วันต่อมาน้ำตาลลองไปโรงพยาบาลตามที่หมอแนะนำ เพราะเมื่อตอนดึกเธอรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่ ถ้าอาการป่วยยังรุมเร้าอยู่แบบนี้ รับรองว่างานของเธอไม่มีทางคืบหน้าแน่ ๆ
[คุณเองเหรอ]
“...”
[คุณจำผมได้หรือเปล่า]
“...”
“อ้อจริงสิ คุณคงไม่เข้าใจภาษาของผม” สายตาของหมอโฟกัสไปที่ประวัติคนไข้อีกครั้ง
“คุณรู้ได้ยังไง” น้ำตาลแปลกใจที่อยู่ ๆ เขาก็พูดภาษาที่เธอฟังออกขึ้นมา
“ก็ที่คุณระบุในนี้” เขาชี้ไปที่แฟ้มประวัติคนไข้ “คุณไม่ใช่คนที่นี่สินะ”
“อ๋อ” น้ำตาลโล่งใจ เธอเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ คิดว่าตัวเองกำลังกรอกประวัติอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐที่ประเทศไทยซะอีก
“ผมก็ว่าอยู่ว่าทำไมวันนั้นคุณถึงไม่ยอมคุยกับผม”
“...” น้ำตาลไม่ได้พูดอะไร เธอนึกไม่ออกว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร แต่ว่าหมอคนนี้เป็นคนอัธยาศัยดีจัง เพราะตั้งแต่เธอเข้ามาเขาก็พูดไม่หยุดเลย
“สรุปว่าคุณจำผมได้หรือเปล่า”
“คุณรู้จักฉันเหรอ”
“คิดไว้แล้ว ว่าคุณคงจำผมไม่ได้”
“...” น้ำตาลเอียงหน้ามอง ดูยังไงเธอก็ไม่คุ้นหน้าเขาเลยสักนิด
“เราเคยเจอกันวันนั้นไง วันที่ฝนตก”
“ฝนตก...” เธอทวนคำ
“อือ...หึ”
น้ำตาลทำท่าครุ่นคิด ตั้งแต่มาที่นี่ เธอนึกไม่ออกว่าเธอเคยมีโอกาสได้เจอผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาคนนี้ที่ไหน เพราะที่ผ่านมาเธอเอาแต่คิดว่าจะทำยังไงเพื่อให้งานของเธอเสร็จไว ๆ จนไม่ทันได้สังเกตใบหน้าของใครเลยนอกจากผู้ชายคนนั้น
“นึกออกหรือยังครับ” เขาเอียงหน้ามอง ลุ้นว่าเธอจะจำเขาได้หรือเปล่า
“ขอโทษด้วยนะคะ” ภาพใบหน้าของเขาไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในสมองของเธอ
“ช่างมันเถอะ” เขาเองก็ไม่อยากเซ้าซี้ “ว่าแต่คุณมาที่นี่ทำไมครับ”
“ฉันไม่สบายมาหลายวันแล้วค่ะ มีคุณหมอคนหนึ่งแนะนำให้ฉันมาตรวจ” น้ำตาลบอกออกไป
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” เขาเอามือจับคางตัวเอง “คุณเป็นนักท่องเที่ยวเหรอครับ”
“ฉันมาทำงานค่ะ”
“คุณไม่ได้เรียนภาษาจีนมาก่อนเหรอ”
“ฉันพอจะฟังออกนิดหน่อยค่ะ แต่ถ้าให้สื่อสารคงจะต้องใช้เวลา” เธอเคยเรียนภาษาจีนตอนสมัยมัธยมปลาย
“ยังไงก็สู้ ๆ นะครับ” เขาชูสองนิ้วให้น้ำตาล เพราะคิดว่าการที่เธอไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นเป็นภษาเธอคงจะใช้ชีวิตที่นี่ลำบากน่าดู
“ขอบคุณค่ะ”
น้ำตาลไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ เพราะโดยส่วนใหญ่หมอที่เธอรู้จักตอนทำงานด้วยก็มีบุคลิกประมาณนี้
หลังตรวจเสร็จไม่นาน น้ำตาลก็ถูกเรียกเข้าไปในห้องอีกครั้งเพื่อฟังผลตรวจ เธอรู้สึกโล่งใจที่ผลตรวจออกมาปกติ ที่เธอไม่สบายก็ไม่ต่างไปจากที่เธอคาดเดาเลยสักนิด เพราะเธอไม่ชินกับอากาศของที่นี่ มันหนาวเกินไป ร่างกายของเธอปรับไม่ทันและที่สำคัญเสื้อผ้าที่เธอใส่มันบางเกินไป
