เมื่อคำสัญญามาถึง… เขาต้องแต่งงานกับลูกสาวเพื่อนพ่อ เพื่อรักษาตระกูลตามความเชื่อของพ่อที่ดูเหมือนจะงมงายสิ้นดี ภายในระยะเวลาหนึ่งปีที่เขาอยู่ต้องในฐานะ ‘สามี’ ของยัยเด็กอ้วนฟันเหยินที่ตอนนี้…โตเป็นสาวสวยสะพรั่งแล้ว
Lihat lebih banyakเสียงฝนตกผ่านกระจกใสประสานกับเสียงฟ้าร้องดังสนั่นด้านนอก ท่ามกลางฟ้าที่มืดครึ้มในยามค่ำคืน
บรรยากาศภายในห้องทำงานโทนสีดำเงียบเชียบอัดแน่นไปด้วยความอึดอัดระหว่างสองพ่อลูกภายในคาสิโน หลังจาก คิระ ประมุขของบ้านเอ่ยบางอย่างที่ทำให้คนเป็นลูกชายฟังแล้วเงียบไปโดยอัตโนมัติ กลิ่นบุหรี่ในมือของประมุขใหญ่ของบ้านที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยของสองพ่อลูก
และในที่สุดความเงียบก็ถูกทำลายลง…
“พ่อว่าไงนะ…แต่งงาน?”
“กับลูกสาวนวคุณ” คือเพื่อนสนิทของเขาที่จากไปเมื่อหลายปีก่อน
“ทำไมต้องเป็นผม?”
“เพราะนวคุณถูกชะตากับแก”
“อะไรวะ!” คิรัน กดเสียงต่ำอย่างไม่สบอารมณ์ มือหนาคว้าแก้วน้ำสีเหลืองอำพันขึ้นมาดื่มโดยไม่สนใจรสชาติขมปร่า หวังให้แอลกอฮอล์ช่วยชะล้างอารมณ์ขุ่นเคืองที่ก่อตัวขึ้นมา
คิระมองลูกชายคนเล็กอย่างเข้าใจ แต่ก็ขัดชะตาฟ้าที่ลิขิตมาแล้วไม่ได้ หากคิรันไม่ยอมแต่งงานกับลูกสาวของ นวคุณ ตระกูลคงแย่แน่ เลือดที่ใช้สาบานแรงและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าอะไร หากผิดคำสาบานต่อนวคุณ ตระกูล ‘ไกรวณิชคุณ’ คงเหลือแต่ชื่อ
“แล้วถ้าผมไม่แต่งล่ะ”
“ก่อนตายนวคุณทวงคำสาบานกับฉัน เขาฝากลูกสาวไว้กับเราแล้ว ถ้าฉันผิดคำสาบานแกก็รู้จะเกิดอะไรขึ้น”
“เหอะ! ก็แค่เรื่องงมงาย…” คิรันแค่นหัวเราะในลำคอ ดวงตาคมหรี่ลงอย่างไม่เชื่อถือ
เปรี๊ยง!
เสียงฟ้าผ่าดังลั่นขึ้นทันควัน สายฟ้าที่ฟาดกลางท้องฟ้ามืดมิดสว่างวาบสะท้อนกระจกใสเข้ามาในห้องทำงาน ราวกับท้องฟ้าเองก็ไม่พอใจในคำพูดนั้น คิระถอนหายใจเบาๆ เขารู้ว่าลูกชายไม่เชื่อเรื่องแบบนี้เท่าไรนัก แต่เขาก็พยายามเกลี้ยกล่อมสุดความสามารถ
“ฉันรู้ว่าแกไม่อยากแต่งงาน แค่หนึ่งปีคิรัน แกทำเพื่อครอบครัวได้ไหม”
คิรันกระตุกยิ้มมุมปากแล้วส่ายหัวไปมา ดวงตาคมเข้มเต็มไปด้วยความไม่ศรัทธา
“ก็แค่คำสาบาน พ่อแค่หลงงมงายไปกับคำพูดของคนตาย” เขาหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ลูกสาวใคร ก็ให้คนนั้นดูแลไปดิ”
เปรี๊ยง!
