ผ่านมาสองอาทิตย์ ฝีมือการทำความสะอาด การทำอาหารของซุยหลันซีพัฒนาขึ้นไปมาก จนทำให้เติ้งเว่ยหมิงอดแปลกใจไม่ได้ ทว่าด้วยพฤติกรรม นิสัยของอดีตคุณหนูเปลี่ยนไปในทางที่ดี ชายหนุ่มผู้เป็นสามีจึงไม่ได้ว่าอะไร ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มดีขึ้น เติ้งเว่ยหมิงที่ปกติก็ไม่ค่อยพูด เขาก็เริ่มพูดคุยมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ความสัมพันธ์ที่เป็นเช่นนี้ทั้งสองคนต่างก็พึงพอใจ
เย็นวันนั้น เติ้งเว่ยหมิงก็กลับมาพร้อมกับผ้าที่มีปัญหา สิ่งแรกที่ซุยหลันซีทำเมื่อเห็นสามีกลับมาบ้าน คือถามถึงผ้าที่มีปัญหานั้นทันที ชายหนุ่มหยิบผ้าลายดอกออกมาจากกระเป๋าของเขา
“นี่เป็นผ้าที่มีปัญหาเหรอคะ?”
ซุยหลันซีกางผ้าเจ้าปัญหาออกดู พิจารณาอยู่คู่หนึ่ง
“ใช่ ผมเอามายี่สิบเมตรตามที่คุณบอก” เติ้งเว่ยหมิงตอบพลางเดินไปรินน้ำใส่แก้วมานั่งที่โต๊ะกินข้าวกลางบ้าน
“สีของลายดอกไม้มันอ่อนไปจริงๆ นั่นแหละค่ะ ทำให้เห็นลายพิมพ์บนเนื้อผ้าไม่ชัด แต่ฉันหาทางแก้ไว้แล้ว พี่รอฉันสักครู่” ซุยหลันซีเอาผ้าเจ้าปัญหาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกับเดินไปหยิบของบางอย่างที่โต๊ะทำงานของเธอ หญิงสาวเดินกลับมาพร้อมกับแบบชุดอันใหม่ ก่อนจะยื่นให้เติ้งเว่ยหมิงได้ดู
“นี่มัน ไม่ใช่ว่า...” เติ้งเว่ยหมิงยังพูดไม่จบ ซุยหลันซีก็ตอบคำถามเสียก่อน
“ตอนกลางวันฉันแก้ไขแบบของชุดที่จะส่งไปประกวดที่โรงงานเฟิงหยุน พอได้ยินพี่บอกว่าผ้าพิมพ์ลายคล้ายกับที่ฉันวาด แต่สีอ่อนกว่า ทำให้ฉันออกแบบและแก้ไขแบบชุดใหม่ พี่ดูว่ามันดีไหม”
“ผมว่ามันสวยมาก ขนาดเป็นแค่แบบยังสวยขนาดนี้ ถ้าตัดออกมาเป็นชุดพร้อมใส่คงจะสวยกว่าในรูป”
เติ้งเว่ยหมิงตอบ ดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นหนทางแก้ปัญหา
“เมื่อกี้พี่ว่ายังไงนะ ตัดออกมาเป็นชุดพร้อมใส่อย่างนั้นเหรอคะ ใช่แล้ว พี่เว่ยหมิง พี่นี่อัจฉริยะจริงๆ” ซุยหลันซีอุทานออกมาหลังจากที่เธอสะดุดคำพูดของสามี
“ยังไงเหรอ” เติ้งเว่ยหมิงเมื่อฟังน้ำเสียงของภรรยาก็ให้แปลกใจ
“ตอนแรกฉันก็กะว่าจะส่งแค่แบบสำหรับประกวดไปให้ทางโรงงานพิจารณา แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะตัดออกมาเป็นชุดสำเร็จรูปแล้วค่อยเอาไปเสนอให้เขาดู โดยใช้ผ้าของพี่นี่แหละ ไหนๆ ก็ต้องหาทางขายผ้ารอบนี้อยู่แล้ว ไม่สู้เอามาตัดเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปเสียเลยจะดีกว่า
แค่ต้องหาโรงงานมาตัดเย็บ ตามแบบที่ฉันวาด แบบนี้ก็สามารถขายผ้าได้แถมยังจะได้กำไรจากชุดที่ขายอีกด้วย ฉันตัดชุดไม่เป็น แต่พี่ชิงหรงทำเป็น ฉันนัดพี่ชิงหรงไว้แล้ว เย็นนี้จะลองไปคุยกับพี่เขาอีกทีค่ะ” ซุยหลันซีบอกแผนการของเธอให้กับชายหนุ่มได้ฟัง
พอถึงตอนเย็นหลี่ชิงหรงกลับมาจากที่ทำงาน เมื่อมาเคาะประตูบ้านของซุยหลันซี เป็นเล่อเล่อเป็นคนเดินไปเปิดประตู เพราะเขาคิดว่าคงไม่มีใครนอกจากมารดา
“แม่กลับมาแล้ว เหนื่อยไหมครับ” เด็กชายเงยหน้าขึ้นยิ้มส่งให้มารดาพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงสดใส
“แม่กลับมาแล้ว แม่เหนื่อยมาก ดูสิไม่มีแรงทำอะไรเลย แต่พอเห็นหน้าหมูน้อยของแม่ ความเหนื่อยก็ไม่เหลือแล้ว” หลี่ชิงหรงตอบลูกชายพลางก้มหน้าบิดแก้มนุ่มของเด็กชาย
“พี่ชิงหรง วันนี้มากินข้าวด้วยกันที่บ้านฉันนะคะ มีเรื่องจะปรึกษานิดหน่อยค่ะ” ซุยหลันซีเดินตามเด็กชายมา ปล่อยให้ทั้งสองแม่ลูกได้ทักทายกันแล้ว จึงได้เอ่ยขึ้นบ้าง
