5 ไปส่งปะล่ะ? เสียงแตรรถที่ดังขึ้นทำให้ฉันละสายตาจากโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นไปมองผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถ เขาส่งยิ้มให้มาให้ฉันอย่างจริงใจในขณะที่ฉันทำเพียงแค่หรี่ตาเท่านั้น “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” “ไม่ค่ะ” ฉันตอบแทบจะทันทีหลังจากนั้นก็ก้มหน้ากดหาเลขอู่รถแถวนี้ “สวัสดีค่ะพอดีรถยางแบนน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าพอจะสะดวกมาเปลี่ยนให้ไหมคะที่ลานจอดรถตึก X คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.K ค่ะ” “ขอโทษด้วยนะครับพอดีว่าช่างของเราเลิกงานกันหมดแล้ว ถ้ายังไงขอเป็นพรุ่งนี้เช้าได้ไหมครับ” ฉันกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิดกับคำตอบที่ได้รับ บางทีฉันอาจจะไปขอนอนกับเพื่อนที่หอพักของนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยก็เป็นได้ “ได้ค่ะ” หลังจากนั้นฉันก็บอกรายละเอียดข้อมูลไปก่อนจะกดวางสาย ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจ้องมองอยู่ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อตอนเหลือบตาขึ้นไปมองก็เห็นผู้ชายคนเดิมยังคงนั่งอยู่ในรถ คราวนี้ฉันรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลสักเท่าไหร่นัก พอมองซ้ายมองขวาก็รับรู้ถึงความเปลี่ยววังเวงขึ้นมา “คุณไม่ต้องกลัวผมหรอก ผมมาดีแค่เห็นว่ารถคุณยางแบนก็เท่านั้น” “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันโทรเรียกช่างแล้ว” ฉันตอบอย่างขอไปที “ป่านนี้แล้วยังมีอู่เปิดอีกเหรอครับ” เขาพูดพลางย่นคิ้วอย่างฉงนผิดกับริมฝีปากที่คลี่ยิ้มออกมาคล้ายจะรู้ทันอยู่ในที “ผมตั้งใจมาช่วยคุณจริงๆ นะครับ” “ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันเริ่มเสียงแข็งใส่ เมื่อคิดว่าถึงพูดไปก็ดีแต่ต่อความยาวสาวความยืดเสียเปล่าๆ ฉันจึงสาวเท้าเลี่ยงออกมาตั้งใจว่าจะเดินไปที่หอพักนักศึกษาแพทย์ เสียงเปิดปิดประตูรถที่ดังไล่หลังมาทำให้ฉันต้องซอยเท้าถี่ขึ้นแม้ว่ารองเท้าส้นสูงที่ใส่อยู่จะไม่อำนวยก็ตาม “จะไปไหนเหรอคุณ” “นายตุ่น!” ฉันเรียกชื่อเขาเสียงดังจนเจ้าตัวชะงักไปเล็กน้อย ชั่วหนึ่งความดีใจแล่นเข้ามาก่อนที่ฉันจะสลัดความรู้สึกนั้นไปอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ตัวว่าเผลอดันคิดอะไรแปลกๆ ออกมา “เรียกแบบนี้กะให้หูหนวกเลยหรือไงคุณ” หมอนั่นมองฉันด้วยสายตาไม่พอใจ “ก็ฉัน...” “ฉัน?” “ช่างเถอะ นายเห็นผู้ชายคนที่เดินตามหลังฉันมาไหม ใช่เด็กคณะนายหรือเปล่า” “...