ผมผุดลุกนั่งอย่างช้าๆ หย่อนเท้าลงบนพื้นเย็นเฉียบ รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเดินไปเปิดม่านหน้าต่างริมระเบียงที่มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนได้อย่างชัดเจนที่สุดที่ร้านอาหารฝั่งโน้นคงมีงานถึงเปิดไฟสีสันสว่างไสว ผมเพ่งมองไปในความมืดของแม่น้ำเจ้าพระยาเชี่ยวกราก เห็นเรือหรูแล่นผ่านไปมา ผู้คนบนเรือนั้นคงมีความสุข สนุกสนานเนื่องจากใกล้เทศกาลปีใหม่ผมก็อยากให้ปีใหม่ปีนี้มีคีตาอยู่เคียงข้าง แต่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากหลังจากที่เราทะเลาะกันวันนั้น“ผมคิดถึงคุณจัง”วันนั้นผมยิ้มออกหลังได้ยินคำหวานโปรยมา ครั้งนี้เขาไม่ให้ผมเห็นหน้าบอกไม่สะดวกคุยวิดีโอคอลด้วยทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้งผมตะหงิดในใจแต่ก็ถามเขาไปด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ที่ไม่คิดกดดัน “จะกลับวันไหนจะได้ไปรอรับ”“เอ่อ... ผมยังติดธุระอยู่เลยฮะ” เขาตอบ“ทันปีใหม่ไหม”“ไม่แน่ใจฮะ”ผมอึ้งไป นี่ผมต่อเวลาให้คีตาจากสองเป็นสี่ปีแล้วนะ เพราะเห็นแก่ที่เขาสอบติดมหาวิทยาลัยในสาขาเปียโนที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตอนนั้นเราทะเลาะกันครั้งหนึ่งเรื่องที่คีตาขอเรียนปริญญาตรีให้จบ ผมก็ยอมเพราะเห็นแก่ความมานะพยายาม“ไหนว่าเรียนจบแล้วจะร
ผมหัวเราะออกเพราะเขาดูงอนๆ หน้าก็บึ้งตึงไม่น่ารักเหมือนเคย ผมอาศัยทีเผลอพลิกตัวขึ้นคร่อมเขาแล้วระดมจูบดวงหน้าของเขาไปทั่วอย่างหนักหน่วงเอาใจ คุณตรีกอดผมแน่นโยกตัวไปมาราวกับว่าเรากำลังเต้นรำทั้งที่นอนอยู่บนเตียงด้วยกัน “โอ๋ๆ อย่างอนนะฮะบอสที่รักของผม” “คีรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงรักคี” “ไม่รู้สิฮะ คงเพราะผมดื้อมั้ง” ผมเย้า เขายีผมของผมทันทีจนผมเบี่ยงตัวหนีแต่ไม่พ้น เขาจั๊กจี้ผมที่สีข้างจนผมที่บ้าจี้อยู่แล้วถึงกับร้องลั่น แต่เขาก็ยังไม่นำพาจนผมต้องยอมแพ้ “ก็ได้ๆ ผมอยากรู้ฮะ” ผมตอบตามที่คิดจริงๆ ผมอยากรู้ว่าระหว่างเรามันคือเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตา “เพราะคีเข้ามาในเวลาที่ใช่ หากเป็นก่อนหน้านั้นฉันคงไม่เปิดใจ คีทำให้ฉันรู้ว่าความรักไม่จำกัดนิยามเป็นยังไง” “หมายถึงว่าไม่มีนิยามหญิงชายอะไรงี้เหรอฮะ” “อืม...แล้วก็ต้องขอบคุณพ่อฉันกับปู่คีด้วยที่เจ้ากี้เจ้าการจับคีให้ฉัน” “ตากับปู่เปล่าจับผมให้คุณซะหน่อย คุณน่ะโมเม”“นั่นสินะ ไม่โมเมจะได้คีเป็นเมียเหรอ”“ชิ คุณน่ะ แถไปเรื่อย”“แถแล้วรักไหม”“รักมาก”“ถ้ารั
