ณ ห้างสรรพสินค้า ดิโอน่า พาราไดซ์
ร้านอาหารสไตล์อเมริกัน
ฉันนั่งมองกองภูเขาอาหารที่ไอ้พี่แบล็คมันเป็นคนตักมาใส่จานฉันเอา ๆ โดยไม่สนใจเลยว่าฉันจะกินหมดหรือกินทันที่พี่เขาตักมาให้ไหม
ใช่ค่ะ! ตอนนี้ฉันกำลังนั่งรับประทานอาหารกับไอ้พี่แบล็ค ไม่พอยังมีพี่โลคามาด้วย กรี๊ดดดดดด ยัยด้าแอบมากระซิบบอกฉันว่าเธอเป็นคนชวนพี่โลคาออกมาทานอาหาร นางเลยอุตส่าห์มาชวนฉันด้วย เพราะนางรู้ว่าฉันนั้นจะต้องดีใจที่ได้เจอพี่โลคาแน่นอน
แต่ดันนนน!!! มีไอ้พี่แบล็คอยู่ด้วยพอดี พี่เขาเลยขอมาทานอาหารด้วยกัน เพราะได้ยินว่าฉันจะมาด้วย เห็นยัยด้าว่ามางี้ เลยทำให้ตอนนี้ไอ้พี่แบล็คมันถึงได้มานั่งอยู่ด้วยกันนี่ไง!
“เลิกตักให้ฉันสักทีดิ๊! ไอ้พี่บ้า ฉันจะกินไม่ทันอยู่แล้วโว้ย!” ฉันใช้มือป้องปากหันไปพูดกัดฟันกับไอ้พี่แบล็คด้วยเสียงเบา ๆ ฉันนั่งข้างพี่แบล็ค ส่วนยัยด้านั่งข้างพี่โลคา โชคดีที่พี่เขาไม่ได้สนใจเราสองคนสักเท่าไหร่
“แดก ๆ เข้าไปเถอะน่า ตัวก็นิดเดียว ไม่รู้แดกหรือดมตัวถึงได้ไม่โตสักที” คำว่า ‘โต’ ของพี่เขาดันใช้สายตามองมาที่หน้าอกของฉันอย่างดูถูก จนยัยด้าหลุดขำออกมาเฉย ฉันเลยหันไปมองมันด้วยสายตาโมโหแทน
หน๋อยไอ้พี่บ้า คอยดูนะ ถ้าพี่โลคาไม่มาด้วยฉันคงได้มีเตะยอดหน้าไอ้พี่แบล็คไปแล้ว ต้องคีพลุคเป็นสาวอ่อนโยน ท่องไว้ยัยเลเน่!
เฮ้อ...ฉันถอนหายใจก่อนจะหันกลับมามองอาหารตรงหน้าต่อ แต่สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับสายตานิ่ง ๆ ของคนข้างหน้าเข้า คือว่าฉันนั่งฝั่งตรงข้ามกับพี่โลคา และตอนนี้พี่เขากำลังมองฉันอยู่ แต่เพียงแค่แว้บเดี๋ยวเท่านั้นนะ เล่นเอาฉันเขินไปหมดเลย ><’
“พี่คาคะ ตักอันนี้ให้ด้าหน่อยสิ ด้าตักไม่ถึงอะ” เสียงเล็ก ๆ ของยัยด้าเอ่ยดังขึ้นเมื่อเธอตักสปาเกตตีไม่ถึง ฉันมองพี่โลคาที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่การกระทำของพี่เขาก็คือพี่เขาเอื้อมมือมายกจานสปาเกตตีสลับกับอีกจานให้พอดีกับยัยด้า นางจะได้ตักถึง ใจฉันกระตุกเล็กน้อย แต่ฉันก็พยายามไม่คิดอะไรไปมากกว่านี้ คงไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดหรอก ยัยด้าเป็นเพื่อนรักฉันนะ ทำไมฉันถึงต้องรู้สึกตงิดใจกับท่าทางของเธอด้วยเนี่ย เลิกคิดเลิกคิด!