“คุณควรใส่เสื้อผ้าหนา ๆ กว่านี้” เป็นรอบที่สามแล้วที่หมอย้ำกับเธอ
“คือฉันเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกค่ะ ไม่คิดว่ามันจะหนาวขนาดนี้ เดี๋ยวฉันจะไปซื้อเสื้อกันหนาวตัวหนา ๆ มาใส่” น้ำตาลแกล้งตอบไป
ไม่หรอกเธอไม่มีทางซื้อเสื้อกันหนาวตัวหนา ๆ ที่มีขนหนานุ่มได้ เพราะราคามันคงจะสูงน่าดู
“ถึงยังไงคุณก็ควรพักผ่อนอีกสักสองสามวันนะครับ แล้วค่อยออกไปทำงาน”
“ค่ะ ฉันก็คิดไว้แบบนั้น” เธอเห็นด้วยกับคำแนะนำของหมอ
“ประเทศของคุณเป็นยังไงบ้าง”
“คุณยังไม่เคยไปเหรอ”
“ยังเลย ผมเคยวางแผนกับครอบครัว หมายถึงพ่อแม่น่ะครับ ตั้งใจว่าจะลาพักร้อนแล้วไปเที่ยวที่นั่น แต่ก็ยังไม่มีโอกาสสักที”
“คุณต้องไปให้ถึงนะคะ แล้วคุณจะชอบ”
“ผมได้ยินมาว่าคนไทยใจดี แล้วคุณใจดีหรือเปล่า”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ”
“งั้นถ้าผมมีโอกาสได้ไป คุณช่วยพาผมเที่ยวหน่อย”
“ถ้าถึงตอนนั้นฉันได้กลับไปแล้วนะ”
“คุณมีแผนจะกลับประเทศของคุณเมื่อไหร่”
“เร็ว ๆ นี้ค่ะ”
“หวังว่าเราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันนะครับ”
[หมอซี คนไข้รออยู่ด้านนอกเยอะเลยค่ะ] พยาบาลสาวเดินเข้ามาสะกิด เมื่อเห็นว่าคุณหมอของเธอเริ่มออกนอกลู่นอกทาง
หมอซี หรือซีห่าว หนุ่มหล่อหน้าตี๋ เป็นหมอรักษาโรคทั่วไป เขาทำงานอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐที่ตั้งอยู่ในย่านเดียวกันกับบริษัทซอฟต์แวร์สาขาใหญ่ เขาเป็นคนอัธยาศัยดี มักจะทักทายคนแปลกน่าด้วยท่าทางที่เป็นมิตร จึงทำให้คนไข้ส่วนใหญ่รู้สึกสบายใจเวลาคุยกับเขา
[อ้อ โทษทีครับ พอดีคุยกันถูกคอน่ะ]
พยาบาลสาวเอียงหน้ามอง เพราะดูเหมือนจะเป็นหมอคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกว่าคุยถูกคอ เพราะคนไข้ก็มีท่าทีปกติ มีแต่หมอเท่านั้นที่ดูตื่นเต้น
“เสียดายที่วันนี้ผมมีคนไข้เยอะ ไม่อย่างนั้นผมจะชวนคุณออกไปดื่มชา”
“ไม่เป็นไรค่ะ” น้ำตาลยิ้มบาง ๆ ให้หมอ
“ผมชื่อหยวนซีห่าวนะครับ” อยู่ ๆ เขาก็แนะนำตัวกับเธอ “เรียกผมว่าซีห่าวหรือหมอซีก็ได้ครับ”
“อ๋อค่ะ”
“แล้วคุณล่ะครับ ไม่คิดจะแนะนำตัวให้ผมรู้จักบ้างเหรอ พอดีชื่อคุณในแฟ้มประวัติอ่านยากมากเลยครับ ผมกลัวออกเสียงไม่ถูก”
“เรียกฉันว่าน้ำตาลก็ได้ค่ะ”
“นามตาน”
“น้ำตาล” เธอเน้นคำที่เป็นภาษาอังกฤษซึ่งมีความหมายว่าน้ำตาล
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นผมขอเรียกฮันนี่ละกัน มันหวานเหมือนกัน”
“...” น้ำตาลไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขาจะเรียกอะไรก็ช่าง เพราะยังไงเธอก็คงไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีก
“เชิญคนไข้รอรับยาด้านนอกนะคะ” พยาบาลสาวเดินมาบอกอย่างสุภาพ
“ค่ะ” น้ำตาลลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที เธอนั่งรอไม่นานก็ได้รับยา แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจคือ เธอมีใบนัด หมอนัดให้เธอมาอีกครั้งในสามวันข้างหน้า เมื่อถามพยาบาลสาวก็ได้คำตอบว่าซีห่าวเป็นคนเขียนใบนัด
