ภามม์ก้มมองมือคิระที่กอดแขนของเขาไม่พอหยิกเข้าให้ก่อนจะเอียงคอซบไหล่หน้าตาเฉย เขาสบตาอีกฝ่ายก่อนจะเหลือบมองคิระแล้วก็ถอนใจ “แล้วคุณน้า เอ๊ย! คุณพี่เป็นอะไรกับคุณภามม์ของผมเหรอฮะ? ถึงขนาดเข้ามาในห้องสามีผมได้อะ” “ฉันชื่อดาราวดี หรือเรียกสั้นๆ ว่า ดาก็ได้ ฉันเป็นแม่ของภามม์” “เป็นแม่ของคุณภามม์... อ๋อ... ห๊า!” คิระทวนเท่านั้นก็ตาโต รีบคลายมือปลาหมึกที่กอดรัดภามม์ทันใด “คุ คุณ เป็นแม่คุณภามม์เหรอฮะ” “ใช่สิ หรือเธอคิดว่าฉันเป็นอีหนูของลูกชายล่ะ” เธอว่าเสียงเข้มพลางกอดอกก้าวช้าๆ เข้ามาหา คิระถึงกับถอยกรูด ยกมือไหว้อีกฝ่ายทันที “ผมขอโทษฮะ ผมไม่ได้ตั้งใจ” คิระละล่ำละลัก ก่อนจะหันไปสบตาภามม์แล้วกัดริมฝีปากด้วยความหงุดหงิดก่อนกลั้นใจกระซิบบอก “ทำไมคุณไม่บอกผมก่อนอะ” “นายเล่นรัวเป็นปืนกลแบบนั้น ฉันจะบอกทันได้ไงล่ะ” “คุณก็ต้องห้ามผมซิ” คิระกระซิบเสียงสูงกว่าคิระจะรู้ตัวว่ามัวแต่เถียงกันไปมากับภามม์ก็เมื่อแม่ของเขาเข้ามายืนประจันหน้าแล้วจับคางเด็กหนุ่มเชยขึ้น มองปราดซ้ายขวาและหยุดนิ่งที่ดวงตา คิระพบว่าแม่ของ
“ก็ผมไม่ได้อยากน่ารัก” คิระพูดเท่านั้นก็ผละออกแต่ช้ากว่าภามม์ที่ดึงเด็กหนุ่มกลับเข้ามาหาอ้อมอก “แต่นายก็ยังน่ารักอยู่ดี รู้ไหม”ภามม์พูดเท่านั้นก็รู้สึกยอกแสยงใจ เขาอยากเกลียดอยากทำให้คิระรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องถูกพ่อด่าว่าต่อหน้าธารกำนัล โดยเฉพาะต่อหน้าพี่ชายตัวดีที่รอเหยียบซ้ำนั่นแต่ทว่า.... เขาทำไม่ลง...ไม่คิดว่าเพราะความสงสารจะทรงอานุภาพร้ายแรงขนาดนี้ ภามม์นึกโมโหตัวเองจนอยากเลิกแกล้ง ถึงแม้จะมีโอกาสที่เขาควรจะใช้คิระให้คุ้มค่าตัว ภามม์ไม่เข้าใจตัวเองที่พอได้กอดตัวนุ่มนิ่มนี่แล้ว เขาก็อยากกลืนน้ำลายตัวเองนัก...ก็ได้...ภามม์ไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของเขาเป็นไปโดยอัตโนมัติ เพราะทันทีที่สบดวงตาใสแจ๋วของคนใต้ร่าง ภามม์ก็ห้ามใจให้กดจูบริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่นไม่ได้ ป่วยก็ป่วยเถอะ...ช่างมัน... ภามม์กดจูบคิระที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ทีแรกเด็กหนุ่มก็ดิ้นรนอย่างดื้อรั้น สักพักกลับมีอารมณ์เสน่หาปล่อยให้อีกฝ่ายนำพา เนิ่นนานราวกับจูบร้อนแรงนี้กำลังจะทำให้ทั้งสองทำเรื่องราวบานปลาย แต่ทว่า... “ทำอะไรกันน่ะ!” ภามม์เด้งตัวออกจากคิร
“แต่คุณไม่สบายนะ” คราวนี้ภามม์ไม่ฟัง พยุงตัวขึ้นแล้วถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์มือถือจากมือคิระแล้วกรอกเสียงไปตามสายทันที “ไม่ต้องมาเข้าใจไหม... ตฤณ” “แต่ แล้วหมอล่ะครับ...”“ก็บอกว่าไม่ต้องไง”ตฤณอ้ำอึ้งไปเพราะได้ยินเสียงจากเจ้านาย เขาจึงตัดบท “ไม่เป็นไรแน่นะครับเจ้านาย” “ไม่เป็นไร แค่เป็นไข้ต่ำๆ ผมไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า”“แต่...”“พูดครั้งเดียวให้เข้าใจนะ ผมมีพยาบาลส่วนตัว ต่อไปถ้าผมไม่โทรหาก็ไม่ต้องมา” ภามม์พูดแค่นั้นก็เหลือบมองคิระที่ตาโตเท่าไข่ห่านเพราะคำพูดประโยคนั้น “ได้ครับ หากมีอะไรเรียกผมได้ทุกเมื่อนะครับ” “รู้แล้ว”ภามม์ตอบแค่นั้นก็กดตัดสายแล้วโยนโทรศัพท์ตกรุ่นของคิระที่สภาพเยินราวกับผ่านสมรภูมิมานานปีลงบนเตียงอย่างไร้เยื่อใย แล้วตะแคงนอนคลุมโปงหันหลังให้ คิระหน้ายู่จะคว้าโทรศัพท์ก็ไม่ทัน จะล้วงไปใต้ผ้าห่มของภามม์ก็ดูจะแปลกๆ อยู่สักหน่อย เขาจึงได้แต่ก่นด่าภามม์ในใจแล้ว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะนกรู้พลิกตัวกลับมาทันได้เห็นคิระเงื้อมือพอดี“จะทำอะไร”เฮ้ย!“เปล่า ผมแค่คันหัว จะเกาหัวอะ” คิระพูดจบก็เกาหัวตัวเองแก้เก้อแล
คิระช็อกหนักและยังปะติดปะต่อเรื่องราวหลังจากนั้นไม่ถูก ประตูห้องก็เปิดออกตามด้วยร่างสูงใหญ่ของภามม์ที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่พันเอวไม่พอยังมัดกล้ามที่เต็มไปด้วยหยดน้ำทั่วกายนั่นอีกนี่มันเรื่องบ้าอะไรอีกวะเนี่ย!!“นายตื่นแล้วเหรอ” ภามม์ถามพลางยกยิ้มมุมปาก“คะ คุณ! คุณเข้ามาได้ยังไงอะ”“ก็ห้องฉัน” ภามม์ตอบแค่นั้นก็ก้าวเข้าหาคิระเห็นถึงความไม่ปลอดภัยก็กระโดดผลุงขึ้นที่นอนคว้าผ้าห่มมาพันตัวสีหน้าตื่นตระหนกก่อนถามต่อ “แล้วคุณทำอะไรผมอะ!”“ฉันเหรอทำอะไรนาย” ภามม์ถามกลับ“ก็คุณน่ะสิ คุณทำอะไรผมรึเปล่า” คิระแค่นเสียงดุสู้เสือแต่เสือหนุ่มไม่ตอบคำถามให้คลายใจ เขากระตุกยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ขณะง่วนอยู่กับผ้าขนหนูผืนเล็กที่กำลังเช็ดผมเปียกหมาดๆ ให้ตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่ตู้เปิดเลือกๆ ได้ผ้าขนหนูผืนใหม่ที่พับอยู่ริมหนึ่งของตู้ กับเสื้อยืดแขนกุดกางเกงขาสั้นมาหนึ่งชุดแล้วโยนลงบนที่นอนต่อหน้าคิระทันที“ไปอาบน้ำไป”“แต่ผม” คิระอ้ำอึ้ง มองภามม์สลับกับเสื้อผ้ากับผ้าขนหนูที่ภามม์โยนให้ ไม่ทันได้พูดต่อ ภามม์ก็แทรกขึ้น“ไม่อาบเหรอ”“เอ่อ... ผม” คิระอ้ำอึ้งรอบสองภามม์ถอนใจ เขวี้ยงผ้าขนหนู
คิระตัดสินใจจากมาแบบเงียบๆ ไม่ให้ทั้งสามรู้ว่าเขารู้แล้ว ในเมื่อลุงตฤณมีหนี้สินกับภามม์มากมายขนาดนี้ เขาก็ต้องชดใช้หนี้บุญคุณครั้งนี้แทนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้งั้นก็ได้...ถ้าหากจะทำให้ลุงกับป้าไม่เดือดร้อนและมีชีวิตที่ดีกว่านี้ เขาก็จะทำ...จะทำให้คุ้มค่าเงิน ให้คุ้มกับการดูแลเอาใจใส่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาในที่สุดคิระก็ถอยออกมาจากครอบครัวของลุงกับป้าอย่างเงียบๆ และเดินโซซัดโซเซไปอย่างไร้ทิศทาง...หลังจากทะเลาะกันจนบ้านเกือบพัง สองสามีภรรยาก็แยกย้าย ตฤณโมโหเมียที่เข้าข้างลูกชายคนเดียว ในขณะที่เขาก็โมโหตัวเองที่สร้างเรื่องราวทั้งหมดเพราะไอ้ผีพนันนี่ตัวเดียว!ตฤณรู้ทั้งรู้ว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดี แต่เขาหยุดมันไม่ได้และไม่รู้จะหยุดได้อย่างไร มันทำให้ชีวิตของเขาพังและครอบครัวต้องเดือดร้อนไม่พอยังทำให้เจ้านายมีปัญหาอีก“โธ่เว้ย!!”ห้าทุ่มแล้ว...คิระยังเดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ภายในสวนสาธารณะริมน้ำไม่ไกลจากสกายพาเลซ เพื่อรอเวลาให้ภามม์กลับมา เขาอยากคุยกับภามม์ให้รู้เรื่องว่าจะให้เขาทำอะไรต่อไป ไม่ว่างานอะไรคิระก็ไม่เกี่ยง หากว่ามันจะทำให้ภามม์พอใจไม่ใช้อิทธิพลข่มขู่ลุงกับป้า หลังจากได้ยินคำพูดของ
“คุณจะมาโทษผมไม่ได้ในเมื่อเป็นความผิดของคุณเองที่ไม่บอกล่วงหน้าอะ” คิระลอยหน้าลอยตาตอบเด็กหนุ่มทำใจดีสู้เสือแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ เพราะทันทีที่พูดจบ ภามม์ก็กำหมัดซัดใส่กำแพงครู่หนึ่งจึงหัวเราะออกมา แต่คิระมองว่ามันช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ขมขื่นเสียนี่กระไร มันทำให้เขานึกกลัวนิดๆ เข้าแล้ว“เอาล่ะ นายกลับไปได้ละ” “จะให้ผมไปไหนอะ” “ไปไหนก็ไป”“เอ้า! ไปไหนก็ไปคือให้ผมกลับบ้านใช่ปะ” คิระถามกลับไม่ใช่ว่ากวนแต่เขาเริ่มสับสน ไม่เข้าใจอารมณ์ภามม์ว่าความหมายของเขาคือให้กลับไปที่คอนโดหรือที่ไหนกันแน่“ไปไหนก็ได้ หรือไปตายเลยก็ไป!” ภามม์ไล่ไม่ไว้หน้า เห็นสีหน้าเหวอของคิระ เขาก็ถอนใจก่อนตอบ “เอาเป็นว่าตอนนี้ นายไปให้พ้นหน้าฉัน ก่อนที่ฉันจะต่อยนาย”ภามม์ชี้นิ้วไปที่ประตูด้วยความหงุดหงิด คิระงันไป นึกว่าจะถูกต่อย แต่ภามม์ที่ตอนนี้สงบลงบ้างแล้วสะบัดมือไล่“ฉันบอกให้ออกไปไง!”“ไม่ฮะ”“จะเอาอะไรอีก”“คุณต่อยมาเลย”“อะไรนะ”“บอกให้ต่อยมาไง ผมพร้อม” คิระว่าจบก็หลับตาพลางสูดลมหายใจลึกก่อนจะยื่นแก้มให้แล้วพูดต่อ “ต่อยมาเลย คุณจะได้หายโกรธที่ผมทำตัวไม่สมค่าเงินสามล้านของค