และแล้วการทานอาหารก็ผ่านพ้นไปด้วยดี(มั้ง) ไม่รู้สิ ทำไมฉันถึงได้รู้สึกหรือคิดไม่ดีกับยัยด้ายังไงไม่รู้ เหมือนยัยด้าให้ฉันมาดูเธอสวีทกับพี่โลคามากกว่า เหมือนเธอจะจับคู่แบบว่าฉันกับพี่แบล็ค ส่วนเธอก็กับพี่โลคางี้ แต่คงไม่ใช่หรอก ฉันคงคิดมากไปเอง
ยัยด้านางก็รู้ว่าฉันชอบพี่โลคา นางไม่มีทางทำแบบนั้นหรอกจริงไหมล่ะ ฉันรีบสะบัดความคิดไม่ดีออกจากหัวไปแล้วเดินตามพวกเขาต่อ ยัยด้าตอนนี้กำลังเดินเกาะแขนพี่โลคาโดยเดินนำเราสองคนอยู่ ส่วนฉันกับพี่แบล็คก็กำลังเดินตามหลังพวกพี่เขาแทน
“หึ” อยู่ดี ๆ ไอ้พี่บ้าข้างฉันก็เกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ที่หัวเราะขึ้นมาพร้อมกับใช้สายตามองไปยังพี่โลคากับยัยด้า แถมสายตาที่พี่เขาใช้มองมันไม่โอเคสักเท่าไหร่ สำหรับการที่พี่เขามองเพื่อนฉันด้วยสายตาแบบนั้น
“หัวเราะไรของพี่ ผีอะไรเข้าสิงละนั่น” พี่แบล็คหันมามองฉันพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างโมโห ที่ฉันดันไปด่าพี่เขาว่าเป็นบ้าเป็นบอเข้า ก็ใครใช้ให้พี่เขามามองเพื่อนฉันด้วยสายตาแย่ ๆ แบบนั้นล่ะ
“ไม่มีเพื่อนที่ดีกว่านี้ให้มึงเลือกคบแล้วเหรอ?” ฉันมองพี่แบล็คอย่างไม่เข้าใจ ว่าเขาต้องการจะสื่อความหมายอะไรออกมา
“พี่หมายความว่าไง?” ฉันถามเขาออกไปอย่างสงสัย ว่าทำไมพี่เขาจะต้องมาพูดแบบนี้ด้วย ถึงจะเป็นคนที่ฉันสนิทมากอย่างพี่แบล็ค ฉันก็ไม่ชอบหรอกนะที่พี่เขาจะมาด่าเพื่อนรักของฉัน
“ถ้าไม่โง่ก็น่าจะดูออก...แต่มึงมันเสือกโง่นี่นะสิปัญหา”
“เอ๊ะ! -*- ไอ้พี่บ้านี่!”
“มีอะไรกันหรือเปล่าเน่” สองคนข้างหน้าหยุดเดินแล้วหันมามองเราสองคนที่คล้ายกับกำลังจะเปิดศึกทะเลาะกัน เพราะฉันและพี่แบล็คพูดกันเสียงดังมาก ก็ใครใช้ให้พี่เขาอยู่ดี ๆ ก็มาด่าฉันว่าโง่เฉยล่ะ นิสัยเสียจริง ๆ
ถ้าไม่ติดว่าพี่โลคากำลังมองอยู่นะ ฉันจะจัดการด่าน้ำไหลไฟแล่บใส่ไอ้พี่บ้านี่แล้ว ฮึ่ย!