ไม่นะ พวกมึงรู้จักไหม” นายตุ่นหันไปถามพวกเพื่อนข้างหลัง และคำตอบที่ได้ก็คือการส่ายหน้าเป็นพัลวัน “มีอะไรหรือเปล่าคุณ” “เอ่อ...ไม่มีหรอก ฉันไปก่อนนะ” ฉันตัดสินใจที่จะไม่บอกเพราะว่ากันตามตรงมันก็ไม่ใช่กงการอะไรของพวกเขา “กลัวจนหน้าซีดขนาดนั้นยังจะปากแข็งอีก! แล้วนั่นจะเดินไปไหน ผมนึกว่าคุณจอดรถไว้ที่นี่เสียอีก” “รถฉันยางแบน” “มีล้อสำรองไหมเดี๋ยวช่วยเปลี่ยน” “มันแบนทั้งสี่ล้อเลย!” ฉันแหวเสียงดัง “เสียงดังอีกแล้ว” นายตุ่นว่าพลางหรี่ตาเอานิ้วแคะหูอย่างกวนๆ “คุณจะไปไหนเดี๋ยวผมไปส่งก็ได้ อ๊ะ! ห้ามปฏิเสธนะ ผู้ชายคนนั้นยังหลบอยู่หลังต้นไม้อยู่เลย” “จะ...จริงเหรอ” “ใช่ดิ แหมคุณนี่เสน่ห์แรงถึงขนาดมีสตอล์กเกอร์เลยนะเนี่ย เอ้าตามผมมา ผมจอดรถไว้ตรงนั้น” ฉันเดินตามนายตุ่นมาเรื่อยๆ จนถึงลานจอดรถของอีกตึกที่ฉันเจอเขาเมื่อวันก่อนนั่นแหละ ฉันย่นคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นจะมีรถคันไหนนอกจากบีเอ็มคันสีน้ำเงินเข้มที่จอดเด่นไว้อยู่ “ไหนรถนายอะ” “นี่ไง” “บีเอ็มเนี่ยนะ!” “เห็นเป็นรถจิ๊บรึไงคุณ” นายตุ่นกลอกตาก่อนจะหยิบกุญแจเปิดประตูแล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งโดยไม่สนใจอาการอ้าปากค้างของฉันสักนิด ปิ๊นนนนน! “จะไปไหมคุณ” ฉันเดินฟึดฟัดไปขึ้นรถนายตุ่นก่อนจะปิดประตูดังปังด้วยความโมโห “ปิดเบาๆ ก็ได้คุณ” “ไหนนายบอกว่านายจนไง คนจนที่ไหนเขามีบีเอ็มคันเป็นล้านขับกัน นี่นายหลอกฉันอีกแล้วใช่ไหม” แล้วที่แย่กว่านั้นฉันยังหลงเชื่อหมอนี่อีกไง หงุดหงิดๆๆ “ผมบอกคุณตอนไหน” นายตุ่นหันมาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัยหลังจากสตาร์ตรถ “ก็ตอนที่นายบอกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวนายไม่มีสักบาท!” นายตุ่นเงียบไปคล้ายจะทวนความจำก่อนจะร้องออกมา “อ๋อ! วันนั้นรถผมน้ำมันหมดแล้วดันลืมกระเป๋าตังค์ไว้ในรถไง ผมไม่ได้บอกสักคำว่าผมจน คุณนี่ชอบคิดไปเองนะเนี่ย” “นาย...” “แล้วถ้าผมจนจริง ๆ ทำไมคุณไม่คิดบ้างว่าผมอาจจะเก็บตังค์ซื้อเองก็ได้” “ตกลงว่านายจนแล้วเก็บตังค์ซื้อรถคันนี้เอง” “เปล่า