เท้าเล็กย่ำลงบนพื้นของชั้น 34 อย่างอ่อนแรง ตาคู่หวานฉ่ำน้ำนัยน์ตาสั่นไหว อกข้างซ้ายจุกหน่วงจนเริ่มรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย พยายามสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล แต่ไม่ไหวเลย
คำถามมากมายเกิดขึ้นภายในหัว
ที่ผ่านมาเราเข้ากันได้ดีไม่ใช่เหรอ? ไม่เคยทะเลาะกัน เข้าใจกันและกันเสมอ แล้วเขาเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนล่ะ
เปลี่ยนไปเพราะอะไร เป็นเพราะเธอ เป็นเพราะเขา หรือเป็นเพราะเรารักกันไม่มากพอ?
“ไปไหนมา” เสียงเข้มจากบุคคลปริศนาทักขึ้น ทั้งที่เขายังหลับตากอดอกหันหลังพิงกำแพง
เขารู้ได้อย่างไรว่าเป็นเธอ?
ร่างบางหยุดชะงัก รีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้ง ด้วยไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ พริกแกงทำเป็นไม่สนใจคนคนนั้น แล้วแสร้งเดินเลยไปแตะนิ้วชี้ลงบนประตูเพื่อปลดล็อก
ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะกับเขา เธออยากอยู่เงียบ ๆ เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามในใจของตัวเอง
ทว่ามีหรือที่เขาจะยอม ยูนิกซ์ใช้ความสูงและความไวที่เหนือกว่ายืนขวางทางไว้ ซ้ำยังยกแขนขึ้นขวางหน้าเธอ มืออีกข้างก็เชยคางมนให้เงยขึ้นสบตา
“ร้องไห้?”
“อย่ามายุ่ง” ปัดมือใหญ่ทิ้ง
“พี่ถามดี ๆ นะพริก”
“แล้วฉันตอบไม่ดีตรงไหน!”
“พริก...”
“ขอร้องละ วันนี้ไม่มีแรงจะเถียงด้วยแล้ว” เธอว่าเสียงเหนื่อยอ่อน แล้วอาศัยความตัวเล็กลอดใต้วงแขน เดินเข้าห้องโดยไม่สนใจมองคนตัวสูงที่เดินตามเข้ามาติด ๆ
คนหน้ามึนเดินเลยไปหยิบน้ำเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะกลับมาพร้อมน้ำสองขวด พลางหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ ร่างบางบนโซฟาตัวยาว โดยเว้นระยะห่างไว้พอสมควร
ยูนิกซ์เปิดฝาขวดน้ำยื่นให้คนเซื่องซึม แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธ เขาจึงวางมันไว้ตรงหน้า เผื่อเธอหิวจะได้หยิบได้สะดวก
เขานั่งมองคนตัวเล็ก ที่เอาแต่นั่งกอดเข่าซบหน้าลงบนแขนตัวเองไม่พูดไม่จานานหลายนาที ก่อนจะตัดสินใจทำลายความเงียบลง
“ไม่สมเป็นเธอเลยนะ พริกแกง”
“อย่ามาพูดเหมือนรู้จักกันดีได้มั้ย ทั้งที่นายไม่รู้อะไรเลย” คนน้องตอบเสียงอู้อี้ ใบหน้ายังซบแขนอยู่ดังเดิม
อีกฝ่ายชอบพูดเหมือนกับเราสนิทกัน แต่มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วันแท้ ๆ คนปั่นประสาทและปากเสียแบบเขา ถ้าใครเคยรู้จัก คงลืมไม่ลงหรอก
“ฉันอาจจะรู้จักเธอดีกว่าที่คิดก็ได้”
“พูดอะไร?”
“หึ”
กวนประสาท...