“ได้สิ ขอพาเจ้าแสบน้อยไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วจะกลับมากินมื้อเย็นด้วย”
จากนั้นหลี่ชิงหรงจึงพาเล่อเล่อกลับบ้านไปอาบน้ำและทำกับข้าว
เมื่อสองแม่ลูกกลับไปแล้ว ซุยหลันซีก็เดินเข้าครัวไปทำกับข้าวเพราะวันนี้ชายหนุ่มกลับบ้านไว จึงมีเวลาเหลือก่อนได้เวลาอาบน้ำ เขาเดินเข้าไปช่วยซุยหลันซีทำกับข้าวในครัว
“พี่เว่ยหมิง ฉันทำเองได้ พี่ทำงานมาเหนื่อยๆ พี่ไปนั่งพักเถอะค่ะ” ซุยหลันซีแย่งเอาผักในถาดจากมือของชายหนุ่ม แต่เติ้งเว่ยหมิงไม่ยอม จึงยื้อกันไปมา
ชายหนุ่มสูงกว่าหญิงสาวแค่ชูถาดผักไว้เหนือศีรษะซุยหลันซีก็แย่งไม่ได้แล้ว หญิงสาวเขย่งเท้าตั้งใจว่าจะแย่งกลับคืนมา ทำให้ยืนไม่มั่นคงถลาล้มลงไปในอ้อมแขนของเติ้งเว่ยหมิง
ชายหนุ่มใช้แขนอีกข้างโอบเธอเอาไว้โดยอัตโนมัติ ซุยหลันซีหลับตาแน่นเผลอกอดชายหนุ่มเอาไว้แน่นด้วยความตกใจ ผ่านไปพักใหญ่เติ้งเว่ยหมิงจึงเอ่ยขึ้น
“...คุณจะกอดผมอีกนานไหม?”
เสียงทุ้มของเขาทำให้ซุยหลันซีรู้สึกตัว เธอผละตัวออก เอ่ยตะกุกตะกักอย่างเขินอาย
“เป็นความผิดของพี่นั่นแหละ มาแกล้งฉันทำไม งั้นพี่ก็ทำไปเลย”
พูดพลางหันหลังกลับจะเดินออกไปจากครัว ชายหนุ่มรีบคว้าแขนเรียวเล็กของเธอเอาไว้
“ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งคุณ เพื่อเป็นการไถ่โทษ มื้อเย็นวันนี้ ผมจะทำเองก็แล้วกัน” เขาพูดเสียงเบาอย่างสำนึกผิด
ซุยหลันซีไม่คุ้นเคยกับท่าทางแบบนี้ของเติ้งเว่ยหมิง ก่อนหน้าที่เขามักจะเย็นชากับเธอ พอเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ทำให้เธอไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร จึงพยักหน้าแล้วออกไปจากห้องครัว ไปเก็บเสื้อผ้าที่ซักแห้งแล้วเข้ามา เดินไปนั่งบนเตียง พึมพำพลางลูบอกเบาๆ
“ไม่ไหว ขืนเป็นแบบนี้บ่อยๆ หัวใจฉันคงได้ทะลุออกมานอกอกแน่” ซุยหลันซีหลับตาถอนหายใจ พอลืมตาขึ้นอีกครั้งอารมณ์ก็สงบลงจัดการพับผ้าแล้วนำไปเก็บในตู้อย่างเรียบร้อย
เวลาบ่ายสองโมง เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นทำให้เติ้งเว่ยหมิงรีบวางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กลงในกะละมังแล้วลุกไปเปิดประตู ปรากฏว่าหลี่ชิงหรง เพื่อนบ้านยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู“อาหมิง หลันหลันอยู่บ้านไหม พี่มีเรื่องจะมาบอก”“อยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้หลันหลันน่าจะไม่สะดวกพบพี่นะครับ” เติ้งเว่ยหมิงแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ไม่สะดวกเจอ หลันหลันเป็นอะไรหรือเปล่า”หลี่ชิงหรงถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“เป็นไข้ครับ ผมเลยให้นอนพัก”“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ตอนเช้าพี่มาเคาะประตูรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเปิด เลยมาอีกทีตอนบ่าย พี่อุตส่าห์เตือนแล้วเชียวว่าอย่าหักโหมทำงานหนัก เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน อาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ไม่เป็นไร รอให้หลันหลันหายดีก่อนก็แล้วกัน ฝากบอกหลันหลันด้วยละกันว่าพี่มาหา” หลี่ชิงหรงบ่นอุบอิบถึงเพื่อนบ้านรุ่นน้องที่เธอก็รักไม่ต่างกับน้องสาวตนเองจริงๆ“ครับแล้วผมจะบอกให้ ถ้าหลันหลันค่อยยังชั่วแล้วจะให้ไปหาพี่ชิงหรงนะครับ”“ได้ งั้นพี่กลับบ้านก่อนละกัน”หลี่ชิงหรงกลับไปแล้ว เติ้งเว่ยหมิงจึงปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ทรุดตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นซุยหลันซีตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเติ้งเว่ยหมิง หญิงสาวถึงกับเขินอายและทำตัวไม่ถูก เธอรีบลุกออกไปจากเตียงเงียบๆ โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่ตกลงว่าจะเป็นสามีแต่เพียงในนามของเธอนั้นตื่นก่อนเธอนานแล้ว แต่เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเขา ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นยังไม่ตื่นซุยหลันซีตบหน้าเรียกสติตนเองอยู่สองสามทีก่อนจะทำหน้าที่ของตนเองเหมือนทุกวันที่ผ่านมา นั่นก็คือทำอาหารและเตรียมของให้เติ้งเว่ยหมิงไปทำงานทั้งคู่นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด เติ้งเว่ยหมิงมีรอยยิ้มแต้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา ส่วนซุยหลันซีก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเงียบๆหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปทำงาน ซุยหลันซีถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเริ่มลงมือทำงานบ้าน ซักผ้าแล้วไปปลุกเด็กชายเล่อเล่อ ล้างหน้าให้เด็กชาย ดูแลให้เด็กน้อยกินอาหารเช้า เสร็จแล้วก็มานั่งทำงานออกแบบลายผ้าเล่อเล่อนั่งเล่นคนเดียวอย่างเงียบๆ เด็กชายชินแล้ว เขาจะไม่เข้าไปกวนเวลาพี่สาวคนสวยทำงาน เพราะแม่ของเขาสั่งมาว่าห้ามกวนพี่สาวคน
ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงช่วยซุยหลันซีเก็บจานล้างทำความสะอาด โดยบอกให้เธอไปอาบน้ำส่วนตัวเขานั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าตึงเครียด คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาหญิงสาวอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใช้สายตามองชายหนุ่มผ่านทางกระจกบรรยากาศช่างน่าอึดอัดและเงียบจนซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า? หรือมีปัญหาอะไรที่ทำงานอีกไหม หรือว่าผู้จัดการจางทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจ?” ซุยหลันซีหยุดมือที่กำลังหวีผม หันหน้ามาทางเขาที่นั่งอยู่บนเตียง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเติ้งเว่ยหมิงไม่ตอบ เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าสายตาลุ่มลึกที่มองมาทำให้ซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเติ้งเว่ยหมิงผลักร่างของซุยหลันซี เธอไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปบนเตียงนอนเขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดข้อมือเล็กบางของเธอเอาไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างกดอยู่ที่เอวของเธอ ร่างสูงใหญ่
อี้ชุนคุ้นเคยกับเติ้งเว่ยหมิงเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนรับชายหนุ่มเข้ามาทำงานด้วยตนเองเนื่องจากเติ้งเว่ยหมิงได้มีโอกาสช่วยชีวิตอี้ชุนขณะที่ถูกคนดักปล้น ซึ่งเป็นช่วงที่เติ้งเว่ยหมิงย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ หลังจากช่วยเหลือกันแล้ว อี้ชุนต้องการตอบแทนบุญคุณ แต่เติ้งเว่ยหมิงปฏิเสธหลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่อี้ชุนก็รู้ว่าเขาจบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์มา