พ่อผมเก็บต่างหาก” “ไอ้...” ฉันเป่าลมออกจากปากอย่างไม่รู้จะด่าเขาว่าอะไรดี และขืนด่าไปหมอนี่คงทำเป็นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวามากกว่า “ระวังความดันขึ้นนะคุณ” “หุบปากไปเลยไป!” ฉันปรายตาจิกเขา “ระวังตาเหล่นะคุณ” หมอนั่นพูดอีกรอบก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขบขันฉันจึงตัดสินใจใช้ความเงียบเพื่อตัดบทสนทนา “...” “ง่วงเหรอคุณ” “...” “เงียบไปเลย” “...” “หิวไหมคุณ” “...” นายตุ่นยังคงสรรหาคำถามต่างๆ นานาเพื่อไม่ให้ภายในรถมันเงียบจนเกินไปแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลและยิ่งเพิ่มความอึดอัดขึ้นมาเป็นเท่าตัวทุกครั้งที่เขาพูดด้วยซ้ำ ที่จริงฉันไม่ได้อะไรหรอกฉันแค่เหนื่อยกับการต่อปากต่อคำกับเขาเท่านั้นเอง “แวะกินอะไรกันก่อนนะคุณ” เขาพูดขึ้นหลังจากเงียบไปพักใหญ่ นายนั่นจอดรถเข้าเทียบริมฟุตบาทในขณะที่ฉันทำเพียงปรายตามองเขาเล็กน้อยก่อนจะเดินลงจากรถตามนายตุ่นไป ร้านที่นายตุ่นพามา...จะเรียกว่าร้านก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะมันเป็นรถเข็นที่เรียงต่อกันเป็นแถวยาว แต่ละรถเข็นก็จะมีอาหารแตกต่างกันออกไปมากกว่า ส่วนโต๊ะจะเป็นอะลูมิเนียมกับเก้าอี้หัวโล้นพลาสติกล้อมรอบเท่านั้น “นั่งสิคุณ หรือนั่งเก้าอี้แบบนี้ไม่เป็น” แทนคำตอบฉันก็หย่อนก้นนั่งลงไปหมอนั่นดูเสียเลยก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะหึพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากมาจากนายตุ่น ไม่นานนักคนที่ฉันเดาว่าน่าจะเป็นพนักงานก็เอาแก้วน้ำที่ใส่น้ำแข็งก้อนเล็กพร้อมหลอดดูดมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะก่อนจะหยิบสมุดปากกาออกมาจากกระเป๋าหน้าผ้ากันเปื้อน “รับอะไรดีคะ” “เล็กต้มย้ำครับ” นายตุ่นตอบก่อนจะปรายตามาทางฉัน คิ้วเข้มของเขาเลิกคิ้วสูงขึ้นมา “จะเอาอะไรคุณ สั่งเป็นไหม” “เส้นเล็กน้ำแบบต้มยำนะคะ” “คุณจะสั่งให้มันยืดยาวทำไม” “...” “นี่คุณจะไม่พูดกับผมจริงๆ เหรอ” “...” “คุณกินเต็มที่เลยนะ มื้อนี้ผมเลี้ยง” “มันควรจะเป็นแบบนั้น” ฉันละสายตาจากการมองรถวิ่งสวนกันไปมาตามท้องถนนแล้วหันมาตอบนายตุ่นเสียงเรียบนัยน์ตานิ่ง “เอ้อทำไมรถคุณถึงยางแบนอะ” “ไม่รู้” “คุณมีศัตรูที่ไหนหรือเปล่า” ฉันเงียบอย่างนึกคิด ศัตรูงั้นเหรอ...ฉันไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เพราะที่ผ่านมานอกจากส้มกับกลุ่มของยูฉันก็ไม่รู้จักใครมากนัก “ไม่มีนะ” ฉันตอบเสียงเบา “แน่ใจเหรอคุณ บางทีหน้าหยิ่งๆ ของคุณอาจจะไปทำให้ใครหมั่นไส้เอาก็ได้” “ถ้าเป็นแบบที่นายพูดจริงคนที่น่าสงสัยที่สุดน่าจะเป็นนายไม่ใช่เหรอ” ฉันตั้งข้อสังเกตพลางจ้องตาอีกฝ่ายอย่างนึกหาความผิดปกติเช่นการหลบตา แต่เปล่าเลย... นอกจากนายตุ่นจะยังไม่หลบตาแล้วหมอนี่ยังจ้องตาฉันกลับอย่างไม่สะทกสะท้านอีกด้วย สุดท้ายแล้วก็เป็นฉันเองที่เป็นฝ่ายถอนสายตาออกมาก่อนพอดีกับพนักงานคนเดิมเอาก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ “คุณปรุงรสด้วยสิ” “ฉันไม่ชอบปรุง” “ชีวิตขาดสีสันแย่” นายตุ่นเบ้ปากเล็กน้อยก่อนจะตั้งใจกินของตัวเองต่อไป เสียงสูดเส้นเข้าปากของอีกฝ่ายทำให้ฉันย่นคิ้วลง “กินดีๆ ได้ไหม น้ำก๋วยเตี๋ยวมันกระเด็นใส่ฉัน” ฉันบอกเสียงเอ็ด “กินแบบคุณมันไม่อร่อยหรอก เส้นเล็กนะไม่ใช่เส้นสปาๆ อะไรนั่นที่ต้องพันช้อนส้อมแล้วค่อยเอาเข้าปากน่ะ” เขาว่าก่อนจะยกถ้วยก๋วยเตี๋ยวขึ้นก่อนจะซดน้ำลงไปจนหมดเกลี้ยง “ซูดดด อ่า...” “ไม่มีมารยาท” -___- “คุณไม่ใช่คนแรกหรอกที่ว่าผมแบบนี้” นายตุ่นไหวไหล่ขึ้นราวกับสิ่งที่ฉันพูดไปเป็นเรื่องฟ้าฝนธรรมดา “ป้าครับ! เส้นหมี่ไม่ใส่ผักอีกสองถุงแล้วเก็บตังค์เลยนะครับ” “จ้า!!” “ฮัลโหลค่ะ...อยู่ห้องไหม...เดี๋ยวซื้อก๋วยเตี๋ยวไปให้....ฟรีสิคะ....เจอกันๆ” นายนั่นพูดสายกับใครไม่รู้ก่อนจะกดวางไป นี่เป็นอีกครั้งแล้วฉันได้ยินเขาพูดคะขา ขนลุกพิลึก! “คุณมองผมตอนคุยโทรศัพท์อีกแล้ว” “ห้ะ...ขอโทษละกัน ได้ยินนายพูดคะขาแล้วมันแปลกๆ” “แปลก?” นายตุ่นเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย “แปลกยังไงคะ” “...” “ฮ่าๆๆ หน้าคุณโคตรจี้เลยว่ะ!” เขาหัวเราะออกมาอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อึ้งไปของฉันก่อนจะเดินไปจ่ายตังค์ ในขณะที่ฉันยกมือขึ้นกุมอกข้างซ้ายอย่างรู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ หัวใจมันก็ดันเต้นแรงขึ้นมา “พรุ่งนี้คุณมีเรียนกี่โมง” “แปด” “คุณค่อยโทรให้เพื่อนมารับเนาะ ผมคงไม่ใช่คนดีที่ต้องรีบตื่นมารับคุณหรอก” นายนั่นพูดสรุปก่อนจะเดินนำไปที่รถ ฉันเลยรีบลุกขึ้นตามไปก่อนจะบ่นพึมพำ “ใครจะอยากให้นายมารับกัน...”
10ตึกตัก...ตึกตัก... “คุณพิมพ์คะ”“อีกแล้วเหรอคะ”ฉันร้องถามด้วยประโยคเดิมซ้ำๆ ทุกวันเมื่อทันทีที่ฉันย่างกรายมาในคอนโดหลังจากเลิกเรียนก็จะมีเสียงจากพนักงานเอ่ยเรียกชื่อฉันเอาไว้ฉันกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายสาวเท้าไปยังล็อบบี้ก่อนจะรับดอกไม้กุหลาบแบบเดิมที่ขยันส่งมาทุกวันอย่างรำคาญ การ์ดใบเล็กที่แนบไว้ถูกฉันเพิกเฉยอีกครั้งเมื่อมันมีแต่ข้อความชวนเลี่ยนจนฉันตัดสินใจว่าจะไม่เปิดอ่านมันให้เสียสายตาอีก“ไม่ได้บอกเขาเหรอคะว่าไม่ต้องส่งมาอีก”“บอกค่ะ”“แล้วได้บอกเขาไหมคะว่าดอกไม้ทุกช่อที่ส่งมานั้นพิมพ์โยนใส่ถังขยะทุกครั้ง”“บอกค่ะ”ผู้ชายดื้อด้าน...ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วจัดการทิ้งช่อดอกไม้ลงถังขยะอีกหนอย่างไม่รู้สึกเสียดายในความสวยของมันสักนิด‘พ่อยอมลูกแล้ว...แต่เหมือนว่าฝั่งนั้นเขาจะชอบลูกจริงๆ’คำพูดของบิดายังคงวนเวียนอยู่ในสมองเมื่อตอนที่ฉันต่อสายไปถามท่านว่าจู่ๆ คนที่ชื่อแทนอะไรนี่โผล่มาได้ยังไงกัน และคำตอบที่ได้มาทำให้ฉันเบ้ปาก ชอบฉ
9ชัวร์ป้าบ!“ขอบคุณนะคุณที่มาส่ง” นายตุ่นพูดขึ้นเมื่อฉันพาเขามาเอารถที่คณะอีกครั้ง พอถามว่าทำไมไม่ขับรถของตัวเองไปตั้งแต่ทีแรกเขาก็ตอบกลับมาว่า‘เดี๋ยวคุณขับรถหนีผมไง กันไว้ก่อน’หนักใจกับผู้ชายคนนี้จริงๆ ...“ไม่เป็นไร” ฉันปรายตามองเขาแล้วบอกเสียงราบเรียบ ก่อนจะออกรถอีกครั้งถ้านายนั่นไม่วิ่งตามแล้วใช้มือเคาะท้ายรถฉันอะนะ“คุณๆ”“มีอะไร” ฉันเลื่อนกระจกรถลงก่อนจะถาม“ขอเบอร์ๆ” นายนั่นว่าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเลข“เพื่อ?” ฉันขมวดคิ้วจนย่น เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงอย่างสงสัยว่าเขาจะมาขอเบอร์ฉันทำไม จะว่าเกิดพิศวาสก็ไม่ใช่อีก ใครเขาพ่นคำกวนเบื้องล่างทุกสองนาทีแบบนี้กับคนที่ชอบกันล่ะ“เผื่อได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมไง”“นายจะตามเรื่องต่อเหรอ ฉันว่าไม่ต้องหรอก เสียเวลาเปล่าๆ”“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วไงคุณ อีกอย่างมันก็เกิดที่คณะผมด้วย ถ้าเกิดคนทำมันไม่ได้เจาะจงที่คุณขึ้นมาล่ะ บางทีพวกมันอาจจะเล็งเด็กคณะผมอยู่ก็ได้นะ”“นายนี่ดูรักคณะจังนะ”“คณะใครใครก็รักไหมคุณ พูดแปลกๆ” นายตุ่นส่ายหน้าเอือมๆ “ตกลงจะให้ไหมเนี่ยเบอร์น่ะ หรือต้องไปถูเอาตามต้นไม้เหมือนขอหวย?”“จะไม่ให้เพราะปากแบบนี้ไง คนอะไรปากร้ายชะมั
