ชีวิตประจำวันของซุยหลันซีกับเติ้งเว่ยหมิงก็เป็นไปตามปกติ เติ้งเว่ยหมิงออกไปทำงานทุกวัน ส่วนซุยหลันซีก็หัดทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า และยังดูแลเล่อเล่อในตอนกลางวัน ระหว่างที่เด็กชายนอนพักกลางวัน เธอก็เอางานออกแบบชุดมาทำไปเรื่อยๆ จนวันนี้แบบที่วาดก็สำเร็จ
“หลันหลัน มันสวยมาก พี่ไม่เคยเห็นชุดอะไรแบบนี้มาก่อนเลยนะ” เมื่อหลี่ชิงหรงกลับมาจากทำงานแล้วมารับลูกชายเพื่อกลับบ้าน ซุยหลันซีจึงถือโอกาสเอาแบบที่เธอวาดเสร็จแล้วออกมาให้กับหลี่ชิงหรงดู
“เพิ่งวาดเสร็จบ่ายนี้เองค่ะ กะว่าจะลงสีอีกสักเล็กน้อยก็พร้อมจะเอาไปส่งที่โรงงานได้เลย” ซุยหลันซียิ้มรับคำชม
“ดีๆ อย่างนั้นวันพรุ่งนี้ไปกับพี่ ดีไหม?”
หลี่ชิงหรงเสนอตัวด้วยความยินดี อย่างไรเธอก็ทำงานที่โรงงานนี้อยู่แล้ว
“ขอบคุณค่ะพี่ชิงหรง วันพรุ่งนี้ฉันต้องรบกวนพี่แล้วนะคะ”
หลังจากนั้นหลี่ชิงหรงก็พาลูกชายกลับบ้าน ซุยหลันซีเดินเข้าครัวลงมือทำอาหารไว้รอเติ้งเว่ยหมิงกลับมาจากทำงาน
เสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้น เป็นเวลาเดียวกับที่ซุยหลันซีทำกับข้าวเสร็จชายหนุ่มเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า คิ้วหนาเข้มขมวดเป็นปมอยู่ตลอดเวลา เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยทักทายภรรยาสองสามคำแล้วขอตัวไปอาบน้ำ กลับเข้ามาอีกทีบนโต๊ะก็มีอาหารจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว เขานั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามซุยหลันซี หญิงสาวเปิดเปลือกตาขึ้นมองชายหนุ่ม เม้มปากอย่างไม่แน่ใจ เพราะดูท่าทางของเติ้งเว่ยหมิงไม่เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา วันนี้เขาเงียบผิดปกติ
“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้พี่เงียบผิดปกติ หรือว่าอาหารที่ฉันทำไม่อร่อย?” ซุยหลันซีหยุดการกินอาหารค่ำ เอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
เติ้งเว่ยหมิงได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมา เขาวางตะเกียบลง ทั้งที่ไม่ได้แตะอาหารเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ที่ทำงานมีปัญหานิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
ตั้งแต่พฤติกรรมของซุยหลันซีเปลี่ยนแปลงไป ราวกับเป็นคนละคน แม้จะยังสงสัยว่าเธอแกล้งทำหรือเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ กันแน่ แต่ก็ทำให้เติ้งเว่ยหมิงไม่ได้รู้สึกเกลียดชังเธออีกต่อไป เขารู้สึกว่าเป็นแบบนี้นับว่าดีอยู่ไม่น้อย ความสดใสและรอยยิ้มของหญิงสาวทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดที่นุ่มนวล ได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ ยามที่เธอพูด