แล้วยังเคยเป็นทหารมาก่อน และตอนนี้กำลังหางานทำ จึงชวนเติ้งเว่ยหมิงมาทำงานคุมเครื่องจักรในโรงงานของตัวเอง จึงนับว่าทั้งคู่ค่อนข้างมีความสนิทสนมกันอยู่พอสมควร“ซุยหลันซี ภรรยาของผมครับ หลันหลัน คนนี้คือคุณอี้ชุนเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกันซุยหลันซีจึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนกล่าวทักทาย“สวัสดีค่ะ เถ้าแก่อี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาหมิงฉันไม่คิดว่านายจะปิดบังเรื่องแต่งงานกับฉัน แต่เธอสวยงามและเหมาะสมกับนายมาก” เถ้าแก่อี้ค้อมหัวเล็กน้อยทักทายเธอกลับ แล้วหันไปพูดกับเติ้งเว่ยหมิง ตัดพ้อเขาเล็กน้อย แล้วเอ่ยชมด้วยความจริงใจซุยหลันซ
ซุยหลันซีมาถึงโรงงานสิ่งทอจินเซิงที่เติ้งเว่ยหมิงทำงานก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี โรงงานแห่งนี้มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้กับพนักงานทุกคนซุยหลันซีเป็นเพียงคนนอกไม่ได้เป็นพนักงานของโรงงาน เมื่อแจ้งความประสงค์ว่าต้องการขอพบสามีแล้วเธอก็เดินออกมาด้านนอก เพื่อหาอาหารกลางวันรับประทาน เพราะต้องรอให้เติ้งเว่ยหมิงกินข้าวกลางวันเสร็จก่อน เสร็จจากมื้อกลางวันก็เดินกลับเข้าไปที่โรงงานอีกครั้งเธอรออยู่ที่ห้องรับรองของโรงงาน ไม่นานเติ้งเว่ยหมิงก็เดินออกมา“พี่เว่ยหมิงมาแล้วเหรอคะ” ซุยหลันซีลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเขา“ทำไมคุณถึงมานี่นี่ล่ะ? แล้วที่โรงงานเฟิงหยุนเป็นยังไงบ้าง สำเร็จไหม?”เติ้งเว่ยหมิงรู้ว่าวันนี้เธอไปที่โรงงานตัดเย็บผ้าเฟิงหยุนจึงถามเช่นนี้ แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงมาหาเขาที่โรงงานหรือว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายขนาดนั้น?เติ้งเว่ยหมิงขมวดคิ้วแน่น“พี่เว่ยหมิง ฝีมือระดับฉันแล้วจะพลาดเหรอคะ ว่าแต่พี่พอจะพาฉันไปพบเถ้าแก่โรงงานของพี่ได้ไหม ฉันมีข้อเสนอเรื่องธุรกิจจะมาคุยกับเขาค่ะ” ซุยหลันซียืดอกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียง
“คุณซุย ฉันยอมรับว่าชุดที่คุณออกแบบมามันน่าทึ่งมาก คุณสามารถออกแบบชุดเพื่อมาจัดการกับผ้าที่ผลิตผิดพลาดได้ดี ฉันต้องยอมรับในความสามารถของคุณจริงๆ ตั้งแต่ฉันเปิดรับสมัครมาเป็นเวลาสามเดือน มีแบบของคุณซุยนี่แหละที่เข้าตาฉันมากที่สุด” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“ขอบคุณนะคะที่ชอบชุดของฉัน อันที่จริงที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะต้องการความร่วมมือของคุณค่ะ ฉันใช้ผ้าที่เหลือมาตัดชุดที่ฉันออกแบบ นอกจากชุดที่ฉันตัดมาเป็นตัวอย่างในวันนี้แล้ว ฉันว่าจะออกแบบอีกสักสองสามชุด มีชุดให้ลูกค้าเลือกหลายๆ แบบจะขายได้ง่ายกว่า ร้านค้าส่งที่เป็นคู่ค้าของโรงงานเฟิงหยุนสามารถช่วยขายชุดได้ ฉันเชื่อว่าต้องมีใบสั่งซื้อเพิ่มอีกแน่นอน” ซุยหลันซีโน้มน้าวเถ้าแก่เนี้ยอย่างสุดกำลัง เพราะอยากช่วยแก้ปัญหาให้กับเติ้งเว่ยหมิง นอกจากนี้อาจทำกำไรได้อีกนิดหน่อย“โรงงานเฟิงหยุนยินดีที่จะทำตามที่คุณซุยนำเสนอ แต่ว่าเฟิงหยุนของฉันจะได้อะไรบ้างคะ?” หวงเสี่ยวเหมยแสดงความยินดีที่จะทำตามข้อเสนอของซุยหลันซี แต่ก็ยังคงต่อรองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ สมกับเป็นเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของโรงงานผู้มากประสบการณ์ ที่ไม่เคยเก็บงำเขี้