8 ว่างไหมคุณ? วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันกลับมาอ่านหนังสือกับเพื่อนกลุ่มเดิม บรรยากาศมันค่อนข้างจะดีกว่าที่ฉันคิดไว้มากพอสมควรเลยล่ะ ความอึดอัดที่ฉันมีต่อยูเริ่มน้อยลงอาจจะเป็นเพราะเราแต่ละคนต่างสนใจกับตำราเรียนจนลืมคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาก็เป็นได้ แต่ในทางกลับกันวันใดที่มีพี่คิมมาช่วยติวด้วยฉันกลับรู้สึกอึดอัดมากขึ้นทุกที ฉันสามารถสัมผัสถึงสายตาที่เขาคอยจ้องมองฉันอยู่เสมอแม้ว่าฉันจะไม่ได้มองหรือคุยกับเขาก็ตาม เหมือนอย่างวันนี้ “น้องพิมพ์” ฉันหยุดกึกทันทีเมื่อเจอพี่คิมยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ฉันเงยหน้าไปมองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแม้นัยน์ตาจะสั่นไหวไปด้วยความตื่นตระหนกก็ตาม “มีอะไรเหรอคะ” ฉันถามพลางเหลือบมองซ้ายขวาอย่างหาทางเอาตัวรอด “พิมพ์ยังไม่เลิกหายกลัวพี่เหรอครับ” “....” “พี่ไม่ได้คิดร้ายกับพิมพ์จริงๆ นะคะ” “ค่ะ” ฉันรับคำอย่างขอไปที ตั้งใจว่าจะเดินเลี่ยงแต่ร่างสูงกลับเดินตามมาขวางทำให้ฉันต้องร่นเท้าถอยหลังทันที “พี่คิมมีอะไรก็บอกมาตรงๆ ดีกว่าค่ะ” “พี่...พี่ชอบน้องพิมพ์” “...” “น้องพิมพ์ไม่ได้ตกใจเลยเหรอครับ” “นิดหนึ่ง...มั้งคะ” ฉันตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่ได้ยินดียินร้ายอ
7คนร้ายฉันก้าวฉับๆ เดินเข้ามาในบ้านของตัวเองที่ยังคงเงียบเชียบแม้ว่าจะมีการ์ดและแม่บ้านอยู่กันหลายคนก็ตาม คนแรกที่ฉันเจอหน้าก็คือป้าสายใจที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาจากห้องครัวมาหาฉันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแสดงออกถึงความดีใจแม้ว่าฉันจะออกจากบ้านนี้ไปยังไม่ถึงสองอาทิตย์ดีก็ตาม“คุณหนูของป้า จะกลับมาอยู่บ้านแล้วใช่ไหมคะ”“เปล่าหรอกค่ะ” พูดเสร็จป้าสายใจก็หน้าสลดขึ้นมาอย่างผิดหวัง ฉันก็ได้แต่ลูบหลังท่านอย่างปลอบประโลม “คุณพ่ออยู่ไหมคะ”“โรงพยาบาลโทรตามให้ไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะค่ะ ส่วนคุณผู้หญิงก็ไปทำงานเมื่อเช้านี่เอง”ทางสะดวก...“งั้นเดี๋ยวพิมพ์ขึ้นไปเอาของบนห้องก่อนนะคะ”“คุณหนูจะรับอะไรไหมคะ ของว่างดีไหม”“ไม่ล่ะค่ะ พิมพ์กะว่าจะเข้ามาเอาของแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับแล้วค่ะ” ฉันบอกแล้วคลี่ยิ้มให้ป้าสายใจก่อนจะพาตัวเองขึ้นมาบันไดมายังชั้นสองและแทนที่ฉันจะเลี้ยวซ้ายไปยังห้องนอนของตัวเอง ฉันกลับตัดสินใจเลี้ยวขวาเดินดุ่มไปยังห้องทำงานของคุณพ่อ โชคดีที่ประตูไม่ล็อกทำให้ฉันสามารถเข้าไปข้างในได้ก่อนจะกวาดมองไปทั่วห้องอย่างนึกคิดถึง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาบางครั้งฉันมักจะคิดถึงคุณพ่อคุณแม
