“ทำไมมั่นใจในตัวฉัน” เขาถาม น้ำเสียงดูไม่มั่นใจ ไม่รู้คุณตรีกลายเป็นคนคิดเยอะตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมคิดว่าผมรู้ใจเขามากพอจะรู้ว่าเขาต้องยอมเพราะผมรู้จักคุณดีพอ” ผมตอบพลางยิ้มหวาน ไม่รู้ว่าเป็นยิ้มที่หวานสุดชีวิตได้หรือยัง ผมตื้นตันใจมากที่เขาคิดถึงอนาคตของผม แต่ผมก็อยากจะเป็นคนที่คู่ควรกับเขา ผมอยากเอารางวัลมาฝากบอสบนเตียงของผม...“แต่ถ้ากลับมาคนเดียวฉันต้องเหงาแน่เลย นายทิ้งฉันลงเหรอคี” “ผมจะทิ้งคุณได้ไงฮะ คุณเป็นสามีผมนะ” “แต่ก็ยังจะไปตั้งสองปี...” “แค่สองปีเอง คุณรอผมไมได้เหรอฮะ” ผมย้อนถาม ไม่ได้อยากได้คำตอบจริงจังหรอกเพราะผมรู้ว่าเวลาสองปีนานพอที่จะทำให้อะไรต่อมิอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ โดยเฉพาะคนอย่างคุณตรีที่มีดีกรีความเหงาเป็นที่หนึ่งเขาอาจจะเหงา เปลี่ยนไป และบางทีอาจมีคนใหม่ ถ้าเขาเปลี่ยนไป ผมก็จะได้ทำใจยอมรับว่าเราอาจไม่ใช่คู่กันถึงผมจะไม่อยากให้วันนั้นมาถึงก็ตาม“ฉันไม่อยากให้คีไปเลย กลัวใจหมอนั่นจะทำคีไขว้เขว” “หมายถึงพี่จุลเหรอฮะ”“หมอนั่นแหละจะใครซะอีกล่ะ”คุณตรีค้อนผมขวับใหญ่ ผมกอดเขา จูบแก้มฟอดใหญ่“คุณ
“คีของฉัน... น่ารักใช่ไหมล่ะ”“แหม ของฉันเลยนะตรี” พิมมี่หยอก “แต่น่ารักจริงไม่อิงนิยาย คีน่ารักมากเลยจ้ะ”“แน่อยู่แล้ว นอกจากคีจะเป็นครูสอนนาราแล้วยังเป็นภรรยาผมด้วย” “คุณตรี! พูดอะไรอย่างนั้นฮะ!” “ก็มันจริง” เขาตอบ ผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็หยิกต้นแขนเขาไปที “คุณพิมอย่าไปฟังคนเพ้อเจ้อนะฮะ” ผมแก้เก้อ “พิมเห็นด้วย” เธอว่าเท่านั้นแต่ทำให้คุณตรียืดเลย “ก็มันจริงนี่ ใช่ไหมนารา” คุณตรีโยนคำถามไปให้น้องนาราทันที ทำให้ผมพูดไม่ออก ลำพังคุณตรีผมย้อนไม่ยั้งแน่ แต่กับน้องนาราที่น่ารักและผมก็รักเอ็นดูเธอ คำน้อยก็ไม่อยากให้ระคายใจ ไหนจะพิมมี่ที่ไม่ได้สนิทกันด้วย ผมได้แต่อ้ำอึ้ง... พิมมี่กับนาราหัวเราะคิกคักให้กันแล้วเป็นนาราที่พูดเสียงอ่อย “เห็นไหมคุณแม่ นาราบอกแล้วว่าพี่คีเป็นแฟนคุณพ่อจริงๆ” “โซ พริตตี้ ยูเวรี่ไนซ์” พิมมี่ชมไม่หยุด “ขอบคุณที่ดูแลลูกสาวให้ฉันค่ะ” “ลูกสาว? คุณหมายถึงน้องนาราน่ะเหรอฮะ” “ใช่จ้ะ” “เธอไม่ใช่... เอ่อ.