“ได้ยังไงค่ะ ถ้ามันเล็กน้อยแล้วพี่จะมานั่งทุกข์ใจจนกินไม่ได้แบบนี้เหรอคะ? พี่เว่ยหมิง เราแต่งงานกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะแค่ในนาม แต่ตอนนี้เราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน มีเรื่องอะไรพี่ก็ต้องบอกกับฉัน ฉันเป็นภรรยาของพี่นะ”
ซุยหลันซียื่นมือนุ่มนิ่มของเธอไปจับมือของเติ้งเว่ยหมิง มองสบตาเขาด้วยความเป็นห่วงอย่างแท้จริง เติ้งเว่ยหมิงสัมผัสได้กับความจริงใจนั้นจึงถอนหายใจอีกครั้ง
“ผ้าที่ผลิตมารอบนี้สีมันเพี้ยน ลูกค้ายกเลิกใบสั่งซื้อ หัวหน้าบังคับให้พี่ต้องชดใช้ให้กับโรงงาน เพราะวันนั้นเป็นเวรของพี่ที่ต้องคุมเครื่องจักร แต่พี่สาบานได้ว่าพี่ทำตามตารางแม่สีที่อยู่ในเอกสารสั่งงานทั้งหมด แต่ก็ไม่รู้ว่ามันกลายเป็นสีอ่อนไปได้ยังไง”
“นี่เป็นสาเหตุที่สองสามวันมานี้พี่ดูเครียดๆ ใช่ไหมคะ ผ้าผลิตรอบหนึ่งกี่เมตรเหรอคะ แล้วเสียหายไปเท่าไหร่ ตีเป็นเงินเท่าไหร่คะ?” ซุยหลันซีถามออกมาเป็นชุด พอได้ยินว่าสามีต้องชดใช้จึงเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว
“ผ้ารอบหนึ่งผลิตครั้งละหนึ่งพันเมตร ถ้าเป็นผ้าฝ้ายพิมพ์ลายธรรมดาราคาต้นทุนไม่เกินเมตรละหยวน แต่เพราะรอบนี้เป็นผ้าไหมราคาจึงตกอยู่ที่เมตรละสี่หยวน ผมต้องชดใช้เงินเป็นจำนวนทั้งหมดสี่พันหยวน แต่เถ้าแก่บอกว่า เห็นแก่ผมที่ทำงานมานานแล้ว และไม่เคยทำผ้าเสียสักครั้ง เถ้าแก่จึงจะไม่เอาเรื่องถ้าผมสามารถขายผ้ารอบนี้ได้หมด” เขาอธิบายพร้อมกับถอนหายใจ รู้สึกอึดอัดใจเมื่อคิดว่าจะต้องขายผ้าล็อตนี้ให้หมด
ซุยหลันซีได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น “เยอะถึงขนาดนั้น ถ้าเมื่อก่อนที่คุณพ่อยังไม่เกิดปัญหา เงินแค่นี้พวกเราชดใช้ได้สบาย แต่ว่าตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีเงินแค่ห้าร้อยหยวนเท่านั้นเอง”
“ตอนนี้ผมก็กำลังหาทางติดต่อโรงงานตัดเย็บในเมืองอยู่ แต่ว่าผ้ามันสีเพี้ยนไปแล้ว จึงไม่ค่อยมีโรงงานไหนสนใจ”
“พี่เว่ยหมิงพรุ่งนี้พี่เอาตัวอย่างผ้ามาให้ฉันสักยี่สิบเมตรได้ไหมคะ? ฉันคิดว่าในเมื่อไม่มีใครซื้อ เราลองเอามาตัดเย็บเป็นชุดสำเร็จขายดีไหม”
ซุยหลันซีลุกจากเก้าอี้เดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบกระดาษแบบที่เธอเพิ่งวาดเสร็จส่งให้กับเติ้งเหวยหมิงดู
“พี่ดูนี่สิค่ะ ฉันออกแบบเสร็จบ่ายนี้เอง พี่ชิงหรงยังบอกว่ามันสวยมาก ตอนแรกฉันว่าจะเอาไปเสนอที่โรงงานเฟิงหยุนค่ะ”
ชายหนุ่มรับเอากระดาษมาดู ปรากฏว่าแบบวาดบนกระดาษมีความสวยงามและแตกต่างจากที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก แบบที่ซุยหลันซีวาดเต็มไปด้วยรายละเอียดของลายผ้าที่น่าจะเป็นลายปักมากกว่าพิมพ์ลายอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากพิจารณาแบบแล้วก็สังเกตเห็นสิ่งที่เขาไม่คิดว่ามันจะบังเอิญขนาดนั้น เติ้งเว่ยหมิงตาสว่างวาบ “ลวดลายของผ้านี่คล้ายกับลายของผ้าที่ผมทำสีเพี้ยนเลยนะ”
“ยังไงนะคะ?”
