เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ ขวัญข้าวยังคงนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นข้างประตูในความมืดสนิทของอพาร์ตเมนต์ ร่างกายไม่รับรู้ถึงความเย็นของพื้นกระเบื้องหรือความปวดเมื่อยอีกต่อไป โลกภายนอกเงียบสงัด มีเพียงเสียงความคิดในหัวที่ดังอื้ออึงจนน่ารำคาญ
เมื่อน้ำตาหยดสุดท้ายเหือดแห้งไป ความรู้สึกชาด้านก็เข้ามาแทนที่ หญิงสาวไม่ได้ฟูมฟายอีกต่อไป สภาพจิตใจว่างเปล่าราวกับถูกสูบสิ้นทุกความรู้สึก
จนกระทั่งแสงสีเทาจางๆ ของรุ่งอรุณเริ่มสาดส่องลอดผ่านช่องม่านเข้ามาในห้อง แสงสว่างนั้นเป็นเหมือนเครื่องย้ำเตือน ว่าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และมันคือวันที่เส้นตายกำลังจะมาถึง
'ผมให้เวลาคุณตัดสินใจ 24 ชั่วโมง'
เสียงทุ้มต่ำที่เย็นชาของลูเซียโน่ดังขึ้นในหัวอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ใช่แค่คำพูดที่วนเวียนอย่างไร้จุดหมาย แต่มันคือ 'นาฬิกานับถอยหลัง' ที่กระชากสติของเธอให้กลับสู่ความจริงอันโหดร้าย ความนิ่งเฉยและการจมอยู่กับความเศร้าจะไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป เธอเหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งวันในการตัดสินใจชี้ชะตาชีวิตของตัวเองและลูก
เสียงนับถอยหลังในหัวปลุกให้สมองที่เคยชาด้านเริ่มทำงานอีกครั้ง ไม่ใช่การฟูมฟาย แต่เป็นการบังคับให้ตัวเองเผชิญหน้ากับความเป็นจริงด้วยตรรกะที่โหดร้าย มันคือสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่ถูกปลุกขึ้นมา
ขวัญข้าวตระหนักได้ว่าหากจะเอาตัวรอดจากเกมนี้ไปได้ ทางเดียวคือต้องคิดเหมือนเจ้าของเกม ต้องมองทุกอย่างเป็นธุรกิจ เป็นการต่อรอง ที่มีต้นทุนและผลตอบแทน หญิงสาวบังคับให้สมองที่ว่างเปล่าเริ่มคิดวิเคราะห์ 'ทางเลือก' ทั้งสองอย่างเป็นระบบเหมือนกำลังประเมินแผนธุรกิจ
'ทางเลือกที่หนึ่ง...กำจัดปัญหา แลกกับเงินสิบล้านบาท'
ภาพในหัวฉายชัด...ภาพการรับเงินก้อนนั้นมา ก้มหน้าเดินออกจากห้องทำงานของประธานหนุ่มไปอย่างเงียบเชียบ เงินมากมายพอที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนก็ได้ แต่จะเริ่มต้นได้อย่างไรในเมื่อจิตวิญญาณได้ตายไปแล้ว
การต้องตื่นมาเห็นหน้าฆาตกรในกระจกทุกเช้า การต้องกลับไปทำงานรับใช้ผู้ชายที่สั่งให้ฆ่าลูกของตัวเอง ซ่อนความลับอันดำมืดไว้ในใจราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นไม่ใช่ชีวิต แต่มันคือการตายทั้งเป็น คือการต้องอยู่อย่างไร้จิตวิญญาณไปตลอดกาล
ขวัญข้าวส่ายหน้าช้าๆ เพื่อขับไล่ภาพอันน่ารังเกียจนั้นออกจากหัว แต่ทางเลือกที่สองที่รออยู่กลับเป็นขุมนรกที่ลึกยิ่งกว่า
'ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเลือกทางที่สองสินะ' เสียงในใจถามขึ้นอย่างสิ้นหวัง
ภาพของการอุ้มท้องอย่างโดดเดี่ยวเก้าเดือนฉายชัดขึ้นมาในความคิด การสัมผัสถึงการดิ้นของลูกน้อย การรับรู้ถึงความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นทุกวันเงียบๆ เพียงลำพัง จนกระทั่งถึงวันที่ต้องส่งมอบ 'ทายาท' ให้กับตระกูลเตโชบวรเดช-แอชธอร์น แลกกับเงินห้าสิบล้านแล้วเดินจากไป
จะทนได้อย่างไร...