แม่เหรอ! ผมแทบช็อค พิมมี่เป็นแม่ของนารา งั้นก็เท่ากับว่าคุณตรีกับพิมมี่เป็นสามีภรรยา แล้วผมล่ะ! ผมเป็นอะไรของคุณตรี! ผมน้ำตารื้น นึกอยากไปให้พ้นจากสถานการณ์อึดอัด ไม่อยากเห็นภาพบาดตาของพ่อแม่ลูกที่ไม่มีผมเป็นส่วนหนึ่งในนั้น ทั้งที่แค่ฝันผมก็ยังไม่เคยเห็นภาพครอบครัวระหว่างผม คุณตรีและน้องนาราแม้แต่น้อย ไม่มีเลยจริงๆ... ผมรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนเป็นคนนอก เป็นคนที่ไม่ใช่อะไรเลย แล้วยังเป็นได้แค่กาฝากในชีวิตคุณตรี เจ็บปวด... ผมเฟลจนไม่อยากพบ ไม่อยากได้ยินเสียงแห่งความสุขหรือความเศร้าจากสามพ่อแม่ลูกนั่น แต่... ผมก็อยากรู้จริงๆ ว่าระหว่างพวกเขา ความสัมพันธ์คืบหน้าไปขนาดไหนแล้ว จึงได้แค่แอบฟังเพื่อจะได้จัดการตัวเองถูก “ไฮ ได้เจอกันแล้วนะจ๊ะ นารา”“คุณแม่มาหานาราแล้วเหรอคะ” นาราย้อนถามงัวเงีย“ใช่จ้ะ นี่แม่เองจ้ะ แม่คิดถึงหนูมากนะจ๊ะ”“คุณแม่ขา...”“นาราดีใจไหมที่เจอแม่”พิมมี่เสียงอ่อนโยนจนผมสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์ที่อ่อนโยนระหว่างผู้หญิงด้วยกันด
“หลังจากน้องนาราอาการดีขึ้นฮะ” “แล้วถ้าไม่ดีล่ะ หรือถ้าไม่หายล่ะ คีไม่ไปได้ไหม” ผมตัดสินใจถามเป็นครั้งสุดท้าย แต่คีตากลับส่ายหน้า “ผมมีเวลาอีกหนึ่งปีสำหรับการเตรียมตัว ถึงเวลานั้นน้องนาราก็น่าจะดีขึ้นหรือไม่ก็หายดีแล้ว ผมจะช่วยน้องให้ถึงที่สุดฮะ” “แล้วฉันล่ะ” “คุณก็อยู่ที่นี่ไงฮะ” ผมงันไป คีตาคิดแทนโดยไม่ถาม ไม่สนใจความรู้สึกของผมสักนิด “นี่คิดไว้หมดแล้วสินะ”“ฮะ”“ไม่ถามฉันสักคำ”“ผมไม่คิดว่าคุณตรีจะโกรธผมขนาดนี้” คีตาเสียงสั่นน้ำตาคลอ“รู้อย่างนี้แล้วไม่ให้ฉันโกรธคีได้เหรอ! คีจะทิ้งฉัน คีไม่สนใจความรู้สึกฉันเลย”“โธ่ คุณตรี!”ผมจ้องตาคีตาเนิ่นนาน อยากจะถามเขาว่า แล้วผมล่ะ!ผมเป็นอะไรในสายตาคีตากันแน่ ทำไมเรื่องสำคัญขนาดนี้ผมกลับเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย ถ้าเขาแค่ถามผมสักคำไม่ตัดสินใจไปก่อน ผมคงไม่รู้สึกแย่“แล้วนายก็จะไปฝรั่งเศสกับหมอนั่น”“หืม... คุณหมายถึงพี่จุลเหรอฮะ”“ก็แล้วจะใครอีกล่ะคี” ผมตะคอกใส่แต่พอเห็นคีตาสะดุ้ง ผมก็อ่อนลงแต่ผมทนมองหน้าเขาไมได้จึงเมินออกนอกหน้าต่างคีตาเขยิบเข้ามา แนบหน้ากับหัวไหล่ผม สองมือเขาโอบเอวผม
