5
ไปส่งปะล่ะ?
เสียงแตรรถที่ดังขึ้นทำให้ฉันละสายตาจากโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นไปมองผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถ เขาส่งยิ้มให้มาให้ฉันอย่างจริงใจในขณะที่ฉันทำเพียงแค่หรี่ตาเท่านั้น
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“ไม่ค่ะ” ฉันตอบแทบจะทันทีหลังจากนั้นก็ก้มหน้ากดหาเลขอู่รถแถวนี้ “สวัสดีค่ะพอดีรถยางแบนน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าพอจะสะดวกมาเปลี่ยนให้ไหมคะที่ลานจอดรถตึก X คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.K ค่ะ”
“ขอโทษด้วยนะครับพอดีว่าช่างของเราเลิกงานกันหมดแล้ว ถ้ายังไงขอเป็นพรุ่งนี้เช้าได้ไหมครับ” ฉันกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิดกับคำตอบที่ได้รับ บางทีฉันอาจจะไปขอนอนกับเพื่อนที่หอพักของนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยก็เป็นได้
“ได้ค่ะ” หลังจากนั้นฉันก็บอกรายละเอียดข้อมูลไปก่อนจะกดวางสาย
ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจ้องมองอยู่ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อตอนเหลือบตาขึ้นไปมองก็เห็นผู้ชายคนเดิมยังคงนั่งอยู่ในรถ คราวนี้ฉันรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลสักเท่าไหร่นัก พอมองซ้ายมองขวาก็รับรู้ถึงความเปลี่ยววังเวงขึ้นมา
“คุณไม่ต้องกลัวผมหรอก ผมมาดีแค่เห็นว่ารถคุณยางแบนก็เท่านั้น”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันโทรเรียกช่างแล้ว” ฉันตอบอย่างขอไปที
“ป่านนี้แล้วยังมีอู่เปิดอีกเหรอครับ” เขาพูดพลางย่นคิ้วอย่างฉงนผิดกับริมฝีปากที่คลี่ยิ้มออกมาคล้ายจะรู้ทันอยู่ในที “ผมตั้งใจมาช่วยคุณจริงๆ นะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันเริ่มเสียงแข็งใส่
เมื่อคิดว่าถึงพูดไปก็ดีแต่ต่อความยาวสาวความยืดเสียเปล่าๆ ฉันจึงสาวเท้าเลี่ยงออกมาตั้งใจว่าจะเดินไปที่หอพักนักศึกษาแพทย์ เสียงเปิดปิดประตูรถที่ดังไล่หลังมาทำให้ฉันต้องซอยเท้าถี่ขึ้นแม้ว่ารองเท้าส้นสูงที่ใส่อยู่จะไม่อำนวยก็ตาม
“จะไปไหนเหรอคุณ”
“นายตุ่น!” ฉันเรียกชื่อเขาเสียงดังจนเจ้าตัวชะงักไปเล็กน้อย ชั่วหนึ่งความดีใจแล่นเข้ามาก่อนที่ฉันจะสลัดความรู้สึกนั้นไปอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ตัวว่าเผลอดันคิดอะไรแปลกๆ ออกมา
“เรียกแบบนี้กะให้หูหนวกเลยหรือไงคุณ” หมอนั่นมองฉันด้วยสายตาไม่พอใจ
“ก็ฉัน...”
“ฉัน?”
“ช่างเถอะ นายเห็นผู้ชายคนที่เดินตามหลังฉันมาไหม ใช่เด็กคณะนายหรือเปล่า”
“...ไม่นะ พวกมึงรู้จักไหม” นายตุ่นหันไปถามพวกเพื่อนข้างหลัง และคำตอบที่ได้ก็คือการส่ายหน้าเป็นพัลวัน “มีอะไรหรือเปล่าคุณ”
“เอ่อ...ไม่มีหรอก ฉันไปก่อนนะ” ฉันตัดสินใจที่จะไม่บอกเพราะว่ากันตามตรงมันก็ไม่ใช่กงการอะไรของพวกเขา
“กลัวจนหน้าซีดขนาดนั้นยังจะปากแข็งอีก! แล้วนั่นจะเดินไปไหน ผมนึกว่าคุณจอดรถไว้ที่นี่เสียอีก”
“รถฉันยางแบน”
“มีล้อสำรองไหมเดี๋ยวช่วยเปลี่ยน”
“มันแบนทั้งสี่ล้อเลย!” ฉันแหวเสียงดัง
“เสียงดังอีกแล้ว” นายตุ่นว่าพลางหรี่ตาเอานิ้วแคะหูอย่างกวนๆ “คุณจะไปไหนเดี๋ยวผมไปส่งก็ได้ อ๊ะ! ห้ามปฏิเสธนะ ผู้ชายคนนั้นยังหลบอยู่หลังต้นไม้อยู่เลย”
“จะ...จริงเหรอ”
“ใช่ดิ แหมคุณนี่เสน่ห์แรงถึงขนาดมีสตอล์กเกอร์เลยนะเนี่ย เอ้าตามผมมา ผมจอดรถไว้ตรงนั้น”
ฉันเดินตามนายตุ่นมาเรื่อยๆ จนถึงลานจอดรถของอีกตึกที่ฉันเจอเขาเมื่อวันก่อนนั่นแหละ ฉันย่นคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นจะมีรถคันไหนนอกจากบีเอ็มคันสีน้ำเงินเข้มที่จอดเด่นไว้อยู่
“ไหนรถนายอะ”
“นี่ไง”
“บีเอ็มเนี่ยนะ!”