จะทนได้อย่างไรกับการรู้ว่าลูกของตัวเองเติบโตอยู่ที่ไหนสักแห่งโดยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพบหน้า การต้องเฝ้ามองแก้วตาดวงใจจากเพียงหน้าข่าวสังคม เห็นเด็กคนนั้นเรียกผู้หญิงคนอื่นว่า 'แม่' และอาจจะเติบโตมาโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีผู้หญิงอีกคนอยู่บนโลกใบนี้ นี่ไม่ใช่แค่การตายทั้งเป็น แต่มันคือการถูกจองจำในนรกที่มองไม่เห็นไปตลอดกาล
หลังจากใช้เวลาเกือบทั้งคืนสำรวจขุมนรกทั้งสองแห่งในความคิด ขวัญข้าวก็ตระเกียกตะกายขึ้นมาจากวังวนนั้นพร้อมกับบทสรุปที่ชัดเจน สิ่งที่ถูกเรียกว่า 'ทางเลือก' นั้น แท้จริงแล้วมันคือ 'ทางตัน'
ทั้งสองเส้นทางไม่ได้นำไปสู่ทางรอด แต่เป็นเพียงรูปแบบของความพินาศที่แตกต่างกันเท่านั้น
แสงแรกของวันใหม่ค่อยๆ สาดส่องเข้ามาในห้องที่มืดมิด มันไม่ได้นำมาซึ่งความหวัง แต่กลับขับไล่ความมืดที่เคยเป็นเกราะกำบังออกไป เผยให้เห็นสภาพอันน่าเวทนาของหญิงสาวที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นมาตลอดทั้งคืน
เป็นครั้งแรกที่ขวัญข้าวขยับตัว ร่างกายที่อ่อนล้าจากการไม่ได้นอนและไม่ได้กินอะไรเลยประท้วงด้วยความเจ็บปวด หญิงสาวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพยุงตัวเองลุกจากพื้นไปเอนกายนั่งพิงโซฟา สองตาเหม่อลอยมองไปยังแสงอาทิตย์ที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ แต่ในใจกลับมืดบอดไร้ซึ่งหนทาง
ท่ามกลางความเหนื่อยล้าและสิ้นหวังนั้นเอง มือข้างหนึ่งก็เลื่อนไปวางบนหน้าท้องที่ยังคงแบนราบอีกครั้งโดยอัตโนมัติ สัมผัสแผ่วเบานั้นเป็นเหมือนจุดศูนย์กลางเดียวที่ยึดเหนี่ยวสติที่ใกล้จะขาดสะบั้นไว้ เป็นสิ่งเดียวที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นท่ามกลางความเย็นเยียบที่เกาะกุมหัวใจ
'แม่ขอโทษ...แม่ขอโทษนะลูก'
หยดน้ำตาที่ไม่คิดว่าจะเหลืออยู่แล้วไหลรินลงมาอีกครั้ง แต่มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความกลัวเหมือนเมื่อคืน หญิงสาวไม่ได้ขอโทษที่กำลังจะมีลูกขึ้นมา แต่ขอโทษที่ดึงลูกเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ ขอโทษที่พ่อของลูกเป็นผู้ชายที่ไร้หัวใจ และขอโทษที่แม่คนนี้อ่อนแอเกินไป
และในวินาทีที่ความคิดนั้นผุดขึ้น คำว่า 'อ่อนแอ' ก็เหมือนสวิตช์ที่ถูกสับขึ้นในใจ
ความคิดหนึ่งพลันสว่างวาบขึ้นในหัว มันคือทางเลือกที่ไม่ได้มาจากลูเซียโน่ แต่มาจากตัวของขวัญข้าวเอง ข้อเสนอทั้งสองข้อนั้นตั้งอยู่บนสมมติฐานเดียวกัน นั่นคือความอ่อนแอและความต้องพึ่งพิงของเธอ
อำนาจที่แท้จริงของชายหนุ่มไม่ได้อยู่ที่เงินหรืออิทธิพล แต่อยู่ที่ความจริงที่ว่าหญิงสาวไม่มีที่ไป ความผูกพันที่หล่อนมีต่อตระกูลคือโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นซึ่งถูกใช้เป็นประโยชน์
แล้วถ้าหากโซ่ตรวนนั้นไม่มีอยู่จริงล่ะ ถ้าไม่ยอมเล่นในเกมที่ถูกวางไว้ให้ ถ้าไม่ต้องการอะไรจากโลกใบนั้นเลยสักอย่าง ถ้าปฏิเสธมันทั้งหมด?