เสียงฟ้าฟาดลงมาอีกครั้ง คราวนี้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม เสียงสะเทือนดังลั่นจนกระจกสั่นทำให้คิระเชื่อสนิทใจ ว่านวคุณคงกำลังโกรธกับสิ่งที่ลูกชายตัวเองพูด
โดยเฉพาะกับประโยคสุดท้ายที่เอ่ยถึงลูกสาว…
“แกพูดแบบนั้นไม่ได้คิรัน ที่ผ่านมานวคุณช่วยเหลือครอบครัวเราตั้งเยอะ ถ้าไม่มีนวคุณป่านนี้ครอบครัวเราคงไม่มาถึงจุดนี้” คิระเริ่มรำลึกถึงบุญคุณของนวคุณให้ลูกชายฟัง “ก็แค่แต่งงานตามสัญญาหนึ่งปี หลังจากนั้นแกจะทำอะไรก็เรื่องของแก”
คิรันพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ อย่างหงุดหงิด เขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ ไม่เชื่อว่าผีมีอยู่จริง ไม่เชื่อว่าคำสาบานมีผลอะไรต่อโชคชะตา
หากชีวิตใครจะพังก็เป็นเพราะการตัดสินใจโง่ๆ ของตัวเอง ไม่ใช่เพราะผีหรือคำสาบานบ้าๆ ที่ประทับรอยเลือดไว้บนกระดาษแผ่นเดียว ผิดกับพ่อที่เชื่อสนิทใจ ถึงขั้นคิดว่าเหตุวิกฤตทางธุรกิจที่ครอบครัวกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ คือผลลัพธ์ของคำสาบานที่ถูกละเลย
ไร้สาระสิ้นดี…
แค่ลองจินตนาการว่าได้แต่งงานกับยัยเด็กอ้วนฟันเหยินกินจุก็ทำเอาขนลุกซู่แล้ว อย่าว่าอย่างงี้อย่างงั้นเลย ขนาดชื่อยัยเด็กนั่นเขายังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“แค่หนึ่งปีคิรัน”
“พ่อคิดว่าหนึ่งปีไม่นานรึไง?”
“อดทนเอาหน่อยสิ”
“พ่อมาแต่งเองไหมล่ะครับ”
“ไอ้ลูกคนนี้นี่!” คิระเริ่มหมดความอดทนกับลูกชาย แต่ก็ต้องใจเย็นเอาไว้ไม่ระเบิดลงตอนนี้ เพราะถ้าหากปล่อยให้อารมณ์นำ เขาคงไม่มีทางลากลูกชายคนนี้เข้าสู่พิธีแต่งงานได้แน่
“ทำไมพ่อไม่จุดธูปบอกลุงนวคุณว่าขอยกเลิกคำสาบาน บอกว่าผมมันเลวดูแลลูกสาวเขาไม่ได้หรอก เหี้ยด้วย ถ้าลูกสาวเขาอยู่กับผมเสียใจแน่นอน”
“ฉันบอกแล้วไง ว่านวคุณถูกชะตากับแก”
“แต่ผมยังไม่อยากแต่งงานตอนนี้ พ่อรอจนกว่าผมพร้อมได้รึเปล่าล่ะ”
“ตอนนี้ลูกสาวนวคุณอายุยี่สิบปีแล้ว ในสัญญาบอกว่าต้องแต่งตอนอายุเท่านี้”
เขาเบื่อหน่ายกับคำสาบานบ้าบอของพ่อกับลุงนวคุณจริงๆ ตกมาปีนี้ทำไมซวยแบบนี้วะ!
“ถ้าแกยอมแต่งงานกับลูกสาวของนวคุณ ฉันจะโอนคาสิโนนี้ให้เป็นของแกอย่างเต็มรูปแบบ” คราวนี้คิระพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ถ้าแกไม่ยอม นอกจากฉันจะไม่โอนคาสิโนให้เป็นชื่อแกแล้ว แกยังจะโดนตัดออกจากกองมรดกอีกด้วย”
คิรันขบกรามแน่นเมื่อพ่อใช้ไม้ตายไม้นี้ พ่อรู้ว่าเขารอคอยการโอนชื่อคาสิโนมาเป็นของเขานานแค่ไหน คาดไม่ถึงเลยว่าพ่อจะใช้เรื่องนี้มาบีบคั้นให้ยอมแต่งงานกับยัยเด็กเหลือขอนั่น อีกทั้งยังจะตัดเขาออกจากกองมรดกอีกด้วย
มือหนาคว้าแก้วน้ำสีเหลืองอำพันมากระดกดื่มอีกอึก ก่อนจะปรายสายตามองคนเป็นพ่อเพียงนิด แล้วขยับริมฝีปากพูดบางอย่างเพื่อทำลายความเงียบ
“แค่หนึ่งปีใช่ไหมครับ?”
“ใช่”
“ก็ได้” เขาพูดพร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อวางแก้วน้ำสีเหลืองอำพันลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอนแผ่นหลังพิงพนักโซฟา สายตามองคนเป็นพ่อแล้วพูดบางอย่างต่อ “แต่ถ้ายัยเด็กอ้วนนั่นร้องไห้เพราะผม…อย่ามาโทษผมแล้วกัน”
‘ยัยอ้วนฟินเหยิน’ คนที่เขาเคยประกาศกล่าวว่าเกลียดนักเกลียดหนา ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่เขา ‘รักมาก’ ที่สุดอดีตที่ผ่านมาเขาไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้ เขาให้คำมั่นสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ต้องเสียใจ และผิดหวังในตัวเขาอีกครั้งเด็ดขาด กว่านาเนียร์จะยื่นโอกาสให้อีกครั้งไม่ง่ายเลย เขาจะไม่ทำโอกาสนั้นหลุดมืออีกไปแล้ว…หัวใจแกร่งเต้นดังโครมครามในยามมองคนตรงหน้าในชุดเจ้าสาวอีกครั้ง มือหนาที่ประสานไว้ด้านหน้าบีบเข้าหากันแน่น ดวงตาคมเข้มคลอเคล้าด้วยคราบน้ำตาเธอสวย… สวยจนไม่อาจละสายตาไปไหนเลยในขณะที่นาเนียร์เดินเข้าไปหาคิรันบนเวที โดยมีคิระเดินส่งตัวเข้าพิธีแต่งงาน มือเล็กเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ ใบหน้าสวยหวานฉายชัดถึงความประหม่าปนตื่นเต้นนี่เป็นการแต่งงานแบบเปิดเผย ไม่ใช่แบบลับๆ อย่างตอนนั้น แขกเหรื่อมากมายต่างเข้ามาร่วมเป็นสักขีพยาน มีทั้งเพื่อนสนิทตัวเอง เพื่อนสนิทคิรันที่มาพร้อมภรรยาและลูกๆ คนรู้จักฝั่งพ่อแม่คิรัน และอีกมากมายที่เธอก็ไม่คุ้หน้า“นวคุณกับพิมพ์ดาวต้องดีใจมากแน่ๆ” คิระเอ่ยขึ้น ขณะเดินส่งตัวนาเนียร์“ขอบคุณคุณลุงนะคะ ที่ดูแลหนูเป็นอย่างดี”“เรียกพ่อได้แล้ว”คิระย
วันรับปริญญาเสียงหัวเราะของนักศึกษาดังระงมทั่วลานกว้างหน้าตึกปรีคลาสสิคในมหาวิทยาลัยชั้นนำใจกลางเมือง ต้นไม้สูงตระหง่านรายรอบพื้นที่เปิดโล่งที่เต็มไปด้วยชุดครุยสีดำพริ้วไหว และหมวกทรงสี่เหลี่ยมที่บางคนวางไว้บนหัว บางคนถอดออกมากอดถ่ายรูป สะท้อนแสงแดดยามสายที่สดใสแต่ไม่ร้อนจนเกินไปท่ามกลางผู้คนจอแจ มีหญิงสาวร่างโปร่งในชุดครุยปริญญาเอกออกแบบเฉพาะของคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่เย็บขลิบด้วยเส้นด้ายทองละเอียดบนพื้นดำสนิท ยืนอยู่ใต้ต้นราชพฤกษ์ที่กำลังออกดอกเหลืองสด เธอคือ ‘นาเนียร์’ หญิงสาวที่เคยผ่านเรื่องราวหนักหนาทั้งกับความรัก ครอบครัว และชีวิต จนวันนี้ เธอก้าวมายืนอย่างเต็มภาคภูมิในฐานะ ‘บัณฑิต’ คนหนึ่งเสียงกดชัตเตอร์ดังรัวเป็นจังหวะ พร้อมเสียงกรี๊ดเบาๆ จากผู้หญิงคนหนึ่ง“นาเนียร์หันมาทางนี้หน่อย!” เสียงของเกรซ เพื่อนสาวสุดแซ่บที่สวมชุดเดรสสีพีชยาวกรุยกราย ถือกล้องราคาแพงจ่อไปยังเพื่อนสนิท“ขอช็อตยิ้มละลายใจหน่อยสิบัณฑิตป้ายแดง”“ขนาดนั้นเลยเหรอ” นาเนียร์หัวเราะพลางยิ้มให้กล้อง ก้าวเท้ามากอดเพื่อนแน่นๆ “ขอบคุณที่มานะ”“วันสำคัญของเพื่อนไม่มาได้ไง”ก่อนที่นาเนียร์จะพูดอะไรต่อ มือใหญ่และอบอุ่นค