“เห็นเป็นรถจิ๊บรึไงคุณ” นายตุ่นกลอกตาก่อนจะหยิบกุญแจเปิดประตูแล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งโดยไม่สนใจอาการอ้าปากค้างของฉันสักนิด
ปิ๊นนนนน!
“จะไปไหมคุณ” ฉันเดินฟึดฟัดไปขึ้นรถนายตุ่นก่อนจะปิดประตูดังปังด้วยความโมโห
“ปิดเบาๆ ก็ได้คุณ”
“ไหนนายบอกว่านายจนไง คนจนที่ไหนเขามีบีเอ็มคันเป็นล้านขับกัน นี่นายหลอกฉันอีกแล้วใช่ไหม” แล้วที่แย่กว่านั้นฉันยังหลงเชื่อหมอนี่อีกไง หงุดหงิดๆๆ
“ผมบอกคุณตอนไหน” นายตุ่นหันมาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัยหลังจากสตาร์ตรถ
“ก็ตอนที่นายบอกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวนายไม่มีสักบาท!”
นายตุ่นเงียบไปคล้ายจะทวนความจำก่อนจะร้องออกมา “อ๋อ! วันนั้นรถผมน้ำมันหมดแล้วดันลืมกระเป๋าตังค์ไว้ในรถไง ผมไม่ได้บอกสักคำว่าผมจน คุณนี่ชอบคิดไปเองนะเนี่ย”
“นาย...”
“แล้วถ้าผมจนจริง ๆ ทำไมคุณไม่คิดบ้างว่าผมอาจจะเก็บตังค์ซื้อเองก็ได้”
“ตกลงว่านายจนแล้วเก็บตังค์ซื้อรถคันนี้เอง”
“เปล่า พ่อผมเก็บต่างหาก”
“ไอ้...” ฉันเป่าลมออกจากปากอย่างไม่รู้จะด่าเขาว่าอะไรดี และขืนด่าไปหมอนี่คงทำเป็นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวามากกว่า
“ระวังความดันขึ้นนะคุณ”
“หุบปากไปเลยไป!” ฉันปรายตาจิกเขา
“ระวังตาเหล่นะคุณ” หมอนั่นพูดอีกรอบก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขบขันฉันจึงตัดสินใจใช้ความเงียบเพื่อตัดบทสนทนา
“...”
“ง่วงเหรอคุณ”
“...”
“เงียบไปเลย”
“...”
“หิวไหมคุณ”
“...”
นายตุ่นยังคงสรรหาคำถามต่างๆ นานาเพื่อไม่ให้ภายในรถมันเงียบจนเกินไปแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลและยิ่งเพิ่มความอึดอัดขึ้นมาเป็นเท่าตัวทุกครั้งที่เขาพูดด้วยซ้ำ ที่จริงฉันไม่ได้อะไรหรอกฉันแค่เหนื่อยกับการต่อปากต่อคำกับเขาเท่านั้นเอง
“แวะกินอะไรกันก่อนนะคุณ” เขาพูดขึ้นหลังจากเงียบไปพักใหญ่ นายนั่นจอดรถเข้าเทียบริมฟุตบาทในขณะที่ฉันทำเพียงปรายตามองเขาเล็กน้อยก่อนจะเดินลงจากรถตามนายตุ่นไป
ร้านที่นายตุ่นพามา...จะเรียกว่าร้านก็ไม่ถูกนักหรอก เพราะมันเป็นรถเข็นที่เรียงต่อกันเป็นแถวยาว แต่ละรถเข็นก็จะมีอาหารแตกต่างกันออกไปมากกว่า ส่วนโต๊ะจะเป็นอะลูมิเนียมกับเก้าอี้หัวโล้นพลาสติกล้อมรอบเท่านั้น
“นั่งสิคุณ หรือนั่งเก้าอี้แบบนี้ไม่เป็น”
แทนคำตอบฉันก็หย่อนก้นนั่งลงไปหมอนั่นดูเสียเลยก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะหึพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากมาจากนายตุ่น ไม่นานนักคนที่ฉันเดาว่าน่าจะเป็นพนักงานก็เอาแก้วน้ำที่ใส่น้ำแข็งก้อนเล็กพร้อมหลอดดูดมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะก่อนจะหยิบสมุดปากกาออกมาจากกระเป๋าหน้าผ้ากันเปื้อน
“รับอะไรดีคะ”
“เล็กต้มย้ำครับ” นายตุ่นตอบก่อนจะปรายตามาทางฉัน คิ้วเข้มของเขาเลิกคิ้วสูงขึ้นมา “จะเอาอะไรคุณ สั่งเป็นไหม”
“เส้นเล็กน้ำแบบต้มยำนะคะ”
“คุณจะสั่งให้มันยืดยาวทำไม”
“...”