หนึ่งอาทิตย์ต่อมาผมจึงตีรถกลับไปหัวหินเพื่อรับเขากลับบ้าน บ้านที่จะเป็นบ้านที่แท้จริงสำหรับพักพิงใจของเขาในปัจจุบันและในอนาคตคีตาจะไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป...ผมนั่งรอคีตาล่ำลากับครูผู้สอนและเพื่อนร่วมคลาสเรียนอยู่ที่รถ รอเขาอย่างใจเย็นแต่ใจกลับร้อนรุ่มขึ้นมาทันทีที่เห็นคีตาเดินออกมากับนายจุลหมอนั่นอีกแล้ว...มารหัวใจเอ๊ย!ผมรีบเปิดประตูรถลงไปเข้าแทรกกลางระหว่างคีตากับนายจุลที่แตกกระเจิงออกจากกันราวผึ้งแตกรัง ผมโอบไหล่คีตาแสดงความเป็นเจ้าของพร้อมๆ กับยักคิ้วให้นายจุลอย่างเป็นต่อสีหน้าเขานิ่งๆ จนผมดูไม่ออกว่าเขารู้สึกอย่างไร จนกระทั่งคีตาเอ่ยทำลายความเงียบนั่นล่ะ“มาเร็วจังเลยฮะ”“ก็คิดถึงไง”“คิดถึงผมเหรอ”“หือ”ผมหันขวับไปทางต้นเสียงจึงเห็นนายจุลยิ้มหยันอยู่ ผมเริ่มหงุดหงิดแต่คีตาสอดนิ้วประสานเข้ากับมือผมกระตุกเบาๆ ผมจึงชะงักทันก่อนจะโพล่งอะไรออกไป“ผมกลับแล้วนะพี่จุล”“อืม เดินทางปลอดภัย อย่าลืมที่พี่บอก”“ฮะ เอาไว้ผมจะคิดดูอีกที”“โอเค”“ไว้เจอกันฮะ”คีตาโบกมือให้นายจุลที่ยืนมองเราสองคนไม่วางตา สีหน้าเขากวนอารมณ์ผมที่สุด แต่ผมก็ต้องอดทนไม่อยากดูไม่ดีในสายตาคนของผมอีกแล้ว“เจออะไ
นารายังไม่ตื่น ...ผมโทรปรึกษาหมอประจำตัวของนารา เธอบอกให้ผมทำตัวปกติและไม่กระตุ้นให้นาราต้องกระทบกระเทือนจิตใจ ผมกับคีตาจึงตกลงกันว่าเราจะไม่ทะเลาะกันให้นาราเห็นไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่หรือมีเรื่องอะไรเข้ามากระทบจิตใจก็ตาม เราจะต้องรักษาสภาพจิตใจของนาราให้ก้าวผ่านโรคptsd ที่กำลังเป็นอยู่ให้ได้ค่ำนั้นผมกับคีตาจึงช่วยกันทำอาหารมื้อค่ำง่ายๆ ไว้รอรับหลังจากนาราตื่นจะได้ให้นาราทำความรู้จักกับคีตาเพื่อเพิ่มความสนิทสนมกันส่วนจิ๋วกับสนธยา ผมให้ทั้งสองหยุดพักได้หนึ่งวัน สนธยาจึงพาจิ๋วไปเที่ยวชายทะเลหัวหินเพราะจิ๋วไม่เคยมาที่นี่สักครั้งคีตาทำข้าวผัดปูหอมฉุย ส่วนผมก็ช่วยเขาล้างกระทะและอุปกรณ์อื่นๆ เก็บเข้าที่จนสะอาดเรียบร้อย เขาหันมายิ้มให้ผมที่ใส่ผ้ากันเปื้อนลายการ์ตูนด้วยความขบขัน จากนั้นเราสองคนก็จูบกัน คีตาโอบรอบคอผม เต้นรำกันอย่างมีความสุขตามท่วงทำนองเพลงที่เปิดคลอเบาๆ แต่จู่ๆ คีตาก็ผลักผมออก“คุณตรีฮะ หยุดก่อน...”“อะไรเหรอคี”“ทางโน้นฮะ”คีตาชี้ไปทางด้านหลัง ผมหันไปก็เจอนารายืนอยู่หน้าประตูครัวสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ ใจผมแป้วลงทันที“นารา เอ่อ... มาเมื่อไหร่ลูก”“คุณพ่อขา”ผมสะดุ้ง