ห้องนอนเพนท์เฮาส์ในย่านทองหล่อยังคงเงียบสงบ ยามเช้าแสงแดดอ่อนลอดผ้าม่านสีขาวนวลเข้ามาปะทะกับร่างบางที่นอนซุกอยู่บนแผงอกของผู้ชายคนเดิมนาเนียร์ขยับตัวเบาๆ ซุกหน้าลงกับอกเขาอีกครั้ง อ้อมแขนของคิรันตวัดรั้งแน่นขึ้นทั้งที่ยังหลับ ดวงตาของเขาแม้ปิดสนิท แต่การตอบสนองทุกสัมผัสของเธอช่างแม่นยำ“ขยับอีกที พี่ไม่รับประกันว่าหนูจะได้ลุกไปกินข้าวเช้านะ”เสียงทุ้มงัวเงียแต่มากด้วยอำนาจทำให้เธอหัวเราะเบาๆ “พี่คิรันอะ…”“เรียกชื่อพี่แบบนี้…” เขาขยับขึ้นมาคร่อมร่างเธอไว้ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงใกล้จนปลายจมูกแตะกัน “ระวังโดนเอาอีกรอบนะ”“คนหื่น” เธอพูดแล้วรีบพลิกตัวหนีเขาทันทีคิรันจับข้อเท้าเธอไว้แล้วลากกลับมาหาอย่างง่ายดาย ราวกับล่อลูกแมวกลับเข้ากรง “หึ คิดจะหนี?”“หนูจะรีบไปทำอาหารเช้าให้ไงคะ”“กินหนูเป็นอาหารเช้าได้ไหม?”“พอเลยย”“งั้นขอนอนกอดหนูอีกสิบนาทีได้ไหม?”“แค่กอดนะคะ”“ค้าบบ” เขาลากเสียงยาวๆ ก่อนจะพลิกตัวนอนกอดนาเนียร์ดีๆ ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าที่ฝนเพิ่งหยุดตกไปช่วงเช้ามืดหลายวันต่อมาหลังจากคิรันเคลียร์งานเสร็จสรรพ ทั้งคู่ก็มีเวลาว่างร่วมกัน คิรันพานาเนียร์ไปคาเฟ่ริมแม่น้ำชื่อว่า ‘Verand
เสียงคลื่นซัดสาดเบาๆ สัมผัสฝ่าเท้าเปล่าของนาเนียร์ ขณะที่เธอเดินอยู่บนผืนทรายละเอียด ริมทะเลยามเย็นในช่วงปลายฝนต้นหนาว ท้องฟ้าแต่งแต้มด้วยสีส้มอมชมพู ตัดกับเส้นขอบฟ้าของน้ำทะเลที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีเมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า“หนูชอบเวลาที่ได้อยู่กับพี่คิรันสองคนจัง”“งั้นหนูก็อย่าทิ้งพี่ไปไหนสิ”“หนูกลัวพี่คิรันทิ้งหนูมากกว่า”“อย่าพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สิ” กว่าเขาจะทำให้นาเนียร์กลับมาเชื่อใจอีกครั้งไม่ง่ายเลย แล้วทำไมเขาต้องปล่อยเธอไปอีกครั้งด้วยล่ะ “พี่รักหนูมากขนาดนี้ จะทิ้งลงได้ยังไง”นาเนียร์หน้าแดงจัด ก่อนจะหยุดเดินแล้วหันหน้าหนีไปทางทะเล คิรันยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน ขยับเข้าไปยืนด้านหลังพร้อมกับสวมกอดจากข้างหลัง อ้อมแขนเขากว้างและอบอุ่น มีกลิ่นน้ำหอมจากเขาที่เธอจำได้อย่างแม่นยำ ราวกับมันกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว“ขอบคุณนะคะที่พาหนูมาเที่ยว”“อะไรที่ทำให้หนูมีความสุข พี่พร้อมทำ” ส่วนอะไรที่ทำให้เธอไม่มีความสุข…เขาพร้อมทำลายมันนาเนียร์รู้สึกหัวใจเต้นแรงจนอยากแอบเอามือทุบตัวเองเบาๆ เพื่อระบายความเขิน แต่ไม่ทันจะได้ทำ เขาก็จับมือนั้นไปแนบไว้ที่หน้าอกของเขา“รู้ไหมว่าตอนนี้หัวใจพี่
เอแคลร์โยนกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงลงเตียงนอนอย่างไม่ไยดี ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงขอบเตียงด้วยสีหน้าแดงก่ำจากโทสะ มือเรียวสวยจิกขอบเตียงแน่นจนชา แววตาฉายความเคียดแค้นอย่างเปิดเผยเธอสะอื้นแรงๆ อย่างไม่แคร์ว่ามาสคาร่าจะเลอะเป็นคราบดำ สะบัดรองเท้าส้นสูงราคาเหยียบแสนออกจากเท้าอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบหยิบขวดไวน์มาเปิดมันด้วยแรงโทสะ ฝาจุกกระเด็นไปกระทบกำแพงดัง ปึก! ราวกับระบายความคั่งแค้นในอก“แกเป็นใคร! กล้าดียืนข้างคิรันแทนฉัน!” เอแคลร์พูดกับตัวเองเสียงลอดไรฟันเธอเคยได้ทุกอย่างของคิรัน แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับพรากเขาไปจากเธอ และคิรันก็โง่เลือกยัยหน้าใสนั่นแทนผู้หญิงอย่างเธอที่เหมาะสมมากกว่าเอแคลร์ยกไวน์ขึ้นดื่มอึกใหญ่จนเลอะขอบปาก แล้วตะโกนลั่นห้องอย่างไร้สติ“คิดว่าแกจะชนะฉันหรือไง!? คิดว่าได้คิรันไปแล้วจะอยู่อย่างมีสุขเหรอ!? ฝันไปเถอะ!” เธอจะทำให้นังนั่นเสียทุกอย่างรวมถึงคิรัน มือเรียวจับขวดไวน์แน่นราวกับอยากทำให้มันละเอียดคามือเช่นเดียวกับใครบางคน…ยิ่งคิดยิ่งเจ็บปวด ภาพในวันวานของเธอและคิรันไหลพรั่งพรูเข้ามาในหัว ราวกับกำลังตอกย้ำว่าเธอไม่มีสิทธิ์กลับไปยืนจุดนั้นได้อีกแล้วเธอพลาดที่ป
วันต่อมาติ๊ง…นาเนียร์ที่กำลังนั่งเขี่ยโทรศัพท์เหลือบไปเห็นข้อความจากเกรซที่ส่งเข้ามา ก่อนจะกดเข้าไปอ่านอย่างรวดเร็วเกรซ : เห็นข่าวนี้ยังเกรซ : ส่งรูปภาพนิ้วเรียวสวยกดเข้าไปดูรูปที่เกรซแคปหน้าจอส่งมาให้ เธอตั้งใจอ่านก่อนจะรู้สึกใจสั่นไหว เพราะสิ่งที่เกรซส่งมาเป็นเรื่องของตัวเองซึ่งกำลังติดเทรนทวิตเตอร์ข้อความจากแอ็กเคานต์ทวิตเตอร์เจ้าหนึ่ง พร้อมแคปชันยาวเหยียดที่เขียนด้วยถ้อยคำประชดประชัน ถากถาง และเจือความสะใจ‘สะใภ้ตระกูล ก. อัปเกรดตัวเองโดยใช้ร่างกายเพื่อไต่เต้าขึ้นมาเป็นคนของลูกชายคนโตจากตระกูลผู้ทรงอิทธิพลอย่าง ค. วงในกระซิบมาว่าป้าชีเพิ่งโดนจับสดๆ ร้อนๆ เมื่อวานจากคดีค้ายาเสพติดและอีกมากมาย แต่นางกลับไม่เคยสลด แต่ไม่แปลกเพราะมีคนบอกว่านางใจแตกมีผัวตั้งแต่อายุ20’ แม้จะไม่มีชื่อเธอเต็มๆ แต่ภาพเบลอหน้าที่แนบมากับข้อความนั้น คือรูปเธอจากมุมด้านข้างในงานเลี้ยงที่ไปกับคิรันตั้งแต่หลายเดือนก่อน มือที่ถือโทรศัพท์เริ่มสั่น หัวใจบีบรัดแน่นจนน้ำตาคลอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเกรซ : ตอนแรกฉันว่าจะปล่อยผ่านแล้ว แต่รู้สึกว่าคนในรูปเหมือนแกก็เลยส่งมาให้ดูเกรซ : มีคนจงใจเล่นงานแกแน่ๆนาเนียร์
Komen