“แบบที่คุณวาดเป็นรูปดอกไม้มีขนาดใหญ่กว่า แต่ละดอกอยู่ห่างกันไปหน่อย ส่วนผ้าที่มีปัญหาขนาดลายดอกจะเล็กกว่าและอยู่ชิดติดกัน” เติ้งเว่ยหมิงอธิบายพร้อมกับชี้มือไปยังจุดต่างๆ ในแบบ
“อย่างนั้นยิ่งดีเลยค่ะ ถ้าผ้าของพี่มีลวดลายใกล้เคียงกับแบบที่ฉันวาด ฉันว่าเราอาจจะหาทางแก้ไขได้ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พี่อย่าลืมเอาตัวอย่างผ้ามาให้ฉันนะคะ ตอนนี้พี่ก็กินข้าวเถอะค่ะ” ซุยหลันซีไม่ลืมที่จะคะยั้นคะยอให้สามีกินมื้อเย็น เติ้งเว่ยหมิงเมื่อเห็นว่าเขาอาจจะมีหนทางแก้ไขปัญหาได้ใบหน้าก็ผ่อนคลายลง จึงได้ลงมือกินข้าวอีกครั้ง
คืนนั้นหลังจากที่กินข้าวเสร็จ ทั้งคู่ก็เข้านอนกันตามปกติ
ซุยหลันซีหลับสนิท ตกดึก ลมฤดูใบไม้ร่วงทำให้อากาศเย็นลงเล็กน้อย เธอขยับตัวซุกหาความอบอุ่นโดยไม่รู้ตัว เติ้งเว่ยหมิงตัวแข็งทื่อเมื่อหญิงสาววาดแขนโอบกอดเขาเอาไว้ทั้งคืน ชายหนุ่มนอนตัวเกร็ง กว่าจะข่มตาให้หลับลงได้ก็ใกล้เช้าของอีกวันไปแล้ว
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้ารู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด ผิดกับคนต้นเหตุที่นอนหลับสบายแถมยังฝันดีอีกด้วย
* * *
“พี่ชิงหรงวันนี้ฉันยังไปกับพี่ไม่ได้ค่ะ เมื่อวานที่โรงงานของพี่เว่ยหมิงเกิดเรื่องนิดหน่อย ฉันกำลังหาทางช่วยเขาอยู่” ทันทีที่เปิดประตู เมื่อเห็นหลี่ชิงหรงมาเคาะประตูเรียกเพื่อไปโรงงานเฟิงหยุนด้วยกันตามที่นัดไว้ ซุยหลันซีก็รีบบอกอีกฝ่ายทันที
“เกิดเรื่องที่โรงงานของอาหมิง? ร้ายแรงหรือเปล่า?” หลี่ชิงหรงได้ยินก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ก็ร้ายแรงอยู่ค่ะ แต่ว่าพวกเราอาจจะหาทางแก้ไขปัญหาได้ วันนี้พี่ทำงานเสร็จแล้ว รีบกลับบ้านหน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากจะปรึกษาพี่สักหน่อยค่ะ” ซุยหลันซีถามแกมขอร้อง
“ได้สิ เอาไว้เจอกันเย็นนี้” หลี่ชิงหรงเอ่ยปากรับคำแล้วขอตัวไปทำงาน ปกติแล้วเล่อเล่อจะนอนอยู่ในบ้านหลังจากที่หลี่ชิงหรงไปทำงาน ซุยหลันซีจะมีกุญแจบ้านที่มารดาของเด็กชายให้ไว้สำหรับเปิดเข้าไปในบ้านอีกชุดหนึ่ง วันนี้ซุยหลันซีจึงไม่ได้ดูแลเด็กชาย เนื่องจากหลี่ชิงหรงรู้ว่าซุยหลันซีต้องไปส่งแบบที่โรงงานเฟิงหยุนด้วยกัน เธอจึงได้นำลูกชายไปฝากป้าหวังไว้แล้ว
ทุกวันเมื่อเติ้งเว่ยหมิงไปทำงานแล้วเธอก็จะไปเรียกเด็กชายให้มากินมื้อเช้าด้วยกัน
ซุยหลันซีปิดประตูเดินกลับเข้าไปในบ้าน ก็เห็นว่าเติ้งเว่ยหมิงกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว และกำลังเตรียมตัวจะไปทำงาน ซุยหลันซีไม่ลืมที่จะเอ่ยย้ำอีกครั้ง
“พี่เว่ยหมิง เย็นนี้อย่าลืมตัวอย่างผ้านะคะ”
“อือ ผมจะไม่ลืม ผมไปทำงานก่อน...”
ชายหนุ่มเดินไปหยิบกระเป๋า เปิดประตูแล้วออกจากบ้านไป