ความคิดนั้นในตอนแรกดูบ้าบิ่นและเป็นไปไม่ได้ การปฏิเสธข้อเสนอหมายถึงการกลายเป็นศัตรู หมายถึงการสูญเสียทุกอย่าง งาน ที่พักพิง และความมั่นคงทั้งหมดในชีวิต สมองของหญิงสาวเริ่มทำงานอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่การจมอยู่กับความเศร้า แต่เป็นการคำนวณความเสี่ยงอย่างรวดเร็ว
เงินเก็บที่มีอยู่ไม่มากจะพอใช้ได้นานแค่ไหน? จะหางานใหม่ได้อย่างไรในสภาพที่กำลังจะตั้งครรภ์? จะเลี้ยงลูกคนเดียวได้อย่างไร? และที่สำคัญที่สุด จะหลบหนีจากอำนาจของตระกูลเตโชบวรเดช-แอชธอร์นที่สามารถพลิกแผ่นดินตามหาได้ทุกเมื่อไปได้ตลอดรอดฝั่งจริงหรือ
ภาพความยากลำบากฉายชัดขึ้นมาในหัว ความอดมื้อกินมื้อ การต้องย้ายไปอยู่ในห้องเช่าราคาถูก การถูกสังคมตีตราว่าเป็น 'แม่เลี้ยงเดี่ยว' และการต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอดชีวิต มันคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามและความไม่แน่นอน
แต่แล้ว ท่ามกลางภาพความลำบากทั้งหมดนั้น มีภาพหนึ่งที่สว่างชัดเจนขึ้นมา ภาพของหญิงสาวที่กำลังกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมแขน...ลูกที่เป็นของเธอคนเดียว ไม่มีใครมาพรากไปได้ ภาพรอยยิ้มแรก เสียงหัวเราะแรก สัมผัสจากมือน้อยๆ ที่กุมนิ้วของเธอไว้แน่น
ภาพนั้นทำให้ความกลัวทั้งหมดกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปในทันที
เมื่อนำทุกอย่างมาชั่งน้ำหนัก ระหว่างชีวิตที่สุขสบายแต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณในฐานะผู้หญิงที่ขายลูกตัวเอง กับชีวิตที่ยากลำบากแต่ได้ครอบครองสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในโลกไว้ในอ้อมแขน...คำตอบก็ชัดเจนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อิสรภาพและการได้เป็น 'แม่' ของลูก มีค่ากว่าเงินมหาศาลนั้น มีค่ากว่าทุกสิ่งในโลกนี้
เมื่อความคิดตกผลึก ความเด็ดเดี่ยวก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างราวกับสายน้ำที่เย็นเยียบแต่ทรงพลัง ร่างบางที่เคยอ่อนล้ากลับมีพลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ขวัญข้าวพยุงตัวเองลุกขึ้นยืน เดินตรงไปอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยชุดที่ดูดีที่สุดเท่าที่มี
ทุกการกระทำไม่ใช่เพื่อการเจรจา แต่คือการเตรียมตัวประกาศสงคราม
หญิงสาวนั่งลงหน้าจอแล็ปท็อป นิ้วที่เคยสั่นเทาเมื่อคืน บัดนี้กลับวางลงบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างมั่นคง ไม่มีการร่างจดหมายตัดพ้อหรือฟูมฟาย มีเพียงความตั้งใจที่จะตอบโต้กลับไปด้วยภาษาเดียวกับที่เจ้านายหนุ่มเคยใช้ ภาษาของธุรกิจที่ไร้หัวใจ