น้ำเสียงทุ้มเข้ม สีหน้าเรียบนิ่ง บวกกับแววตาจริงจังเมื่อครู่นี้ เกือบทำเธอเชื่อแล้วว่าเขาเป็นห่วงกัน ถ้าไม่มีคำพูดและเสียงในลำคอเหมือนกำลังเยาะเย้ยหยัน แถมยังกระตุกยิ้มมุมปากชวนหัวเสียตามมานั่นอีก
ตานี่ต้องเป็นไบโพลาร์แหง เหมือนจะปลอบแต่ก็แค่เหมือน
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ไม่นานเสียงนิ่งก็เอ่ยทำลายความเงียบอีกหน
“รู้มั้ย เรื่องบางเรื่อง ถ้าเล่าให้คนแปลกหน้าฟัง มันอาจจะดีกว่าเก็บไว้คนเดียวก็ได้นะ”
Phikkaeng Part
แม้จะพยายามไม่สนใจ แต่ฉันกลับคิดตามในสิ่งที่เขาพูด
มันก็จริง เรื่องที่เก็บไว้ตอนนี้ ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้เลย แม้แต่เพื่อนสนิทหรือครอบครัว เพราะมันอาจส่งผลกระทบกับหลายฝ่าย ซึ่งฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
ถ้าแด๊ดดี้รู้ท่านคงไม่ยอมอยู่เฉยแน่ แต่ถ้าเป็นคนไม่รู้จัก ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็น่าจะพอได้
อีกอย่างยูนิกซ์ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร ถึงจะปากเสียบ่อยครั้ง แต่ดูไม่ใช่คนปากเปราะที่เก็บความลับไม่อยู่ เขาอาจจะเป็นที่ระบายชั้นเยี่ยมในเวลานี้แล้วก็ได้
ฉันมองหน้าเขา พยายามรวบรวมสติ เรียบเรียงเรื่องราวในหัวออกมาเป็นคำพูด ทั้งยังต้องข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติ
สุดท้าย ฉันก็ยอมเปิดปากเล่าทุกอย่างออกมาให้เขาฟัง
“...วันนี้เพื่อนฉันป่วย” ลองเปิดเรื่องหยั่งเชิง ลอบมองปฏิกิริยาว่าเขามีท่าทีอย่างไร หรือกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่ อยากรู้ว่าเขาอยากฟังจริงไหมหรือแค่พูดส่ง ๆ เพราะเห็นฉันเศร้า
สองแขนของเขาวางพาดไปบนโซฟา ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ สายตามองตรงมาที่ฉัน ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่กลับสัมผัสได้ว่าเขากำลังรอฟังสิ่งที่ฉันกำลังจะเล่าอย่างตั้งใจ เห็นแบบนั้นฉันจึงเล่าต่อ
“แฟนของเพื่อนมารับฉันให้ไปอยู่เป็นเพื่อน หมายถึงเพื่อนที่ป่วยน่ะ...”
“เดี๋ยวนะ?” คนหน้ามึนที่คิ้วขมวดเอ่ยขัดขึ้น
“อะไรอีก กำลังจะเล่านี่ไง”
“บอกชื่อมาเลย มาเพื่อนอยู่ได้ คนฟังมันงง”
“ฉันไม่อยากให้รู้ว่าเป็นใคร คนแค่อยากระบาย”
“บ๊อง” แน่ะ! ว่ากันอีกแล้วนะ
“รู้ไปก็เท่านั้นแหละ อย่าลืมว่าฉันไม่รู้จักเพื่อนเธอสักคน” ก็จริงของเขา ฉันนึกในใจพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเริ่มใหม่
“แผ่นดินขอให้ฉันไปอยู่เป็นเพื่อนข้าวฟ่างที่ป่วย สองคนนี้เป็นแฟนกัน แล้วก็เป็นเพื่อนฉันทั้งคู่ โอเคมั้ย?”
“อืม เล่าต่อสิ”
“ตอนกำลังขึ้นลิฟต์ไปหาข้าวฟ่างที่ชั้น 15 คนที่ขึ้นมาพร้อมกับฉันเขาลงที่ชั้น 14 เรื่องมันเริ่มจากตรงนี้”
“จังหวะที่ฉันกำลังก้มหยิบของแล้วเงยขึ้น ดันเหลือบไปเห็นคนรู้จักก่อน คนนั้นกำลังวิ่งลงบันไดหนีไฟพอดี มันอยู่สุดทางติดกับตรงนั้นเป็นห้องของน้ำหนาว เพื่อนอีกคนที่เพิ่งย้ายไปอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน แล้วก็เจอพี่ใยไหม เลขาของแฟนฉันอยู่ที่ชั้นนั้นด้วย”
“แล้วข้าวฟ่างกับน้ำหนาวไม่รู้จักกัน?”
“รู้จักสิ เราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน”
“แล้วทำไมไอ้หมอนั่นต้องมาตามเธอ ไม่ตามน้ำหนาวไป?”
“เอ๊ะ! ก็กำลังจะเล่า ฟังก่อนสิ” ฉันหันไปมองค้อนใส่คนชอบขัด รอก่อนไม่ได้หรือไง ตอนนี้ฉันเริ่มเหมือนคนเป็นไบโพลาร์อยู่กับเขาอาการเศร้าแทบหายเป็นปลิดทิ้ง เปลี่ยนเป็นหัวเสียแทน
ถามเก่งจังพ่อคุณ!
เห็นนิ่ง ๆ แบบนี้แต่ก็ดูขี้เผือกเหมือนกันนะบางที ได้แต่ค่อนขอดในใจไม่กล้าพูดออกไป ปากฉันร้ายสู้หมอนี่ไม่ได้หรอก
“ฉันก็คิดเหมือนนาย”
“อะแฮ่ม!”
“หิวน้ำเหรอ? ไปกินสิ ทุกวันนี้ห้องฉันแทบจะเป็นห้องนายอยู่แล้วนี่” ขอเหน็บหน่อยแล้วกัน
“ไม่มีอะไร เล่าต่อสิ”
“อ่า" พยักหน้าแล้วเล่าต่อ "แผ่นดินมันบอกว่าข้าวฟ่างโทร. หาน้ำหนาวแล้ว แต่น้ำหนาวไม่อยู่ จริง ๆ ข้าวฟ่างไม่ได้อยากรบกวนฉันด้วยซ้ำ แผ่นดินมันแอบโทร. มา”
“แล้วคนที่เธอเจอ?”
“พี่แทนไท”
“แฟนเธอ” เขาเลิกคิ้วถาม สีหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ วินาทีนั้นฉันเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเขาในตอนนี้หรอก
ใครจะไปคิดว่าคนรักจะกล้าโกหกว่าติดงาน แต่ไปโผล่อยู่แถวห้องเพื่อนฉันกับเลขาสาวได้ล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกจุกในอก
อดคิดไม่ได้เลยว่าตลอดเวลาที่เขาอ้างว่าติดงาน แท้จริงแล้วเขาเอาเวลาที่ควรเป็นของเราไปใช้กับคนอื่นหรือเปล่า
ส่วนคนข้าง ๆ นี่จะรู้จักพี่แทนไทก็ไม่แปลก เพราะฉันกรอกหูเรื่องแฟนให้เขาฟังทุกวัน เพื่อย้ำเตือนว่าฉันมีเจ้าของแล้ว อย่าหวังมาคิดอะไรเกินเลยมากไปกว่าที่เป็นอยู่ มันเป็นไปไม่ได้
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า คนที่ฉันพยายามผลักไส จะกลายมาเป็นคนที่ฉันกล้านั่งปรับทุกข์ด้วยอย่างสบายใจ (เฉพาะตอนที่เขาไม่หยิกหลังกันด้วยคำพูดน่ะนะ)
“มันไปทำไม” คำว่ามันเสียงดังจนฉันเผลอสะดุ้ง
“ไม่รู้” ถ้ารู้จะมานั่งคิดมากไหมเล่า ตานี่ก็ถามแปลก
ตอนนั้นลึก ๆ ในใจฉันก็อยากตามไป แต่พอคิดภาพเพื่อนกับแฟนร่วมมือกันแทงข้างหลัง แข้งขามันดันก้าวไม่ออกเสียดื้อ ๆ
แถมจุดที่พี่แทนอยู่กับจุดที่ฉันยืนมันดันเป็นคนละฝั่งกัน ต่อให้จะวิ่งไปท้วงถามกันซึ่ง ๆ หน้าก็ไม่มีทางตามทัน
“จะบอกว่าไอ้นั่นกับเพื่อนคนนั้น ร่วมมือกันหักหลังเธอ?” ฉันหลุดหัวเราะเบา ๆ กับคำว่า ‘ไอ้นั่น’ ของเขา ดูเหมือนจะมีคนโกรธนำฉันไปแล้วแฮะ เพราะในประโยคมีความแอบแซะ แอบจิกกัดเบา ๆ ตามประสาคนปากร้ายหน้ามึน แต่วันนี้ฉันไม่เถียงกลับหรอก เหนื่อยล้าจนปวดสมองหมดแล้ว
“ฉันไม่รู้ แต่ถ้ามันไม่มีอะไร น้ำหนาวจะโกหกข้าวฟ่างทำไม จริงมั้ย?”
“เพื่อนเธออาจไปทำธุระจริง ๆ ก็ได้ หรือไม่อีกคนก็โกหก”
“แล้วพี่แทนล่ะ ทำไมไปอยู่ที่นั่น”
“เธอถามฉัน? แล้วฉันจะไปถามใคร มันเป็นแฟนเธอ ไม่ใช่แฟนฉัน” ไหวไหล่ตอบ “เธอเองก็กรอกหูฉันมาตลอดเองไม่ใช่เหรอ ว่าเขารักเธอมาก เขาเป็นผู้ชายอบอุ่นแสนดี” ท้ายประโยคมีความเลียนแบบเสียงเล็กเสียงน้อยเสียงแปดเสียงเก้า ตอนฉันเล่าถึงพี่แทนไทให้เขาฟัง บอกทีว่าตานี่ไม่ได้ประชด - -
“ไม่ต้องมาทำหน้าด่าฉันในใจแบบนั้น เธอบอกเองว่าเขาดี เธอเชื่อมั่นในตัวเขา เหมือนที่เขาเชื่อมั่นในตัวเธอ ทั้งที่เธอมีข่าวกับใครไปทั่ว”
“มันก็ใช่ แต่หลังกลับจากคอนโดฯ ข้าวฟ่าง ฉันแวะไปหาพี่แทนที่ห้อง เขาเมาหนักมาก...และเราก็ทะเลาะกัน”
“เรื่อง?”
“เรื่องส่วนตัวย่ะ ห้ามยุ่ง! นั่นแหละ แล้วเขาก็ตวาดใส่ฉันแถมยังพูดจาไม่ดีมาก ๆ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็เลยคิดว่า มันต้องมีอะไรที่ฉันยังไม่รู้อีกแน่ ๆ” ฉันมั่นใจ
ป๊อก
“โอ๊ย! ทำบ้าอะไรของนาย เจ็บนะ” ยกมือขึ้นลูบหน้าผากป้อย ๆ มองเขาอย่างเคียดแค้น ตาบ้านี่ดีดมาได้ แถมแรงด้วยนะ ทำร้ายร่างกายกันแบบนี้ เดี๋ยวก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายซะเลยนี่!
“ไม่น่าเชื่อ คนแบบเธอจะคิดเยอะขนาดนี้”
“ก็คนปะ!"
"เหรอ? นึกว่ากิ้งกือ เมื่อกี้ตอนนั่งม้วนเธอเหมือนอยู่นะ"
"ยูนิกซ์!"
“...รักเขามากเลยเหรอ” ไม่ทันจะได้โวยวายอะไร ศิราณีร่างยักษ์ข้างกายก็ดันยิงคำถามใส่ก่อน ความร้อนบนหัวถูกดับด้วยเสียงเรียบเย็น ชวนขนลุกจนใจหวิว เสียงเขาเหมือนเจือปนไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร
แต่มันกลับทำให้ฉันเลือกตอบความจริงออกไป
“ใช่สิ เขาเป็นผู้ชายในฝันเลยนะ”
“?”
“เขาเหมือนรักแรกในวัยเด็กของฉัน ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาการใจสั่นแบบไร้เหตุผลมันคืออะไร จนมาเกิดขึ้นอีกครั้งตอนเจอพี่แทน ถึงได้รู้ว่านั่นคือความรัก”
“เพ้อเจ้อ คนจะเป็นจะตายเพราะรักเมื่อกี้ไปไหนแล้วล่ะ?”
“นายนั่นแหละ เอาแต่ปั่นหัวจนฉันรวนไปหมดแล้วเนี่ย!”
อีกอย่างคำพูดเมื่อครู่นี้น่ะ เป็นความรู้สึกยามนึกไปถึงเรื่องราวในสมัยเด็ก...ฉันไม่ได้นึกถึงพี่แทนไทสักนิด
“รู้นะว่าเธอไม่ค่อยชอบฉัน” ก็แน่สิ เขาเป็นผู้ชายที่จิกเก่งอย่างกับไก่ ใครจะไปชอบล่ะ “แต่ขออะไรอย่างได้มั้ย”
“อะไร?” ขอได้สิ แต่จะให้ไหม นั่นน่ะอีกเรื่อง
“จะรักใครก็ได้ ขอแค่อย่ารักใครมากกว่าตัวเอง เหมือนที่ทำวันนั้นอีก”
~ End Phikkaeng Part ~
- 10 ปีต่อมา -“เฮียขา ~”“ว่าไงครับคนสวย” ร่างสูงย่อตัวนั่งยองบนส้นเท้า กางแขนรอรับร่างลูกสาวคนสวยที่วิ่งยิ้มแป้นผมปลิวมาแต่ไกล ด้านหลังเด็กสาวผมเปียมีหนุ่มน้อยผิวขาวจัดตัดผมสีน้ำตาลธรรมชาติ ดวงตาคม รับกับริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่ทำเพียงยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้พูดอะไรหลังจากลูกสาวคนแรกคลอดได้ไม่ทันครบปี พริกแกงก็ตั้งท้องลูกชายอีกคน คราแรกยูนิกซ์ค้านหัวชนฝา เพราะไม่อยากเห็นแม่ของลูกต้องทรมานอีก แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเมียรักอยู่ดีทว่ารอบนี้มีการปรึกษาหมออย่างละเอียด และโชคดีที่เจ้าลูกชายเป็นเด็กดีตั้งแต่อยู่ในท้อง ไม่มีใครแพ้ท้องอาเจียนจนเป็นลมล้มพับเหมือนตอนท้องลูกสาว มีเพียงภรรยาที่ติดกลิ่นสามี ต้องตามติดแจไปไหนไปกัน ซึ่งเขาชอบมากที่เป็นอย่างนั้น ส่วนตอนคลอดเจ้าหนูก็คลอดง่ายดายต่างจากยัยแสบลิบลับฮันนี่ พรรณิกา เรเลอร์ตัน เด็กสาวแก้มป่องกับผิวขาวอมชมพูที่ใครเห็นก็อยากฟัด สีผมและนัยน์ตาดำสนิทเหมือนผู้เป็นพ่อ ตากลมโตฉายแววความดื้อรั้นมาตั้งแต่ยังไม่ทันครบขวบดี ปากนิดจมูกหน่อยดูจิ้มลิ้ม เป็นเด็กสดใสร่าเริง ไม่กลัวคน ไม่ยอมใคร แสบเหมือนแม่ แต่ติดความกวนนิด ๆ เหมือนพ่อ เป็นตัวของตัวเอง และที่สำคัญ
“ฮะ...เฮีย ฮึก”“คนดีเป็นอะไรครับ?” เสียงร้องเบา ๆ ทว่าเจ็บปวดจากคนตัวเล็ก ปลุกคนที่กำลังหลับใหล ให้ดีดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจสุดขีดหมอคินกำชับนักกำชับหนา ช่วงนี้ให้ดูแลพริกแกงอย่างใกล้ชิด แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคืนนี้ เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่มีสัญญาณเตือนอะไรอย่างที่ไอ้หมอบอกไว้ ดีที่เขาพยายามตื่นตัวและเตรียมความพร้อมตลอดเวลา“นะ...หนูเจ็บ”“อดทนหน่อยนะครับ” เสียงสั่นเทาเอ่ยปลอบทั้งภรรยาตัวเล็กและตัวเอง เขาพยายามตั้งสติห้ามมือไม้ไม่ให้สั่น แม้จะเตรียมตัวตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่เอาเข้าจริง เขากลับตื่นเต้นจนแทบทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเห็นชุดนอนเมียรักเปียกชุ่มไปด้วยน้ำคร่ำ อกด้านซ้ายยิ่งสั่นระรัวเหมือนจะหลุดออกจากอกยูนิกซ์จำคำเตือนของไอ้หมอได้ขึ้นใจ เมื่อไหร่ที่พริกแกงมีอาการน้ำเดิน นั่นหมายความว่า มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่เจ้าตัวน้อยจะออกมาลืมตาดูโลกภายในสิบสองชั่วโมง ถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขาจะได้เจอหน้าคนที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่ยังไม่เคยเจอกันสักครั้งว่าที่คุณพ่อทั้งตื่นเต้น ดีใจ และตกใจแต่ก็ไม่ลืมช้อนอุ้มภรรยาขึ้น กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากห้องด้วยความระมัดระวัง โดยมี