ซุยหลันซีเมื่ออยู่บ้านคนเดียวก็เริ่มทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า หลังจากนั้นก็มานั่งวาดแบบสำหรับโรงงานสิ่งทอ เป็นลวดลายผ้าต่างๆ เธอจำได้ว่ายุคนี้ลายผ้าและแบบยังไม่หลากหลาย ส่วนมากก็ยังเน้นผ้าสีพื้นโทนเข้มอยู่
เวลาบ่ายสองโมง เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นทำให้เติ้งเว่ยหมิงรีบวางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กลงในกะละมังแล้วลุกไปเปิดประตู ปรากฏว่าหลี่ชิงหรง เพื่อนบ้านยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู“อาหมิง หลันหลันอยู่บ้านไหม พี่มีเรื่องจะมาบอก”“อยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้หลันหลันน่าจะไม่สะดวกพบพี่นะครับ” เติ้งเว่ยหมิงแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ไม่สะดวกเจอ หลันหลันเป็นอะไรหรือเปล่า”หลี่ชิงหรงถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“เป็นไข้ครับ ผมเลยให้นอนพัก”“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ตอนเช้าพี่มาเคาะประตูรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเปิด เลยมาอีกทีตอนบ่าย พี่อุตส่าห์เตือนแล้วเชียวว่าอย่าหักโหมทำงานหนัก เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน อาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ไม่เป็นไร รอให้หลันหลันหายดีก่อนก็แล้วกัน ฝากบอกหลันหลันด้วยละกันว่าพี่มาหา” หลี่ชิงหรงบ่นอุบอิบถึงเพื่อนบ้านรุ่นน้องที่เธอก็รักไม่ต่างกับน้องสาวตนเองจริงๆ“ครับแล้วผมจะบอกให้ ถ้าหลันหลันค่อยยังชั่วแล้วจะให้ไปหาพี่ชิงหรงนะครับ”“ได้ งั้นพี่กลับบ้านก่อนละกัน”หลี่ชิงหรงกลับไปแล้ว เติ้งเว่ยหมิงจึงปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ทรุดตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นซุยหลันซีตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเติ้งเว่ยหมิง หญิงสาวถึงกับเขินอายและทำตัวไม่ถูก เธอรีบลุกออกไปจากเตียงเงียบๆ โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่ตกลงว่าจะเป็นสามีแต่เพียงในนามของเธอนั้นตื่นก่อนเธอนานแล้ว แต่เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเขา ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นยังไม่ตื่นซุยหลันซีตบหน้าเรียกสติตนเองอยู่สองสามทีก่อนจะทำหน้าที่ของตนเองเหมือนทุกวันที่ผ่านมา นั่นก็คือทำอาหารและเตรียมของให้เติ้งเว่ยหมิงไปทำงานทั้งคู่นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด เติ้งเว่ยหมิงมีรอยยิ้มแต้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา ส่วนซุยหลันซีก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเงียบๆหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปทำงาน ซุยหลันซีถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเริ่มลงมือทำงานบ้าน ซักผ้าแล้วไปปลุกเด็กชายเล่อเล่อ ล้างหน้าให้เด็กชาย ดูแลให้เด็กน้อยกินอาหารเช้า เสร็จแล้วก็มานั่งทำงานออกแบบลายผ้าเล่อเล่อนั่งเล่นคนเดียวอย่างเงียบๆ เด็กชายชินแล้ว เขาจะไม่เข้าไปกวนเวลาพี่สาวคนสวยทำงาน เพราะแม่ของเขาสั่งมาว่าห้ามกวนพี่สาวคน
ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงช่วยซุยหลันซีเก็บจานล้างทำความสะอาด โดยบอกให้เธอไปอาบน้ำส่วนตัวเขานั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าตึงเครียด คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาหญิงสาวอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใช้สายตามองชายหนุ่มผ่านทางกระจกบรรยากาศช่างน่าอึดอัดและเงียบจนซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า? หรือมีปัญหาอะไรที่ทำงานอีกไหม หรือว่าผู้จัดการจางทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจ?” ซุยหลันซีหยุดมือที่กำลังหวีผม หันหน้ามาทางเขาที่นั่งอยู่บนเตียง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเติ้งเว่ยหมิงไม่ตอบ เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าสายตาลุ่มลึกที่มองมาทำให้ซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเติ้งเว่ยหมิงผลักร่างของซุยหลันซี เธอไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปบนเตียงนอนเขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดข้อมือเล็กบางของเธอเอาไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างกดอยู่ที่เอวของเธอ ร่างสูงใหญ่
อี้ชุนคุ้นเคยกับเติ้งเว่ยหมิงเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนรับชายหนุ่มเข้ามาทำงานด้วยตนเองเนื่องจากเติ้งเว่ยหมิงได้มีโอกาสช่วยชีวิตอี้ชุนขณะที่ถูกคนดักปล้น ซึ่งเป็นช่วงที่เติ้งเว่ยหมิงย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ หลังจากช่วยเหลือกันแล้ว อี้ชุนต้องการตอบแทนบุญคุณ แต่เติ้งเว่ยหมิงปฏิเสธหลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่อี้ชุนก็รู้ว่าเขาจบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์มา แล้วยังเคยเป็นทหารมาก่อน และตอนนี้กำลังหางานทำ จึงชวนเติ้งเว่ยหมิงมาทำงานคุมเครื่องจักรในโรงงานของตัวเอง จึงนับว่าทั้งคู่ค่อนข้างมีความสนิทสนมกันอยู่พอสมควร“ซุยหลันซี ภรรยาของผมครับ หลันหลัน คนนี้คือคุณอี้ชุนเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกันซุยหลันซีจึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนกล่าวทักทาย“สวัสดีค่ะ เถ้าแก่อี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาหมิงฉันไม่คิดว่านายจะปิดบังเรื่องแต่งงานกับฉัน แต่เธอสวยงามและเหมาะสมกับนายมาก” เถ้าแก่อี้ค้อมหัวเล็กน้อยทักทายเธอกลับ แล้วหันไปพูดกับเติ้งเว่ยหมิง ตัดพ้อเขาเล็กน้อย แล้วเอ่ยชมด้วยความจริงใจซุยหลันซ
ซุยหลันซีมาถึงโรงงานสิ่งทอจินเซิงที่เติ้งเว่ยหมิงทำงานก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี โรงงานแห่งนี้มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้กับพนักงานทุกคนซุยหลันซีเป็นเพียงคนนอกไม่ได้เป็นพนักงานของโรงงาน เมื่อแจ้งความประสงค์ว่าต้องการขอพบสามีแล้วเธอก็เดินออกมาด้านนอก เพื่อหาอาหารกลางวันรับประทาน เพราะต้องรอให้เติ้งเว่ยหมิงกินข้าวกลางวันเสร็จก่อน เสร็จจากมื้อกลางวันก็เดินกลับเข้าไปที่โรงงานอีกครั้งเธอรออยู่ที่ห้องรับรองของโรงงาน ไม่นานเติ้งเว่ยหมิงก็เดินออกมา“พี่เว่ยหมิงมาแล้วเหรอคะ” ซุยหลันซีลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเขา“ทำไมคุณถึงมานี่นี่ล่ะ? แล้วที่โรงงานเฟิงหยุนเป็นยังไงบ้าง สำเร็จไหม?”เติ้งเว่ยหมิงรู้ว่าวันนี้เธอไปที่โรงงานตัดเย็บผ้าเฟิงหยุนจึงถามเช่นนี้ แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงมาหาเขาที่โรงงานหรือว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายขนาดนั้น?เติ้งเว่ยหมิงขมวดคิ้วแน่น“พี่เว่ยหมิง ฝีมือระดับฉันแล้วจะพลาดเหรอคะ ว่าแต่พี่พอจะพาฉันไปพบเถ้าแก่โรงงานของพี่ได้ไหม ฉันมีข้อเสนอเรื่องธุรกิจจะมาคุยกับเขาค่ะ” ซุยหลันซียืดอกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียง
“คุณซุย ฉันยอมรับว่าชุดที่คุณออกแบบมามันน่าทึ่งมาก คุณสามารถออกแบบชุดเพื่อมาจัดการกับผ้าที่ผลิตผิดพลาดได้ดี ฉันต้องยอมรับในความสามารถของคุณจริงๆ ตั้งแต่ฉันเปิดรับสมัครมาเป็นเวลาสามเดือน มีแบบของคุณซุยนี่แหละที่เข้าตาฉันมากที่สุด” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“ขอบคุณนะคะที่ชอบชุดของฉัน อันที่จริงที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะต้องการความร่วมมือของคุณค่ะ ฉันใช้ผ้าที่เหลือมาตัดชุดที่ฉันออกแบบ นอกจากชุดที่ฉันตัดมาเป็นตัวอย่างในวันนี้แล้ว ฉันว่าจะออกแบบอีกสักสองสามชุด มีชุดให้ลูกค้าเลือกหลายๆ แบบจะขายได้ง่ายกว่า ร้านค้าส่งที่เป็นคู่ค้าของโรงงานเฟิงหยุนสามารถช่วยขายชุดได้ ฉันเชื่อว่าต้องมีใบสั่งซื้อเพิ่มอีกแน่นอน” ซุยหลันซีโน้มน้าวเถ้าแก่เนี้ยอย่างสุดกำลัง เพราะอยากช่วยแก้ปัญหาให้กับเติ้งเว่ยหมิง นอกจากนี้อาจทำกำไรได้อีกนิดหน่อย“โรงงานเฟิงหยุนยินดีที่จะทำตามที่คุณซุยนำเสนอ แต่ว่าเฟิงหยุนของฉันจะได้อะไรบ้างคะ?” หวงเสี่ยวเหมยแสดงความยินดีที่จะทำตามข้อเสนอของซุยหลันซี แต่ก็ยังคงต่อรองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ สมกับเป็นเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของโรงงานผู้มากประสบการณ์ ที่ไม่เคยเก็บงำเขี้