อีเมลฉบับแรกจึงถูกร่างขึ้นอย่างรวดเร็วและเย็นชา
ไม่สิ...ไม่ใช่ทางอีเมล หญิงสาวเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย การสื่อสารที่เป็นทางการเกินไปคือการเปิดช่องให้มีการตอบกลับอย่างเป็นทางการ เธอนั่งลงหน้าจอแล็ปท็อป เปิดโปรแกรมสนทนาที่ใช้คุยงานกับเขาขึ้นมาแทน นิ้วที่เคยสั่นเทาเมื่อคืน บัดนี้กลับวางลงบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างมั่นคง ก่อนจะพิมพ์ข้อความที่คิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วลงไป
คุณหลุยส์ เกี่ยวกับข้อเสนอ 2 ข้อสำหรับ 'เรื่องส่วนตัว' ที่คุณยื่นมาเมื่อวานนี้ ดิฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะขอปฏิเสธทั้งสองข้อเสนอ
นี่จะเป็นการติดต่อกันครั้งสุดท้ายในเรื่องนี้
จากนั้นหน้าต่างอีเมลใหม่ก็ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เป็นจดหมายลาออกอย่างเป็นทางการที่ส่งตรงถึงฝ่ายบุคคล โดยไม่ลืมที่จะใส่ชื่อของเขาในช่องสำเนา
ถึง: ฝ่ายทรัพยากรบุคคล
สำเนา (CC): ลูเซียโน่ เตโชบวรเดช-แอชธอร์น
หัวข้อ: เรื่อง ขอลาออกจากการเป็นพนักงาน
เรียน ฝ่ายทรัพยากรบุคคล
ดิฉัน นางสาวขวัญข้าว กันต์สิน ตำแหน่งเลขานุการประธานกรรมการบริหาร มีความประสงค์ขอลาออกจากการเป็นพนักงานของบริษัท LTA Group โดยให้มีผลทันทีนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขวัญข้าว กันต์สิน
อีเมลทั้งสองฉบับถูกร่างเสร็จสมบูรณ์ เคอร์เซอร์เมาส์กะพริบอยู่บนปุ่ม 'Send'
วินาทีนั้นเองที่คลื่นความหวาดกลัวลูกสุดท้ายซัดเข้ามาในใจอย่างรุนแรง นี่คือการเผาทำลายสะพานทั้งหมดที่เชื่อมโยงชีวิตที่ผ่านมา คือการประกาศตัวเป็นศัตรูกับผู้ชายที่ทรงอิทธิพลที่สุดเท่าที่เคยรู้จัก
ปลายนิ้วชะงักค้างอยู่เหนือปุ่มเมาส์
แต่แล้วสัมผัสอุ่นๆ จากฝ่ามืออีกข้างที่วางทาบลงบนหน้าท้อง ก็ดึงสติกลับมาพร้อมกับความจริงที่สำคัญที่สุด...ว่าการต่อสู้นี้ไม่ได้มีแค่ตัวเองคนเดียวอีกต่อไป
ขวัญข้าวหลับตาลง แล้วกดคลิกเมาส์
คลิก
เสียงแจ้งเตือนว่าอีเมลถูกส่งออกไปแล้วดังขึ้นในความเงียบ มันเป็นเสียงที่แผ่วเบาแต่กลับทรงพลังราวกับเสียงปืนประกาศสงคราม
ขวัญข้าวยังคงนั่งหลังตรงอยู่หน้าจอแล็ปท็อป แววตาที่จ้องมองหน้าจอสว่างวาบนั้นแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว ไม่มีความลังเลหลงเหลืออยู่อีกต่อไป
ไม่ได้มีความรู้สึกโล่งใจ แต่เป็นความสงบนิ่งที่น่าประหลาด...ความสงบของคนที่ได้เลือกเส้นทางของตัวเองแล้ว
การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตได้สิ้นสุดลง และตอนนี้ สงครามเพื่ออิสรภาพของเธอกับลูก เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง