงช่วยซุยหลันซีเก็บจานล้างทำความสะอาด โดยบอกให้เธอไปอาบน้ำส่วนตัวเขานั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าตึงเครียด คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาหญิงสาวอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใช้สายตามองชายหนุ่มผ่านทางกระจกบรรยากาศช่างน่าอึดอัดและเงียบจนซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า? หรือมีปัญหาอะไรที่ทำงานอีกไหม หรือว่าผู้จัดการจางทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจ?” ซุยหลันซีหยุดมือที่กำลังหวีผม หันหน้ามาทางเขาที่นั่งอยู่บนเตียง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเติ้งเว่ยหมิงไม่ตอบ เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าสายตาลุ่มลึกที่มองมาทำให้ซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเติ้งเว่ยหมิงผลักร่างของซุยหลันซี เธอไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปบนเตียงนอนเขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดข้อมือเล็กบางของเธอเอาไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างกดอยู่ที่เอวของเธอ ร่างสูงใหญ่
อี้ชุนคุ้นเคยกับเติ้งเว่ยหมิงเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนรับชายหนุ่มเข้ามาทำงานด้วยตนเองเนื่องจากเติ้งเว่ยหมิงได้มีโอกาสช่วยชีวิตอี้ชุนขณะที่ถูกคนดักปล้น ซึ่งเป็นช่วงที่เติ้งเว่ยหมิงย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ หลังจากช่วยเหลือกันแล้ว อี้ชุนต้องการตอบแทนบุญคุณ แต่เติ้งเว่ยหมิงปฏิเสธหลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่อี้ชุนก็รู้ว่าเขาจบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์มา แล้วยังเคยเป็นทหารมาก่อน และตอนนี้กำลังหางานทำ จึงชวนเติ้งเว่ยหมิงมาทำงานคุมเครื่องจักรในโรงงานของตัวเอง จึงนับว่าทั้งคู่ค่อนข้างมีความสนิทสนมกันอยู่พอสมควร“ซุยหลันซี ภรรยาของผมครับ หลันหลัน คนนี้คือคุณอี้ชุนเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกันซุยหลันซีจึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนกล่าวทักทาย“สวัสดีค่ะ เถ้าแก่อี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาหมิงฉันไม่คิดว่านายจะปิดบังเรื่องแต่งงานกับฉัน แต่เธอสวยงามและเหมาะสมกับนายมาก” เถ้าแก่อี้ค้อมหัวเล็กน้อยทักทายเธอกลับ แล้วหันไปพูดกับเติ้งเว่ยหมิง ตัดพ้อเขาเล็กน้อย แล้วเอ่ยชมด้วยความจริงใจซุยหลันซ
ซุยหลันซีมาถึงโรงงานสิ่งทอจินเซิงที่เติ้งเว่ยหมิงทำงานก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี โรงงานแห่งนี้มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้กับพนักงานทุกคนซุยหลันซีเป็นเพียงคนนอกไม่ได้เป็นพนักงานของโรงงาน เมื่อแจ้งความประสงค์ว่าต้องการขอพบสามีแล้วเธอก็เดินออกมาด้านนอก เพื่อหาอาหารกลางวันรับประทาน เพราะต้องรอให้เติ้งเว่ยหมิงกินข้าวกลางวันเสร็จก่อน เสร็จจากมื้อกลางวันก็เดินกลับเข้าไปที่โรงงานอีกครั้งเธอรออยู่ที่ห้องรับรองของโรงงาน ไม่นานเติ้งเว่ยหมิงก็เดินออกมา“พี่เว่ยหมิงมาแล้วเหรอคะ” ซุยหลันซีลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเขา“ทำไมคุณถึงมานี่นี่ล่ะ? แล้วที่โรงงานเฟิงหยุนเป็นยังไงบ้าง สำเร็จไหม?”เติ้งเว่ยหมิงรู้ว่าวันนี้เธอไปที่โรงงานตัดเย็บผ้าเฟิงหยุนจึงถามเช่นนี้ แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงมาหาเขาที่โรงงานหรือว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายขนาดนั้น?เติ้งเว่ยหมิงขมวดคิ้วแน่น“พี่เว่ยหมิง ฝีมือระดับฉันแล้วจะพลาดเหรอคะ ว่าแต่พี่พอจะพาฉันไปพบเถ้าแก่โรงงานของพี่ได้ไหม ฉันมีข้อเสนอเรื่องธุรกิจจะมาคุยกับเขาค่ะ” ซุยหลันซียืดอกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียง
“คุณซุย ฉันยอมรับว่าชุดที่คุณออกแบบมามันน่าทึ่งมาก คุณสามารถออกแบบชุดเพื่อมาจัดการกับผ้าที่ผลิตผิดพลาดได้ดี ฉันต้องยอมรับในความสามารถของคุณจริงๆ ตั้งแต่ฉันเปิดรับสมัครมาเป็นเวลาสามเดือน มีแบบของคุณซุยนี่แหละที่เข้าตาฉันมากที่สุด” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“ขอบคุณนะคะที่ชอบชุดของฉัน อันที่จริงที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะต้องการความร่วมมือของคุณค่ะ ฉันใช้ผ้าที่เหลือมาตัดชุดที่ฉันออกแบบ นอกจากชุดที่ฉันตัดมาเป็นตัวอย่างในวันนี้แล้ว ฉันว่าจะออกแบบอีกสักสองสามชุด มีชุดให้ลูกค้าเลือกหลายๆ แบบจะขายได้ง่ายกว่า ร้านค้าส่งที่เป็นคู่ค้าของโรงงานเฟิงหยุนสามารถช่วยขายชุดได้ ฉันเชื่อว่าต้องมีใบสั่งซื้อเพิ่มอีกแน่นอน” ซุยหลันซีโน้มน้าวเถ้าแก่เนี้ยอย่างสุดกำลัง เพราะอยากช่วยแก้ปัญหาให้กับเติ้งเว่ยหมิง นอกจากนี้อาจทำกำไรได้อีกนิดหน่อย“โรงงานเฟิงหยุนยินดีที่จะทำตามที่คุณซุยนำเสนอ แต่ว่าเฟิงหยุนของฉันจะได้อะไรบ้างคะ?” หวงเสี่ยวเหมยแสดงความยินดีที่จะทำตามข้อเสนอของซุยหลันซี แต่ก็ยังคงต่อรองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ สมกับเป็นเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของโรงงานผู้มากประสบการณ์ ที่ไม่เคยเก็บงำเขี้