ผมอดชื่นชมความมันขลับของกระโปรงหน้ารถที่แวววับสะอาดสะอ้าน ชาตินี้ผมจะมีบุญได้นั่งรถหรูแบบนี้สักครั้งไหมนะผมไม่รู้ตัวว่าเผลอมองอยู่นานจนกระทั่งกระจกรถที่นั่งตอนหลังค่อยๆ เลื่อนลงมา ผมชะเง้อมองคนที่นั่งหน้าเชิดในรถด้วยความตื่นตะลึง คนอะไรเห็นแค่ด้านข้างก็ดูดีเป็นบ้าขนาดว่าใส่แว่นกันแดดสีดำอันใหญ่แล้ว ยังสันกรามคมกริบนั่นอีกล่ะ รูปหน้าแบบนี้ต้องสกิลทองคำเท่านั้นแหละ ขนาดใส่แว่นดำไม่เห็นตายังโคตรหล่อเลย ผมทึ่งกับเขาจริงๆผมไม่รู้ตัวหรอกว่าจ้องเขานานแค่ไหน แต่เพราะเสียงกระแอมกับคำพูดต่อมาของเขาที่ทำให้ผมไม่พอใจ“นี่ ไอ้หนู” “ไอ้หนู?” ผมชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ไม่ค่อยพอใจคำพูดของเขาเท่าไหร่ “คุณเรียกผมเหรอ”“ใช่สิ ไอ้หนู มานี่”ผมปล่อยมือจากประตูเดินเข้าไปใกล้แล้วก้มหน้ามองคนที่นั่งตอนหลังนั่น “ผมไม่ใช่ไอ้หนู ผมอายุสิบเก้า”เขาจ้องผมหัวจรดเท้าแล้วยกยิ้มถาม “เหรอ”เออดิ...ผมเห็นริมฝีปากกระจับของเขายกโค้งขึ้นข้างหนึ่งเล็กน้อยเหมือนกำลังยิ้มเยาะอยู่“มีอะไร” ผมถามห้วน เริ่มหงุดหงิดที่คิดว่าเขาดูดีคงต้องกลืนน้ำลายตัวเองแล้วล่ะจู่ๆ เขาก็ถอดแว่นกันแดดออก ผมไม่รู้ตั
“แกอย่าทิ้งนาน ทิ้งนานจะไม่ได้เรียน”“รู้แล้วฮะ เอาไว้ผมหาลงเรียนภาคค่ำเอา”“รู้แล้วก็รีบหาเวลาสมัครเรียนซะ แกจะเรียนอะไรก็ได้ ขอแค่อย่างเดียวอย่าเรียนดนตรี”“ทำไมล่ะปู่”“ดนตรีคลาสสิคแบบที่แกชอบน่ะ มันไม่ใช่ที่แบบคนอย่างแกหรอกเจ้าคี”แล้วคนอย่างผมมันยังไงกัน ผมฟังคำขอของปู่แล้วใจฝ่อเลยแฮะ ปู่บอกว่าดนตรีไร้สาระ นักดนตรีก็ไม่มีอนาคต ปู่ไม่อยากให้ผมข้องแวะกับมัน แต่ลองผมได้ชอบอะไรแล้วมันห้ามยาก ผมจึงต้องแอบไปเรียนเปียโนกับพี่จุลตอนค่ำที่บ้านใหญ่ถัดจากตลาดไปสองซอยบ่อยๆ พี่จุล หรือ “จุลภาค” เป็นผู้ชายรูปร่างสูงร้อยแปดสิบหกเซ็นต์ หุ่มผอมเพรียว ผิวขาวราวกับมีออร่าเปล่งประกาย ยามที่พี่จุลยิ้ม โลกทั้งใบก็สว่างไสว ผมชอบรอยยิ้มใจดีของพี่จุลเวลามองมายังผมด้วยความเอ็นดูเป็นอย่างมาก ผมชอบเขา... ไม่ใช่สิ! ผมชอบเขาไม่ได้! พี่จุลมีแฟนแล้วชื่อพี่ฟ้า เธอเป็นสาวหน้าใส อยู่มหา’ลัยเดียวกันกับพี่จุล แต่ผมไม่เคยเห็นเธอเลย ได้ยินแต่เขาเล่าว่าเธอสวยยังงั้นยังงี้ เรียนเก่งระดับท็อป บ้านก็รวยล้นฟ้า พวกเขาสองคนช่างสม
“รีบอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว” ปู่ย้ำ“คร้าบบบบ”“คร้าบแล้วก็เร็วๆ สิ”โธ่... ปู่นะปู่...ผมย่นจมูกด้วยความขัดใจแต่ก็รีบลุกถอดกางเกงนอนเหลือแต่บ็อกเซอร์ตัวเดียวแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดย่นยู่บนราวแขวนหน้าประตูมาพันเอวแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คข้อความก่อนจะถือติดมือออกมาด้วยความเคยชิน ปู่ส่ายหน้าและส่งแววตาระอามายังผมอีกตามเคย“จะไปอาบน้ำยังเอามือถือเข้าไปอีก ระวังมันตกน้ำแล้วจะมาบ่นอีกล่ะ”“ฮะ” ผมตอบสั้นๆ รีบเข้าห้องน้ำลงกลอนประตูแล้วมานั่งเช็คยอดวิวยูทูปที่ผมลงคลิปใหม่เมื่อคืนว้าว! ว้าว! ว้าว!วันนี้ยอดวิวโคตรดีเลยแฮะ…ผมอารมณ์ดีขึ้นมาทันตา รีบเลื่อนอ่านคอมเมนต์ดูว่าผลจากที่ลงคลิปไว้เป็นไงบ้าง กระทั่งมาเห็นคอมเมนต์หนึ่งที่คุ้นเคย...หนูชอบเพลงนี้มากเลยค่ะ เพลงของพี่ฮีลใจหนูสุดๆ หนูไม่อาละวาดเหมือนทุกที พ่อก็ไม่ดุ หนูอยากเล่นเพลงนี้เป็นจัง พี่ลงคลิปสอนเล่นเพลงนี้ด้วยนะคะ...ฮารุ...เธอจะเป็นเด็กแบบไหนกันนะที่ชอบฟังเพลงของผม คอมเมนต์ของเธอทำให้ผมอิ่มเอมใจได้โดยที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยด้วยซ้ำ เธอมักจะมาคอมเมนต์ใต้คลิปทุกครั้งและมันทำให้ผมฝันอยากเป็นครูสอนเปียโนแต่...ผมเหลียวมองรอบห
‘หนึ่งวินาทีที่พบหน้า...คือช่วงเวลาที่ตกหลุมรัก...’Key’s Time“ไม่รู้ว่าชีวิตจริงจะเป็นอย่างที่ในหนังสือบอกไหมเพราะตั้งแต่ที่ได้พบคุณ ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปความรู้สึกที่เหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะตีลังกานั้นหากสุดท้ายแล้วมันต้องหยุดลงผมขอหยุดที่คุณได้ไหมฮะ...”(คีตา)“Because of your song…make my heart skip a bit”Three’s Time“เสียงเพลงของนายทำให้หัวใจฉันแทบหยุดเต้นรู้สึกหายใจไม่ออกในนาทีแรก แล้วต่อมากลับผ่อนคลายฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไรหรือเพราะฉันสนใจนาย อยากมีนายวนเวียนใกล้ๆอยู่กับฉันได้ไหม... คี”(ตรีคชา)“เรื่องคืนนั้นมันผ่านมานานเท่าไรแล้วนะ หนึ่ง สอง ไม่สิมันผ่านมาสามหรือเกือบสี่เดือนแล้วต่างหาก” ไม่รู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเขาในคืนนั้นคือเรื่องจริงหรือความฝัน ผมไม่รู้ว่าความสุขราวกับตกอยู่ในห้วงรักรัดรึงกับใครคนนั้นจะฝังแน่นติดลึกอยู่ในความทรงจำนานขนาดนี้ ผมคิดว่าผมอาจจะตกหลุมรักคนที่ไม่เคยเห็นหน้าและจำไม่ได้แม้กระทั่งหน้าตา แต่รู้แค่ว่าระหว่างผมกับเขาเรามีซัมติง..ซัมติงที่ไม่ใช่แค่พบหน้า แอบมอง หรือตกหลุมรักกันแต่มันมากกว่านั้น ผมนอนกับเขา ผมพยาย
สามวันหลังสอบเสร็จ ก็ได้เวลาที่คิระกับภามม์จะต้องกลับไปยังเกาะสองเรา อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเปิดรีสอร์ทแล้ว คิระหมายมาดที่จะให้ของขวัญชิ้นหนึ่งกับภามม์ แม้มันจะดูธรรมดา แม้จะดูไม่พิเศษ แต่เขาก็อยากให้ ไม่ใช่แค่ให้ภามม์ได้มีของดีๆ ที่เขาเลือกให้แล้ว แต่ยังถือว่าได้ช่วยเหลือรุ่นน้องยามที่ต้องลำบากอีกด้วย...“คุณเร็วๆ สิฮะ รีบเดินหน่อย”คิระโบกมือหยอยๆ เรียกให้คนเดินตามที่กำลังหน้างอเป็นม้าหมากรุกเร่งฝีเท้าไวเข้า เด็กหนุ่มส่ายหน้าระอาก่อนจะย้อนกลับไปหาแล้ววาดมือเกี่ยวแขนภามม์เอาใจ“ทำไมเดินช้าจังเลย”“เหนื่อย เมื่อคืนปล้ำนายหนักไปหน่อย”“บ้า!” คิระค้อนขวับภามม์ยีผมคิระด้วยความขบขันก่อนตอบ “ก็เมียสอบเสร็จเลยต้องให้รางวัลจัดหนักหน่อยไง”“ชิ คุณนี่ พูดเอาดีเข้าตัวตลอดนะฮะ”“ว่าไม่ได้ก็คนมันคิดถึงเมีย” ภามม์ตอบสั้นๆ ก็ได้รับเสียงหัวเราะคิกคักตอบแทน “ทำไม ขำไรอีก”“ก็ขำคุณไง”“ฉันทำไม”คิระหยุดเดินแล้วค้อมตัวมาจ้องหน้าภามม์ด้วยแววตาล้อเลียนก่อนตอบ “ที่บอกว่าคุณออกกำลังกับผมหนักไปหน่อยก็เลยเหนื่อยไงฮะ ว่าแต่ผมไม่อยู่คุณไม่ได้ออกกำลังกับใครแน่นะ”“แน่สิ”“แล้วไปฮะ”“แต่ฉันสงสัยทำไมนายไม่เห็นจะ
“แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเสร็จในปากนายนะ”“ทำไมฮะ”“เดี๋ยวนายสำลักอีก” ภามม์ว่าชายหนุ่มชี้ไปที่แก่นกายของตนที่ผงาดท้าทายริมฝีปาก คิระจึงครอบริมฝีปากลงไปแล้วผงกหัวขึ้นลงเคลื่อนไหวไปมา ซึ่งมันไม่ได้สร้างความพึงพอใจแก่ภามม์เท่าที่ควร แต่เอาเถอะ เด็กยังไม่เก่งอย่าเพิ่งให้ไก่ตื่น เขาต้องปล่อยให้คิระได้เรียนรู้ไปอีกสักพัก “เอาจริง เลิฟซีนนายโคตรห่วย แต่ไม่เป็นไรเรามีเวลาอีกทั้งชีวิต” “แหม คุณก็ ผมไม่ได้เชี่ยวเหมือนคุณนี่ฮะ” “ก็ใช่ไง ฉันถึงต้องสอน” “ชิ ผมทำเองได้หรอก” คราวนี้ภามม์ไม่ต้องสอนอะไรมาก คิระก็เริ่มความพยายามใหม่อย่างเงอะๆ งะๆ เขาใช้ลิ้นตวัดไปมา ลากไล้ส่วนด้านบน สลับจูบเบาๆ ไปทั่วส่วนสำคัญของภามม์ ในโมงยามนั้นคนที่นั่งอยู่อดทนไม่ไหว ถึงกับหลุดคำหยาบคายติดๆ กัน พร้อมยื่นมือใหญ่มาขยี้ผมนุ่มของคิระด้วยความหฤหรรษ์ “ทำดีๆ แล้วฉันจะพานายขึ้นสวรรค์จนเดินเหมือนคนปกติไม่ได้” เขาแกล้งใช้คำพูดหยาบคายเพื่อปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงว่าคิระทำได้ดีมากเพียงใด พอคิระดูดเน้นๆ ที่ปลายหัวหยักเสร็จ เขาจึงใช้มือเล่นกับไ