“ทำไมมั่นใจในตัวฉัน” เขาถาม น้ำเสียงดูไม่มั่นใจ ไม่รู้คุณตรีกลายเป็นคนคิดเยอะตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมคิดว่าผมรู้ใจเขามากพอจะรู้ว่าเขาต้องยอมเพราะผมรู้จักคุณดีพอ” ผมตอบพลางยิ้มหวาน ไม่รู้ว่าเป็นยิ้มที่หวานสุดชีวิตได้หรือยัง ผมตื้นตันใจมากที่เขาคิดถึงอนาคตของผม แต่ผมก็อยากจะเป็นคนที่คู่ควรกับเขา ผมอยากเอารางวัลมาฝากบอสบนเตียงของผม...“แต่ถ้ากลับมาคนเดียวฉันต้องเหงาแน่เลย นายทิ้งฉันลงเหรอคี” “ผมจะทิ้งคุณได้ไงฮะ คุณเป็นสามีผมนะ” “แต่ก็ยังจะไปตั้งสองปี...” “แค่สองปีเอง คุณรอผมไมได้เหรอฮะ” ผมย้อนถาม ไม่ได้อยากได้คำตอบจริงจังหรอกเพราะผมรู้ว่าเวลาสองปีนานพอที่จะทำให้อะไรต่อมิอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ โดยเฉพาะคนอย่างคุณตรีที่มีดีกรีความเหงาเป็นที่หนึ่งเขาอาจจะเหงา เปลี่ยนไป และบางทีอาจมีคนใหม่ ถ้าเขาเปลี่ยนไป ผมก็จะได้ทำใจยอมรับว่าเราอาจไม่ใช่คู่กันถึงผมจะไม่อยากให้วันนั้นมาถึงก็ตาม“ฉันไม่อยากให้คีไปเลย กลัวใจหมอนั่นจะทำคีไขว้เขว” “หมายถึงพี่จุลเหรอฮะ”“หมอนั่นแหละจะใครซะอีกล่ะ”คุณตรีค้อนผมขวับใหญ่ ผมกอดเขา จูบแก้มฟอดใหญ่“คุณ
“คีของฉัน... น่ารักใช่ไหมล่ะ”“แหม ของฉันเลยนะตรี” พิมมี่หยอก “แต่น่ารักจริงไม่อิงนิยาย คีน่ารักมากเลยจ้ะ”“แน่อยู่แล้ว นอกจากคีจะเป็นครูสอนนาราแล้วยังเป็นภรรยาผมด้วย” “คุณตรี! พูดอะไรอย่างนั้นฮะ!” “ก็มันจริง” เขาตอบ ผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็หยิกต้นแขนเขาไปที “คุณพิมอย่าไปฟังคนเพ้อเจ้อนะฮะ” ผมแก้เก้อ “พิมเห็นด้วย” เธอว่าเท่านั้นแต่ทำให้คุณตรียืดเลย “ก็มันจริงนี่ ใช่ไหมนารา” คุณตรีโยนคำถามไปให้น้องนาราทันที ทำให้ผมพูดไม่ออก ลำพังคุณตรีผมย้อนไม่ยั้งแน่ แต่กับน้องนาราที่น่ารักและผมก็รักเอ็นดูเธอ คำน้อยก็ไม่อยากให้ระคายใจ ไหนจะพิมมี่ที่ไม่ได้สนิทกันด้วย ผมได้แต่อ้ำอึ้ง... พิมมี่กับนาราหัวเราะคิกคักให้กันแล้วเป็นนาราที่พูดเสียงอ่อย “เห็นไหมคุณแม่ นาราบอกแล้วว่าพี่คีเป็นแฟนคุณพ่อจริงๆ” “โซ พริตตี้ ยูเวรี่ไนซ์” พิมมี่ชมไม่หยุด “ขอบคุณที่ดูแลลูกสาวให้ฉันค่ะ” “ลูกสาว? คุณหมายถึงน้องนาราน่ะเหรอฮะ” “ใช่จ้ะ” “เธอไม่ใช่... เอ่อ.