“ค่อย ๆ ลุกนะคะคุณยู มาค่ะดิฉันช่วย”“ปล่อยครับ ผมลุกเองได้ ทำไมกูมาอยู่ที่นี่ได้วะ แล้วเมียกูไปไหน ไอ้เจฟ!” เอ่ยปฏิเสธคนที่ทำท่าจะเข้ามาช่วยพยุง เขาไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาถูกเนื้อต้องตัว แม้จะเป็นพยาบาลก็ตาม ก่อนประโยคหลังจะหันมาถามคนสนิท แต่คนที่ยืนอมยิ้มในความหวงตัวของเจ้านายกลับไม่ทันตอบ เสียงระคายหูของคนมาใหม่ ก็ทำให้คนที่เพิ่งพยุงตัวเองลุกพิงหัวเตียงได้ตวัดตามองไม่พอใจ“ตื่นมาก็ร้องหาเมียเลยนะมึง”ทำไมนอกจากหน้าไอ้เจฟ ตื่นมาคนที่เจอต้องเป็นมัน! คนที่เขาไม่อยากเห็นหน้ามากที่สุดตอนนี้ด้วย! โชคดีที่โผล่มาแค่ตัวเดียว ถ้าอีกคนมาด้วย มันคงหัวเราะเยาะเขาจนเสียงแหบหรือไม่ก็คอแตกตายไปแล้วมั้ง“มึงมาทำไมไอ้เจย์”“มาดูคนกระจอก” ตอบเสียงนิ่ง พลางปัดหน้าจอดูงานทำเป็นไม่ใส่ใจ แตกต่างจากความเป็นจริงพอเขารู้ข่าวว่าน้องชายถูกหามส่งโรงพยาบาลก็รีบมาดู แต่สภาพน่าอดสูของมัน กลับทำเขาอดยิ้มเยาะในความน่าสมเพชไม่ได้เกิดมาตากแดดตากลม อดหลับอดนอนลากยาวติดต่อกันแค่ไหนไอ้ยูก็ไม่เคยป่วย แต่วันนี้มันกลับโดนเสียบสายน้ำเกลือเพราะแพ้ท้องแทนเมีย ผู้ชายห่าอะไรแพ้ท้องหนักไม่พอ ยังเหม็นกลิ่นตัวเองหนักถึงขนาดเป็น
“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่าตัวเล็ก” เสียงทุ้มเอ่ยถามภรรยาด้วยความห่วงใยเขายืนหวีผมให้เมียรักเหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำก่อนนอนทุกวัน ทว่าวันนี้กลับสังเกตเห็นใบหน้าหวานที่สะท้อนผ่านกระจกมีสีหน้าเศร้าหมองเหมือนคนคิดไม่ตก ทำให้อย่างยูนิกซ์อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้เขาชอบเห็นใบหน้าสวย ๆ ของภรรยาประดับไปด้วยรอยยิ้มมากกว่า ไม่ชอบใบหน้าอมทุกข์อย่างเช่นตอนนี้เลยสักนิดพริกแกงจับมือใหญ่ของสามีที่วางอยู่บนบ่า พลางบีบเบา ๆ สบสายตาคมผ่านกระจกบานใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะระบายลมหายใจหนัก หันมาเอ่ยกับคู่ชีวิตด้วยเสียงแผ่วเบาไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรเก็บมาคิดหรือใส่ใจ“จู่ ๆ ช่วงนี้หนูก็คิดถึงข้าวฟ่างขึ้นมา ผ่านมาเป็นปีแล้ว ไม่รู้เธอจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างนะคะ”“หนูเป็นห่วงผู้หญิงคนนั้นเหรอ”“ก็มีบ้างค่ะ” หากไม่นับเรื่องแทนไท ข้าวฟ่างก็นับเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เธอกับข้าวฟ่างคอยช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันมาตลอด แต่เพราะอีกคนพลาดที่มอบหัวใจให้คนผิด ไปรักผู้ชายเห็นแก่ตัวที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เรื่องมันถึงต้องจบลงแบบนั้น แต่ถึงจะไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ เธอก็ไ