บริษัทซอฟต์แวร์
ตลอดสามวันที่ผ่านมามีความรู้สึกแปลกใหม่เกิดขึ้น เมื่อชายหนุ่มเอาแต่มองไปทางประตู ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน หรือแม้กระทั่งประตูทางเข้าผับ เขานึกแปลกใจที่อยู่ ๆ หญิงสาวที่เอาแต่เสนอตัวให้เขาก็หายไป หลังจากที่เขาไล่เธอออกไปจากห้องในวันนั้นเธอก็ไม่มาปรากฏตัวให้เขาเห็นอีกเลย
‘อันตรายมากเลยนะครับ’ อยู่ ๆ คำพูดของหมอก็ผุดขึ้นมา
‘เอาเป็นว่าพรุ่งนี้คุณไปที่โรงพยาบาลดีกว่าครับ หมอจะได้ตรวจให้อย่างละเอียด’
หรือเธอคนนั้นจะไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้วพบว่าตัวเองเป็นโรคร้าย เลยต้องอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือบางทีเธออาจจะยอมแพ้ไปแล้วก็ได้
‘คุณมันไม่มีความเป็นมนุษย์เลย เคยมีความเมตตา หรือมีน้ำใจกับเพื่อนมนุษย์บ้างมั้ย’
“ว่าฉันไม่มีความเป็นมนุษย์อย่างนั้นเหรอ ถ้าฉันเป็นแบบที่เธอว่า ตอนนี้เธอคงเป็นผีไปเฝ้ายมบาลแล้ว ยัยคนปากดี”
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูทำให้คนที่อยู่ในห้องตัวชาขึ้นมา เขามองไปที่ประตู แวบหนึ่งเขาคิดว่าเธอคนนั้นต้องมาป่วนเขาอีกแน่ ๆ เขาจะรับมือกับเธอยังไงดี
“เข้ามา” ไคล์อนุญาต
“บอสครับ”
“มีเรื่องอะไร”
“เรื่องที่ให้ไปสืบเมื่ออาทิตย์ก่อน” บอดี้การ์ดเว้นวรรคเพื่อหายใจ “พวกเราไปสืบมาแล้วครับ”
“อืม” เขาลืมไปแล้วว่าสั่งให้บอดี้การ์ดไปตามสืบเรื่องของน้ำตาล พอเป็นแบบนี้ก็อยากรู้แล้วสิว่าเธอเป็นใครมาจากไหน
“เธอเป็นหญิงสาวชาวไทยครับ”
“คนไทยเหรอ” เมื่อนึกย้อนไป ไคล์นึกได้ว่าเหมือนเคยได้ยินเธอพูดบางประโยคออกมาเป็นภาษาไทย เพราะไม่ได้ใส่ใจเลยไม่รู้ว่าเธอพูดว่าอะไร
แม้เขาจะจากที่นั่นมานาน แต่ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาแม่ของเขา เขาไม่เคยทิ้งมัน เพียงแต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่มีโอกาสได้ใช้มัน จึงใช้วิธีซื้อหนังสือที่มีภาษาไทยมาอ่าน บางครั้งก็ฟังบทสนทนาภาษาไทยบ่อย ๆ
“ครับ”
“ข้อมูลอื่นล่ะ”
“ข้อมูลอื่นไม่ปรากฏเลยครับ เหมือนจะโดนซ่อนไว้ หรือไม่ก็ถูกลบออกไป” หลายครั้งที่พวกเขาพยายามเจาะข้อมูลเข้าไปเพื่อจะดึงข้อมูลของน้ำตาลออกมา แต่ทุกครั้งก็ล้มเหลว “พวกเราพยายามแฮ็กข้อมูลหลายรอบมากเลยครับ แต่เข้าไม่ถึงข้อมูลของเธอสักครั้ง”
“ส่งคนไปที่นั่น”
“ครับบอส”
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงนิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะ เขากำลังครุ่นคิดว่าทำไมข้อมูลส่วนตัวของเธอถึงไม่ปรากฏ ปกติเรื่องแบบนี้ลูกน้องของเขาไม่เคยพลาด หรือมีอะไรที่ซับซ้อนกว่านี้