6หลง...?“ขอบใจนะแบงค์ที่มารับ” ฉันว่าขึ้นเมื่อพาตัวเองมาอยู่ในรถเก๋งของเพื่อนที่ฉันโทรวานให้มารับให้ไปเรียนด้วยกัน“ไม่เป็นไรหรอก แล้วรถอะเรียกช่างมาแล้วใช่ไหม”“เรียกแล้ว เดี๋ยวตอนเย็นก็คงได้แล้วแหละ”“อ่าหะ”“ช่วงนี้อ่านหนังสือที่ไหนเหรอ ว่างๆ มาอ่านด้วยกันสิ”“พอดียุ่งๆ น่ะ ถ้าว่างวันไหนค่อยโทรไปนะ”แล้วภายในรถก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมามีเพียงเสียงคนพูดข่าวในวิทยุช่วงเช้าเท่านั้นที่ไม่ทำให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป ใช้เวลาไม่นานนักรถของแบงค์ก็ขับมาจอดที่หน้าตึกเรียน“พิมพ์ขึ้นไปเรียนก่อน เดี๋ยวเราเอารถไปจอด”“ขอบใจนะ”ฉันกล่าวอีกครั้งก่อนจะเดินลงมาจากรถ เวลาเหลืออีกประมาณยี่สิบนาทีกว่าจะถึงแปดโมงฉันจึงเดินไปหาอะไรกินที่เซเว่นก่อนจะขึ้นไปยังห้องเรียน“คุณครับ” ฉันชะงักเท้าเมื่อมีผู้ชายในชุดกาวน์มายืนอยู่ตรงหน้า ด้วยความที่ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วฉันจึงยกมือไหว้เขาอย่างเสียไม่ได้ถึงเขาจะเป็นผู้ชายเมื่อคืนก็เถอะ“เมื่อคืนผมไม่ได้มีเจตนาจะทำอะไรคุณนะครับ”“ค่ะ” ฉันรับคำอย่างขอไปที ถึงเขาจะเป็นรุ่นพี่แต่การที่ไปโผล่คณะของคนอื่นกลางดึกมันเป็นสิ่งที่น่าแปลกไม่ใช่หรือไง“ที่ผมตามคุณไปเพราะผมเห็
5ไปส่งปะล่ะ?เสียงแตรรถที่ดังขึ้นทำให้ฉันละสายตาจากโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นไปมองผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถ เขาส่งยิ้มให้มาให้ฉันอย่างจริงใจในขณะที่ฉันทำเพียงแค่หรี่ตาเท่านั้น“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”“ไม่ค่ะ” ฉันตอบแทบจะทันทีหลังจากนั้นก็ก้มหน้ากดหาเลขอู่รถแถวนี้ “สวัสดีค่ะพอดีรถยางแบนน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าพอจะสะดวกมาเปลี่ยนให้ไหมคะที่ลานจอดรถตึก X คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.K ค่ะ”“ขอโทษด้วยนะครับพอดีว่าช่างของเราเลิกงานกันหมดแล้ว ถ้ายังไงขอเป็นพรุ่งนี้เช้าได้ไหมครับ” ฉันกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิดกับคำตอบที่ได้รับ บางทีฉันอาจจะไปขอนอนกับเพื่อนที่หอพักของนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยก็เป็นได้“ได้ค่ะ” หลังจากนั้นฉันก็บอกรายละเอียดข้อมูลไปก่อนจะกดวางสายฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจ้องมองอยู่ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อตอนเหลือบตาขึ้นไปมองก็เห็นผู้ชายคนเดิมยังคงนั่งอยู่ในรถ คราวนี้ฉันรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลสักเท่าไหร่นัก พอมองซ้ายมองขวาก็รับรู้ถึงความเปลี่ยววังเวงขึ้นมา“คุณไม่ต้องกลัวผมหรอก ผมมาดีแค่เห็นว่ารถคุณยางแบนก็เท่านั้น”“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันโทรเรียกช่างแล้ว” ฉันตอบอย่างขอไปที“ป่านนี้แล้วยังมีอู่เปิดอีกเหรอ