“แต่มึงเมาแล้วไอ้อรรถ ทำแบบนี้เดี๋ยวมีเรื่องขึ้นโรงพัก พ่อมึงเอาตายแน่”เพื่อนคนหนึ่งของนายอรรถบอก แต่ถูกผลักเข้าให้“แม่งโว้ย! พวกมึงไม่ต้องมายุ่ง!” นายอรรถโวยลั่นแต่ถูกเพื่อนๆ ลากตัวกลับเข้าไปเพราะขยาดสายตาผม แน่จริงก็เข้ามา งานนี้มีบวกแน่...ผมโอบไหล่เล็กๆ ที่กำลังสั่นระริกแน่นเข้าเขาตัวสั่นจนผมรู้สึกได้ และผมรู้สึกว่าต้องปกป้องเขาไม่ให้ต้องเจ็บปวดจึงหันไปบอกนายจุล “ผมขอตัวพาคีกลับก่อนครับ”“คุณเป็นใคร”“ผม?”ผมชี้ที่ตัวเอง นายจุลพยักยิ้มอย่างคนมนุษย์สัมพันธ์ดี แต่ผมรู้ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่จางและเจื่อนที่สุด“ครับ ผมจะได้รู้ว่าควรฝากคีไว้กับคุณได้ไหม”“ได้อยู่แล้ว”ผมสังเกตว่านายจุลชะงักไปครู่หนึ่งจึงเลื่อนสายตาไปจับจ้องอยู่กับคีตาที่ไม่ยอมสบตา แล้วนายจุลก็หันมาหาผม“งั้นฝากคีด้วยนะครับ”ผมยิ้มตอบ อย่างน้อยก็ต่อหน้าคนอื่น เขาไม่หลุดคำพูดก้าวร้าวเหมือนนายอรรถนั่นทั้งที่แววตาที่มองผมดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ ผมมองดวงหน้าขาวของหนุ่มตี๋ก็ไม่แปลกใจว่าเหตุใดเด็กนี่ถึงได้หลงใหลได้ปลื้มกับคนตรงหน้าขนาดนี้แต่ว่าก็ว่าเถอะ...ผมหล่อกว่าเห็นๆ“ขอทราบชื่อคุณหน่อยได้ไหมครับ”ผมชะงักก่อนตอบ “ผม ตร
“ก็พี่นิสัยไม่ดีก่อนอะ” คีตาโพล่งขึ้นคงยิ่งเหมือนเป็นสิ่งยั่วยุให้หมอนั่นตามตอแยต่อ คีตาเดินจ้ำๆ ทิ้งห่างออกมาแต่ไอ้พวกนั้นกลับยิ่งไล่ต้อน ไม่รู้ไอ้หมาหมู่พวกนี้ไม่มีใครอบรมสั่งสอนหรือยังไง ผมเริ่มเดือดดาลเมื่อฟังมันพูดไล่หลังต่อ“ไอ้เด็กนิสัยเสีย ไม่รู้จักบุญคุณคน”คีตาชะงักกึก ผมเห็นเขาหน้าสั่นตัวสั่นไปหมด ยิ่งนายอรรถอะไรนั่นที่เป็นลูกพี่ไอ้คนปากเสียดูไม่สะทกสะท้านกลับก้าวมาดักหน้าแล้วยื่นแก้วไวน์ให้“งั้นกินนี่ก่อนแล้วค่อยไป” “ไม่เอาน่าอรรถ” จุลปัดมืออรรถที่คะยั้นคะยอยื่นแก้วไปที่ปากคีตาทิ้ง “พี่บอกให้กินไง!” “ก็ผมบอกว่าไม่กิน!”คราวนี้คีตาเสียงแข็งอย่างที่ผมไม่เคยเห็น แต่ผมกลับคุ้นกิริยาของนายอรรถยิ่งขึ้น ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวจนกระจ่างว่าที่แท้นายอรรถคนนี้เคยมีคดีกับคีตาครั้งหนึ่งและผมคือคนที่เข้าไปช่วยเด็กนี่ไว้ในคืนนั้น ไอ้สารเลวเอ๊ย! “งั้นพี่ไม่เกรงใจแล้วนะ”อรรถรั้งข้อมือเล็กๆ ของคีตา อีกข้างถือแก้วไวน์จะหกไม่หกแหล่ทั้งที่ตัวเองยืนแทบไม่ตรงด้วยความเมาเข้ามาปล้ำจูบ จุลเห็นสีหน้าของคีตาจึงเข้าไปห้ามแต่
“วางยาอีกแล้วเหรอ มุกซ้ำไปป่าวยะ”“เออ เห็นว่าคราวก่อนโดนเด็กนี่หักหน้าก็เลยจะสั่งสอนแต่มันดันรอดไปได้ซะก่อน คืนนี้เลยวางแผนจะเผด็จศึกมันให้ได้”“วันนี้มันก็น่าหมั่นไส้จริงๆ นั่นแหละ แต่งตัวยั่วซะ น่าหมั่นไส้ชะมัด”สามสาวหัวเราะชอบใจ แล้วอีกคนที่เป็นผู้ฟังมาตลอดก็โพล่งขึ้น “ดี จะได้รู้ซะมั่งว่าคิดจะแข่งกับคนสวยอย่างพวกเราผลที่ได้จะเป็นยังไง”“เจอของจริงเข้าไป อาจจะติดใจนายอรรถเลยก็ได้มั้ง”หญิงสาวชุดขาวแต่ท่าทางจะใจไม่ขาวสวยเหมือนชุดที่ใส่โพล่งคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังจะมีเรื่องไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นกับคีตา ผมไม่รู้ตัวเลยว่าห่วงใยเด็กนั่นจนนั่งไม่ติดแล้วจะแปลกอะไรในเมื่อคีตาเป็นของผม ใครที่คิดจะทำร้ายคีตาต้องเจอผม!รถของสามสาวแล่นออกไป ผมจึงเปิดประตูรถเดินตรงเข้าไปด้านในถามถึงชั้นที่จัดงานเลี้ยงจบการศึกษาของนายจุลอะไรนั่นแล้วจึงตรงไปที่ลิฟต์พอประตูลิฟต์เปิด ผมก็ก้าวออกมาไม่ทันที่ลิฟต์จะปิดด้วยซ้ำ ผมก็เห็นคีตาเดินแกมวิ่งออกมาจากห้องจัดงานตรงมาที่ลิฟต์ด้วยน้ำตานองหน้า ดูสภาพเขาแล้วใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่มเลย หรือว่ามันทำร้ายคีตาแล้ว หรือว่าผมมาไม่ทัน!เชี่ย!ไอ้พวกภัยสังคมรวยเงินแต่สมองก
“โธ่พ่อ! ทำซะผมเป็นไอ้ชั่วไปเลย” ผมส่ายหน้าดิกหลังจากพ่อถามผม ผมไม่เห็นว่ามันสำคัญ ถึงพ่อถามถึงกำพืดเด็กนั่น แต่แล้วผมจะถามใครล่ะ ทำไมผมต้องรู้ในเมื่อความสัมพันธ์ของเราก็แค่ชั่วคราว“ถึงเด็กคนนั้นจะเป็นผู้ชาย แต่ถึงยังไงแกก็ต้องรับผิดชอบ”“ผมจะรับผิดชอบได้ไงล่ะครับ พ่อคิดว่าสังคมไทยจะให้ผมกับเด็กนั่นแต่งงานกันเหรอ”“ฉันไมได้หมายความอย่างนั้น”“พ่อวางใจเถอะ ขนาดเด็กนั่นยังจำผมไม่ได้ แล้วผมก็ไม่คิดรื้อฟื้นด้วย” ผมแย้งให้พ่อคลายใจ แต่พักเดียวจริงๆ ผมก็ถูกพ่อเหวี่ยงหมอนเข้าใส่โดยไม่ได้ตั้งตัว“ไอ้ลูกชั่ว!”“อะไรอะพ่อ!”“ทำเรื่องหมาๆ แล้วยังทำนิสัยหมาๆ อีกนะแกนี่!” พ่อด่าเสร็จก็ไอโขลกๆ อาการเหมือนจะกำเริบขึ้นอีกผมเห็นท่าทางพ่อเหมือนเจ็บปวดก็คิดว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของโรคแต่เปล่าเลย พ่อเงยหน้าสบตาผมด้วยความรู้สึกผิดหวังจนผมรู้สึกได้เกิดอะไรขึ้นกับพ่อกันแน่...ปกติพ่อไม่เคยมายุ่งเรื่องส่วนตัวของผม และผมก็ไม่เคยนอนกับใครที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แต่กับเด็กคนนั้นอาจจะเป็นข้อยกเว้นทุกอย่างที่ผมมีผมชอบ...ใช่สิ...ผมชอบตอนที่ได้ควบคุมเด็กคนนั้น จับเขาพลิกซ้ายขวาหน้าหลังตามใจ เหมือนเราสองคนเข้ากันไ
“ก็ดีแต่ดูเชย แบบกุญแจใจไรงี้” “หมายถึงเป็นกุญแจไขใจต่างหาก มันเป็นนามแฝงของผมที่ใช้สมัครช่องยูทูปไว้ลงเพลงไง” “ทำไมต้องกุญแจไขใจ” ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะ เหลือบตามองเขาก่อนตอบ “ก็เอาไว้ไขคนที่ไม่มีดนตรีในหัวใจไงฮะ คุณก็พิสูจน์ด้วยหูตัวเองแล้วนี่ว่าเพลงของผมเป็นยังไง คุณชอบไหมฮะ”เขาส่ายหน้า...“ไม่ชอบเหรอ” ผมถามอย่างกระตือรือร้น อยากได้คอมเมนต์จากคนหน้านิ่งที่น่าจะพอรู้จักเพลงคลาสสิคดูบ้าง “เฉยๆ” “ว้า แต่ผมคิดว่าเพลงของผมเจ๋งนะ ฟังแล้วคุณจะทิ้งเรื่องราวหนักหน่วงในชีวิตลงได้แน่นอน”“มั่นใจขนาดนั้นเชียว”“ฮะ ผมมั่นใจ” ผมรับคำแข็งขันแต่เขากลับหลุดหัวเราะใส่ผมหน้าตาเฉย “คุณถนอมน้ำใจผมสักนิดก็ไม่มีใครว่านะฮะ แค่พูดว่าเพลงเพราะแค่นี้จะตายรึไง” “ก็ไหนอยากให้ฉันเมนต์ไม่ใช่เหรอ” เขาถามพลางหัวเราะขบขันอีกแต่ผมไม่ขำด้วยจึงเมินหน้าออกไปนอกหน้าต่าง แล้วเขาก็โพล่งขึ้น “ฉันไม่ได้ชอบไม่ได้เกลียดเพลงคลาสสิคของนาย แต่นาราชอบเพลงของนายมากจริงๆ” “น้องคนนั้นน่ะเหรอฮะ” ผมถามด้วยความตื่นเต้น เขากระตุกยิ้ม หันมามองผมพร
พอรถแล่นออกไปได้ระยะหนึ่ง ผมเหลียวไปมองแล้วหันกลับมาถอนหายใจโล่งอก กว่าจะรู้ตัวว่ารถหยุดการเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อนายตรีคชาเอานิ้วปัดแก้มผมจนสะดุ้งหันมาสบตาเขาเข้าพอดี ผมรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตเข้าให้อย่างจัง “คุณทำอะไรฮะ!” ผมร้องลั่นเขยิบหนีจนชิดประตู เขายกยิ้มนิดๆ ตอบ “ก็เปล่านี่” “แต่เมื่อกี้คุณยัง...”“อ๋อ สำรวจดูว่านายบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”ผมงันไปด้วยความขัดเขิน รู้สึกหน้าร้อนผะผ่าวเมื่อเงยหน้ามองกระจกหลังและพบว่าเขาจ้องผมผ่านกระจกไม่วางตา“ผมไม่เป็นไรฮะ”“เห็นแล้ว แล้วก็เห็นด้วยว่าวันนี้นายจัดเต็มแค่ไหน” เขาพูดเท่านั้นก็ออกรถทันทีที่สัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นไฟเขียว “จะไปงานเหรอถึงแต่งหน้าทำผมขนาดนี้”“ฮะ คุณก็เห็นแล้วเมื่อตอนเย็น”“ว่าจะทักอยู่แต่พอดีนาราอยู่ด้วย”“น้องคิดได้ไงอะคุณ ว่าผมเป็นแม่ ทั้งที่มันไม่ใช่ คุณควรบอกน้องให้เข้าใจนะฮะ”ผมตัดสินใจพูดออกไป มันคงจะดีกว่าที่ให้น้องนาราแยกแยะให้ออกว่าชายหญิงมีลักษณะต่างกันยังไงเขาไม่เคยสอนลูกหรือไงว่าผู้หญิงกับผู้ชายลักษณะทางกายภาพไม่เหมือนกัน ผมได้แต่ครุ่นคิดจนนึกได้เมื่อเขาพูดขึ้น“แล้วไม่รู้หรือไงว่านายแต