แม่เหรอ! ผมแทบช็อค พิมมี่เป็นแม่ของนารา งั้นก็เท่ากับว่าคุณตรีกับพิมมี่เป็นสามีภรรยา แล้วผมล่ะ! ผมเป็นอะไรของคุณตรี! ผมน้ำตารื้น นึกอยากไปให้พ้นจากสถานการณ์อึดอัด ไม่อยากเห็นภาพบาดตาของพ่อแม่ลูกที่ไม่มีผมเป็นส่วนหนึ่งในนั้น ทั้งที่แค่ฝันผมก็ยังไม่เคยเห็นภาพครอบครัวระหว่างผม คุณตรีและน้องนาราแม้แต่น้อย ไม่มีเลยจริงๆ... ผมรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนเป็นคนนอก เป็นคนที่ไม่ใช่อะไรเลย แล้วยังเป็นได้แค่กาฝากในชีวิตคุณตรี เจ็บปวด... ผมเฟลจนไม่อยากพบ ไม่อยากได้ยินเสียงแห่งความสุขหรือความเศร้าจากสามพ่อแม่ลูกนั่น แต่... ผมก็อยากรู้จริงๆ ว่าระหว่างพวกเขา ความสัมพันธ์คืบหน้าไปขนาดไหนแล้ว จึงได้แค่แอบฟังเพื่อจะได้จัดการตัวเองถูก “ไฮ ได้เจอกันแล้วนะจ๊ะ นารา”“คุณแม่มาหานาราแล้วเหรอคะ” นาราย้อนถามงัวเงีย“ใช่จ้ะ นี่แม่เองจ้ะ แม่คิดถึงหนูมากนะจ๊ะ”“คุณแม่ขา...”“นาราดีใจไหมที่เจอแม่”พิมมี่เสียงอ่อนโยนจนผมสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์ที่อ่อนโยนระหว่างผู้หญิงด้วยกันด
“หลังจากน้องนาราอาการดีขึ้นฮะ” “แล้วถ้าไม่ดีล่ะ หรือถ้าไม่หายล่ะ คีไม่ไปได้ไหม” ผมตัดสินใจถามเป็นครั้งสุดท้าย แต่คีตากลับส่ายหน้า “ผมมีเวลาอีกหนึ่งปีสำหรับการเตรียมตัว ถึงเวลานั้นน้องนาราก็น่าจะดีขึ้นหรือไม่ก็หายดีแล้ว ผมจะช่วยน้องให้ถึงที่สุดฮะ” “แล้วฉันล่ะ” “คุณก็อยู่ที่นี่ไงฮะ” ผมงันไป คีตาคิดแทนโดยไม่ถาม ไม่สนใจความรู้สึกของผมสักนิด “นี่คิดไว้หมดแล้วสินะ”“ฮะ”“ไม่ถามฉันสักคำ”“ผมไม่คิดว่าคุณตรีจะโกรธผมขนาดนี้” คีตาเสียงสั่นน้ำตาคลอ“รู้อย่างนี้แล้วไม่ให้ฉันโกรธคีได้เหรอ! คีจะทิ้งฉัน คีไม่สนใจความรู้สึกฉันเลย”“โธ่ คุณตรี!”ผมจ้องตาคีตาเนิ่นนาน อยากจะถามเขาว่า แล้วผมล่ะ!ผมเป็นอะไรในสายตาคีตากันแน่ ทำไมเรื่องสำคัญขนาดนี้ผมกลับเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย ถ้าเขาแค่ถามผมสักคำไม่ตัดสินใจไปก่อน ผมคงไม่รู้สึกแย่“แล้วนายก็จะไปฝรั่งเศสกับหมอนั่น”“หืม... คุณหมายถึงพี่จุลเหรอฮะ”“ก็แล้วจะใครอีกล่ะคี” ผมตะคอกใส่แต่พอเห็นคีตาสะดุ้ง ผมก็อ่อนลงแต่ผมทนมองหน้าเขาไมได้จึงเมินออกนอกหน้าต่างคีตาเขยิบเข้ามา แนบหน้ากับหัวไหล่ผม สองมือเขาโอบเอวผม