“นี่คุณจะไม่พูดกับผมจริงๆ เหรอ”
“...”
“คุณกินเต็มที่เลยนะ มื้อนี้ผมเลี้ยง”
“มันควรจะเป็นแบบนั้น” ฉันละสายตาจากการมองรถวิ่งสวนกันไปมาตามท้องถนนแล้วหันมาตอบนายตุ่นเสียงเรียบนัยน์ตานิ่ง
“เอ้อทำไมรถคุณถึงยางแบนอะ”
“ไม่รู้”
“คุณมีศัตรูที่ไหนหรือเปล่า”
ฉันเงียบอย่างนึกคิด ศัตรูงั้นเหรอ...ฉันไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เพราะที่ผ่านมานอกจากส้มกับกลุ่มของยูฉันก็ไม่รู้จักใครมากนัก
“ไม่มีนะ” ฉันตอบเสียงเบา
“แน่ใจเหรอคุณ บางทีหน้าหยิ่งๆ ของคุณอาจจะไปทำให้ใครหมั่นไส้เอาก็ได้”
“ถ้าเป็นแบบที่นายพูดจริงคนที่น่าสงสัยที่สุดน่าจะเป็นนายไม่ใช่เหรอ” ฉันตั้งข้อสังเกตพลางจ้องตาอีกฝ่ายอย่างนึกหาความผิดปกติเช่นการหลบตา
แต่เปล่าเลย...
นอกจากนายตุ่นจะยังไม่หลบตาแล้วหมอนี่ยังจ้องตาฉันกลับอย่างไม่สะทกสะท้านอีกด้วย สุดท้ายแล้วก็เป็นฉันเองที่เป็นฝ่ายถอนสายตาออกมาก่อนพอดีกับพนักงานคนเดิมเอาก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ
“คุณปรุงรสด้วยสิ”
“ฉันไม่ชอบปรุง”
“ชีวิตขาดสีสันแย่” นายตุ่นเบ้ปากเล็กน้อยก่อนจะตั้งใจกินของตัวเองต่อไป เสียงสูดเส้นเข้าปากของอีกฝ่ายทำให้ฉันย่นคิ้วลง
“กินดีๆ ได้ไหม น้ำก๋วยเตี๋ยวมันกระเด็นใส่ฉัน” ฉันบอกเสียงเอ็ด
“กินแบบคุณมันไม่อร่อยหรอก เส้นเล็กนะไม่ใช่เส้นสปาๆ อะไรนั่นที่ต้องพันช้อนส้อมแล้วค่อยเอาเข้าปากน่ะ” เขาว่าก่อนจะยกถ้วยก๋วยเตี๋ยวขึ้นก่อนจะซดน้ำลงไปจนหมดเกลี้ยง “ซูดดด อ่า...”
“ไม่มีมารยาท” -___-
“คุณไม่ใช่คนแรกหรอกที่ว่าผมแบบนี้” นายตุ่นไหวไหล่ขึ้นราวกับสิ่งที่ฉันพูดไปเป็นเรื่องฟ้าฝนธรรมดา “ป้าครับ! เส้นหมี่ไม่ใส่ผักอีกสองถุงแล้วเก็บตังค์เลยนะครับ”
“จ้า!!”
“ฮัลโหลค่ะ...อยู่ห้องไหม...เดี๋ยวซื้อก๋วยเตี๋ยวไปให้....ฟรีสิคะ....เจอกันๆ” นายนั่นพูดสายกับใครไม่รู้ก่อนจะกดวางไป นี่เป็นอีกครั้งแล้วฉันได้ยินเขาพูดคะขา
ขนลุกพิลึก!
“คุณมองผมตอนคุยโทรศัพท์อีกแล้ว”
“ห้ะ...ขอโทษละกัน ได้ยินนายพูดคะขาแล้วมันแปลกๆ”
“แปลก?” นายตุ่นเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย “แปลกยังไงคะ”
“...”
“ฮ่าๆๆ หน้าคุณโคตรจี้เลยว่ะ!”
เขาหัวเราะออกมาอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อึ้งไปของฉันก่อนจะเดินไปจ่ายตังค์ ในขณะที่ฉันยกมือขึ้นกุมอกข้างซ้ายอย่างรู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ หัวใจมันก็ดันเต้นแรงขึ้นมา
“พรุ่งนี้คุณมีเรียนกี่โมง”
“แปด”
“คุณค่อยโทรให้เพื่อนมารับเนาะ ผมคงไม่ใช่คนดีที่ต้องรีบตื่นมารับคุณหรอก” นายนั่นพูดสรุปก่อนจะเดินนำไปที่รถ ฉันเลยรีบลุกขึ้นตามไปก่อนจะบ่นพึมพำ “ใครจะอยากให้นายมารับกัน...”