“ทำอะไรอยู่ครับ หืม?” คุณสามีที่เพิ่งกลับมาจากทำงาน เดินเข้าไปสวมกอดภรรยา พร้อมกดปลายจมูกโด่งลงบนแก้มนิ่มฟอดใหญ่ด้วยความคิดถึงนับวันเขายิ่งรู้สึกทั้งรักทั้งหลงยัยตัวเล็กมากขึ้นทุกวัน กลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ พอได้กอดรัดฟัดเหวี่ยงคนในอ้อมแขน ได้สูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเรือนผมนุ่ม ก็ทำให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันหายเป็นปลิดทิ้ง เหมือนได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง“อ่านบันทึกค่ะ”“ไม่เบื่อเหรอ เฮียเห็นหนูอ่านแทบทุกวัน”“ไม่เบื่อค่ะ ก็มันเป็นจุดเริ่มต้นของเรานี่คะ” เสียงหวานเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน พริกแกงไม่เคยลืมเลือน เธอสามารถอ่านมันได้ซ้ำ ๆ ทุกวันไปตลอดชีวิต ทุกตัวอักษรคือเรื่องราวทั้งสุขและทุกข์ก่อนที่เราสองคนจะสมหวัง แล้วเธอจะเบื่อได้อย่างไรไม่มีทาง“แต่ตอนนี้หนูหยุดอ่าน แล้วมาช่วยเฮียก่อนได้มั้ยครับ?”“หือ ช่วยอะไรคะ”“อาบน้ำให้เฮียหน่อยค่ะคนดี”“...แต่หนูเพิ่งอาบไปเองนะ”“อาบแล้วก็อาบอีกได้ มาครับเมีย เฮียจะทำความสะอาดให้ทุกซอกทุกมุมเลย” แม้จะทำสีหน้าเหมือนไม่ยินยอมกับคำพูดสองแง่สองง่ามของสามี แต่เธอก็อ้าแขนออกกว้างให้เขาเข้ามาอุ้ม เรียกรอยยิ้มเอ็นดูได้ไ
“มันกวนตีนแบบนี้มานานแล้วน้องรัก เธอแค่ยังไม่เห็น!”“ถ้ามึงไม่หยุด ผมจะโทร. บอกเมียคุณนะ”“โอ๊ย ถ้าขึ้นมึงแล้ว ก็ไม่ต้องผม ๆ คุณ ๆ หรอกเพื่อนรัก” พี่เขยเอ่ยเย้า แต่พอเห็นน้องเขยในคราบเพื่อนสนิททำท่าขอโทรศัพท์จากการ์ดด้านล่าง ชานนท์ก็รีบรูดซิปปาก แล้วกลับไปนั่งเงียบ ๆ ข้างเจนิกซ์แต่โดยดี“น้องมึงแม่งชอบขู่”“กูก็โดน” พอได้ฟังเจนิกซ์ตอบก็ยิ่งต้องเงียบเสียงกว่าเดิมพี่มันยังไม่เว้น แล้วเพื่อนจะเหลืออะไรล่ะคร้าบ“กลับมาต่อนะครับ เหตุผลแค่นี้เองเหรอเนี่ยที่ทำให้เธอจำพี่ใจดีไม่ได้? งั้นพี่ช่วยตอบเพื่อนผมหน่อยสิว่าทำไม”“ที่ผิวคล้ำ เพราะช่วงนั้นบ้าเล่นเซิร์ฟครับ ครั้งแรกที่เราเจอกัน พี่ก็เพิ่งกลับจากแข่งเซิร์ฟ ส่วนทำไมผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นถึงเป็นสีน้ำเงิน มันเป็นของแจกน่ะ พี่ได้มาตอนไปลงทะเบียนแข่งครับ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก แล้วปล่อยให้เข้าใจผิดตั้งนาน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงชอบกวน...” ยูนิกซ์ลดไมค์ลงครู่หนึ่ง ก้มลงไปใกล้ใบหูสีแดงของว่าที่ภรรยา เขาพูดเสียงกระซิบทว่ายกไมค์ขึ้นจ่อปากไว้“พี่กวนเฉพาะคนสนิท แต่กับหนู...พี่อยากกวนทั้งตัวทั้งใจเลยครับที่รัก”หลังส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอเสร็จ แขกเหรื่อแล