“ไม่มีอะไรหรอกด้า” นางด้าพยักหน้าให้ฉันเสร็จก็เดินเกาะแขนพี่โลคาต่อ ส่วนฉันก็หันไปมองพี่แบล็คอย่างโมโห แล้วดูพี่เขาสิดันมาแลบลิ้นใส่ฉัน เพราะเห็นว่าฉันสู้ไม่ได้และกำลังคีพลุคเป็นสาวน้อยน่ารักอยู่ ได้ทีแกล้งฉันใหญ่เลย
เราทั้งสี่คนเดินเล่นเรื่อยเปื่อยดูนู่นดูนี่กันจนล่วงเลยเวลาดึกพอประมาณแล้ว ไม่สิดึกมาก -*- เพราะทางห้างกำลังประกาศว่าใกล้จะปิดทำการในอีกสิบห้านาทีนี้แล้ว อืม...เดินมานานพอสมควรเลยแฮะ แต่ฉันกับพี่โลคาก็ไม่มีอะไรคืบหน้ากันเลยสักนิด ฉันไม่มีโอกาสได้คุยกับพี่เขาเลย
ส่วนพี่เขาเอาแต่เงียบและพูดน้อยสุด ๆ ส่วนฉันนะเหรอสายคุยมาก ฉันคุยกับยัยด้าเสียงแจ๋ว และยังมีทะเลาะกับไอ้พี่แบล็คด้วยนิดหน่อย ส่วนมากพี่โลคาจะคุยกับยัยด้าไม่ก็พี่แบล็คซะส่วนใหญ่ แต่กับฉันพี่เขาไม่พูดะไรด้วยเลยสักคำ มันน่าน้อยใจจัง T^T
ฉันก็ชวนพี่เขาคุยนะแต่พี่เขาก็ไม่ค่อยตอบอะไรกลับมาเลยนะสิ จนไม่นานยัยด้าก็เข้ามาเปลี่ยนเรื่องคุยแทน คงเพราะเธอเห็นละมั้งว่าพี่โลคาไม่ตอบอะไรฉันเลย เสียใจวุ้ยยย เฮ้อออ
“ไอ้คา กูฝากมึงไปส่งยัยนี่ด้วยละกัน” หลังจากที่เราทั้งสี่คนเดินมาถึงที่จอดรถของห้าง ไอ้พี่แบล็คก็ฝากฝังให้พี่โลคาไปส่งฉันด้วย ฉันกำลังจะหันไปถามว่าพี่แบล็คมันจะไปไหนก็ไม่ทันซะละ เพราะมันวิ่งออกไปแล้วนะสิ แต่ยังดีที่รู้งานนะ คิคิ
“แต่ทางกลับบ้านของเน่ กับทางกลับบ้านของฉันกับพี่คามันคนละทางกันเลยนะยัยเน่” ยัยด้าที่เงียบมานานพูดขึ้นหลังจากที่พี่แบล็ควิ่งออกไปได้ไม่นาน จริงอย่างที่ยัยด้าบอก เห็นว่าบ้านพวกเขาอยู่ติดกันเลย แง้ เสียดายจัง
“งั้นเดี๋ยวฉันกลับเองก็ได้ ขอบใจมากนะแกที่พามาเลี้ยงข้าว” ฉันยิ้มให้นางด้าก่อนจะยกมือไหว้พี่โลคาที่ยืนเงียบฟังเราสองคนพูดคุยกัน ฉันบอกลามันเสร็จก็เดินออกไปจากตรงนี้
อืม...น่าจะพอมีรถผ่านอยู่นะ เวลานี้รถเมย์คงยังไม่หมดระยะหรอกมั้ง จะขึ้นแท็กซีกลับก็ไม่ได้ มีหวังโดนนายแม่ด่าหูฉีกแน่ ๆ แม่ฉันขี้งกจะตายไป
“พี่หิวไหมคะ เดี๋ยวเน่จะได้ไปจัดโต๊ะให้” ฉันเดินเข้าช่วยพี่โลคาถอดเสื้อนอกออก จากนั้นก็ถือเสื้อนอกไว้ในมือตัวเอง พลางถามคนตรงหน้าที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงานเหนื่อย ๆพี่โลคาตอนนี้ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแทนแม่พี่เขาแล้ว พ่วงด้วยดูแลมหา’ลัยแยกอีก แต่ดีที่การดูแลมหา’ลัยไม่ได้ลำบากมากนัก เพราะการเป็นอธิการบดีไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลทุกวันเหมือนกับโรงพยาบาล จึงไม่ใช่งานหนักอะไรพี่โลคาของฉันไม่ได้จบปริญาโทเท่านั้น แต่พี่โลคาใฝ่เรียนจนจบเด็กเตอร์เหมือนกับพ่อแม่ของตัวเองได้ในอายุที่ยังน้อย ส่วนฉันจบตรีได้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว T^T“ครับ มานี่ก่อนเร็ว” ฉันเดินเข้าไปหาพี่โลคาด้วยสีหน้ายิ้ม ทุกครั้งที่พี่เขากลับมักจะอ้อนแบบนี้ตลอด ฉันรู้ดีว่าพี่เขาจะทำอะไร เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาพี่เขาก็มักจะทำแบบนี้เสมอเวลาที่กลับมาบ้านหรือว่าจะออกไปทำงานฟอด~ “หายเหนื่อยเลยครับ” ปากหวานตลอด ฉันไม่อยากจะบอกเลยว่ายิ่งอยู่กับพี่โลคานานขึ้นพี่โลคาก็มักจะทำอะไรที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเสมอ ไม่ว่าจะชอบชมฉัน ชอบเซอร์ไพรส์ทุกครั้งที่เป็นวันเกิดหรือวันครบรอบ เอาเป็นว่าพี่เขาโรแมนติกมากขึ้นเรื่อย ๆ เ
“รับผิดชอบยัยหนูด้วยการหมั้นไงละครับ” หมั้นอย่างนั้นเหรอ! “หา! หมะ...หมั้นเหรอคะ!” ฉันมองแม่พี่โลคากับพี่โลคาสลับกันไปมาด้วยความตกใจ “เรียนจบเมื่อไหร่แม่สัญญาว่าจะรีบจัดงานแต่งงานให้ไวที่สุดเลย เพราะงั้นหนูเลเน่รีบเรียนให้จบไว ๆ นะลูก ส่วนเรื่องมหา’ลัยถ้าหนูอยากกลับมาเรียนที่เดิมก็ไม่เป็นปัญหา แม่จะไปคุยกับพ่อพี่เขาให้เอง” เรื่องหมั้นฉันยังตกใจไม่หาย นี่มาเรื่องเรียนจบแล้วแต่งงานอีก ให้ตายเถอะ “เอ่อ...คือว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ หนูคงต้องขอคุยกับแม่ก่อนค่ะ” ฉันพูดออกไปด้วยความนอบน้อม เรื่องหมั้นเรื่องแต่งงานมันเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก แถมวันนี้แม่ฉันก็ไม่ได้มานั่งฟังด้วย เพราะงั้นฉันต้องไปเล่าให้แม่ฟังก่อน “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลย เดี๋ยวแม่จะไปคุยกับพราวเองจ้ะ” ฉันยิ้มให้แม่พี่โลคา แต่ภายในใจก็รู้สึกกังวลกลัวว่าแม่ฉันจะไม่ยอม เอาจริงแล้วฉันดีใจมากที่จะได้หมั้นกับพี่โลคา แต่แค่กลัวว่าที่พี่เขาทำแบบนี้มันจะเป็นเพราะโดนบังคับให้ทำหรือเปล่า พี่เขาเต็มใจใช่ไหม...เวลา 13.23 น. “พี่โลคาแน่ใจแล้วเหรอคะว่าอยากจะหมั้นกับเน่จริ
ผลั๊ก! เสียงกระชากเปิดประตูของฉันดังขึ้น เรียกความสนใจให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ตรงโซฟาต่างหันมามองที่ฉันเป็นทางเดียว ฉันพยายามใช้มือลูบผมที่กำลังยุ่งให้ดูเรียบร้อยขึ้นแล้วเดินไปยกมือไหว้แม่พี่โลคาด้วยท่าทางเกร็ง แม่พี่โลคาเองก็พยักหน้ารับไหว้ฉันเหมือนกัน “หนะ...หนูอธิบายได้นะคะ ท่านกำลังเข้าใจผิด” ฉันพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก รีบเดินไปทางแม่พี่โลคาเพื่อจะอธิบายเรื่องนี้ไปในทางที่ดี แม้ฉันจะต้องโกหกท่านก็เถอะ แต่เพื่ออนาคตพี่เขาแล้วฉันจะทำตัวน่าสงสัยแบบนี้ไม่ได้ “ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น เห็นเต็มสองตาขนาดนี้ยังจะแก้ตัวอะไรได้อีก” แม่พี่โลคาพูดในขณะที่สายตายังคงจ้องหน้าลูกชายตัวเองด้วยความโมโห “ท่านคะ! เป็นความผิดหนูเองค่ะ คือ...คือหนูอะ...อ่อยพี่เขาค่ะ! หนูสัญญาค่ะว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก” ฉันวิ่งเข้าไปนั่งกอดขาแม่พี่โลคาพลางพูดรัวพูดมั่วไปหมด คิดอะไรได้ก็พูดเพื่อให้พี่โลคาไม่ซวย “ยัยหนู!/หนูเลเน่!” ฉันมองทั้งสองคนด้วยความงุนงง เนื่องจากทั้งสองต่างพากันเข้ามาจับฉันให้ยืนขึ้น “เลเน่ ทำไมหนูทำแบบนี้ละลูก” ฉันมึนเ
“อ๊า” ฉันนอนหอบหายใจเมื่อตัวเองได้ปลดปล่อยบางอย่างออกมา ฉันรู้สึกโล่งตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่เพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะตอนนี้ฉันกำลังจะกลับมาเกร็งอีกรอบเมื่อเห็นว่าพี่โลคาขยับตัวลงมานั่งติดกับส่วนนั้นของฉัน “พะ...พี่โลคา” ฉันพูดด้วยเสียงหอบหมายจะห้ามพี่เขา แต่ทำไมเหมือนกับว่าตรงส่วนนั้นมันขยายใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมได้ล่ะ แถมมัยยังกระตุกขยับไปมาเล็กน้อยอีกด้วย “รู้ตัวไหมเวลาที่ยัยหนูนอนพูดด้วยสีหน้าแบบนั้นมันทำให้พี่มีอารมณ์มากขึ้นแค่ไหน” พี่โลคาชักรูดส่วนนั้นของตัวเองพลางมองหน้าฉันไปด้วย ไม่นานพี่โลคาก็ใช้แขนมาค้ำยันลงที่ข้างหูฉัน อีกมือก็จัดการจับเจ้าส่วนนั้นของพี่โลคามาถูที่น้องสาวสุดหวงของฉันไปด้วย “อือ ดะ...เดี๋ยวสิคะ” แม้ฉันจะร้องห้ามแต่ขาทั้งสองข้างของตัวเองกลับขยับออกห่างเองโดยอัตโนมัติ เพื่อให้สิ่งนั้นถูไถได้ง่ายขึ้น “ชอบเหรอครับ” พี่โลคายิ้มมุมปาก พลางก้มหน้าจ้องมองฉันที่กำลังใช้มือปิดปากตัวเองไว้เพราะไม่อยากส่งเสียงน่าเกลียดออกมา แต่ภายในใจจริง ๆ ก็กำลังก่นด่าตัวเองด้วยที่ดันไปขยับขาออกเพื่อรับสัมผัสอย่างน่าอับอาย “ส
“ปล่อย” ฉันพูดด้วยเสียงนิ่งและจริงจังเพื่อให้อีกคนรับรู้ว่าฉันไม่ได้พูดเล่น ส่วนพี่โลคานางก็เลิกยุกยิกกับฉันเลยเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มจะไม่มีท่าทีเล่นแล้ว “ยัยหนู...” พี่โลคากอดเอวฉันจากทางด้านหลังไว้หลวม ๆ พลางเกยคางไว้บนไหล่ของฉัน จากนั้นนางก็เริ่มเรียกฉันแบบที่ชอบเรียกด้วยเสียงอ้อน “ออกไป เน่ขอร้อง” เสียงของฉันเริ่มจะสั่นเครือแล้ว ความรู้สึกของฉันมันเริ่มจะไม่เชื่อฟังตัวฉันซะแล้ว ยอมรับเลยว่าวันนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมาก แต่มันเป็นความสุขที่ฉันจะต้องเก็บเอาไว้ภายใต้จิตใจของฉัน ฉันพยายามแสดงออกให้พี่เขาเห็นมากที่สุดว่าฉันไม่ต้องการกลับไปยุ่งกับพี่เขาแล้ว “อย่าไล่พี่ ยัยหนูไม่รักพี่แล้วงั้นเหรอ” ฉันจุกกับคำพูดของพี่เขาจนตัวเองนั่งนิ่งเงียบไป ไม่รักงั้นเหรอ เหอะ! ถ้าฉันไม่รักพี่เขาฉันก็คงไม่ยอมให้ตัวเองมาทรมานแบบนี้หรอก “…” พี่โลคาจับฉันให้นั่งหมุนตัวหันไปตรงหน้าพี่เขา เราสองคนต่างมองตากันด้วยความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าอีกคนคิดอย่างไรกับเรา ใบหน้าพี่เขาเริ่มเลื่อนเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อย ๆ “คิดถึง” พี่
กลับไปก็ต้องรีบไปทำควิซอีก เพื่อเก็บคะแนนตรงนี้ให้เป็นคะแนนช่วยเวลาที่คะแนนสอบออกมาได้ไม่ดีอะไรแบบนี้ วิชานี้เป็นวิชาที่ยากมากพอสมควรเลยคอนโดเลเน่ พอฉันเปิดประตูเข้าไป จมูกก็ได้กลิ่นหอมออกมาจากทางห้องครัว ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่าใครเข้ามาในห้องของฉันถ้าไม่ใช่พี่โลคา ส่วนที่นางเข้ามาได้อย่างไรอันนี้ฉันคงไม่ต้องไปคิดให้ปวดหัว คงจะใช้อำนาจอีกนั่นแหละ “กลับมาแล้วเหรอครับ หิวไหม?” พี่โลคาหันกลับมามองฉันที่เดินตามกลิ่นหอมยั่วยวนนี้เข้ามาในห้องครัว ฉันแอบตกใจและแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นพี่โลคาในมุมที่ใส่ชุดแบบนี้ พี่เขาสวมผ้ากันเปื้อนลายกระต่ายสีชมพูของฉันอยู่นะสิ อยากขำนะแต่ต้องเก๊กหน้านิ่งเอาไว้ก่อน “ใครอนุญาตให้พี่เข้ามาทำอาหารในนี้กันคะ” ฉันยืนกอดอกพูดกับพี่เขาด้วยน้ำเสียงเข้มแบบที่พี่เขาเคยทำใส่ฉัน “พี่อนุญาตตัวเอง ไปนั่งรอก่อนจะเสร็จแล้ว” คนหน้ามึนพูดจบก็หันกลับไปทำกับข้าวต่อโดยไม่สนใจเลยว่าฉันยืนจ้องตาเขม็ง สุดท้ายฉันก็ต้องยอมแพ้ออกมานั่งเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อทำควิซแทน “ยากจัง” ฉันนั่งทำควิซมาได้สักพักแล้วแต่ก็ยังไม่เ