วาเลนไทน์หมุนเวียนมาอีกรอบ หญิงสาวในชุดสีชมพูกำลังอุ้มเด็กน้อยวัย 6 เดือนเดินเข้าไปในบริษัท เนื่องจากผู้เป็นสามีต้องเข้าประชุมด่วนเขาจึงออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดและสั่งให้บอดี้การ์ดพาภรรยาและลูกตามมา“เชิญคุณน้ำตาลพาคุณหนูเข้าไปรอให้ห้องทำงานของบอสก่อนครับ คาดว่าไม่นานก็ประชุมเสร็จแล้วน้ำตาลเดินเข้าไปในห้อง เธอวางลูกน้อยลงบนเบาะนุ่ม ๆ ที่ถูกเตรียมไว้ ภายในเบาะมีของเล่นมากมาย เรียกได้ว่าตอนนี้ห้องทำงานของไคล์แทบจะเป็นที่สำหรับเลี้ยงเด็กเล็กก็ว่าได้น้ำตาลมองไปรอบ ๆ เธอจำได้ว่าห้องนี้คือที่ที่เธอมีจูบแรกกับเขา ไม่รู้เขาจะจำได้หรือเปล่า คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องทั้งหมดมันจะลงเอยแบบนี้ก็อก! ก็อก! ก็อก!แกร็ก!เสียงประตูทำให้น้ำตาลหันไปมองทันที เมื่อเห็นพนักงานสาวที่เคยปกป้องเธอจากหลินหลินในวันนั้นเธอก็ยิ้มกว้างให้กับหญิงสาว“ฉันจะเข้ามาถามว่าคุณน้ำตาลอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”“ขอบคุณมากค่ะ แต่ฉันทานอาหารเช้ามาเรียบร้อยแล้ว”“ถ้าคุณต้องการอะไรเพิ่มเติมเรียกดิฉันได้เลยนะคะ”“ค่ะ”“จา! จา!” ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้เดินออกจากห้องเด็กน้อยก็ส่งเสียงทักทาย จึงทำให้เธอรีบหันกลับมาทันที“คุณหนู” พนักงา
ในห้องคลอดบรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความวิตกกังวล แต่ยังคงมีความหวังที่แฝงอยู่ในจิตใจของเขา เสียงเครื่องตรวจสอบการเต้นของหัวใจของทารกยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เสียงหายใจหนักๆ ของน้ำตาลที่พยายามควบคุมตัวเองอย่างสุดความสามารถน้ำตาลนอนอยู่บนเตียง ร่างกายของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ความเจ็บปวดจากการปวดท้องคลอดทำให้เธอกุมมือไคล์ไว้แน่น ใบหน้าของเธอซีดแต่เปี่ยมด้วยความกล้าหาญ น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาตามข้างแก้มเมื่อเธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ยังคงคืบคลานมาอีกระลอก“ไม่เป็นไรนะครับ” ไคล์เกลี่ยน้ำตาและเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เธอไปพร้อม ๆ กัน “หายใจเข้าลึก ๆ ครับ”ไคล์ขอเข้ามาในห้องคลอด เขายืนอยู่ข้างเตียงไม่ยอมห่างไปไหน จับมือน้ำตาลไว้แน่น สายตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยและความกังวล เขาพูดเบาๆ กับเธอ“ที่รัก ผมอยู่ตรงนี้แล้วนะ” เสียงของเขาแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจและความรักที่ยิ่งใหญ่พยาบาลคอยให้คำแนะนำ และเตือนให้น้ำตาลหายใจลึกๆ เพื่อคลายความเจ็บปวด ก่อนจะบอกให้เธอกลั้นหายใจและเบ่งในช่วงเวลาสำคัญ การเคลื่อนไหวที่ทุกคนต่างรอคอยเริ่มต้นขึ้น“อุแว้!! อุแว้!!”เสียงร้องแรกของท
“ผมมีบางอย่างให้คุณ” ไคล์พูดขณะที่วางน้ำตาลลงบนที่นอน เขาเริ่มอุ้มเธอตั้งแต่ออกจากลิฟต์ จนมาถึงห้องพัก“อะไรคะ”“มีช่วงหนึ่งที่ผมไม่ค่อยได้อยู่กับคุณ” เขาเดินไปหยิบซองเอกสารบางอย่างแล้วเดินกลับมาหาน้ำตาล“...”“ช่วงที่คุณเพิ่งรู้ว่าท้องแต่ไม่ยอมบอกผม”“คุณไปไหนคะ” เธอจำได้ว่าช่วงนั้นเขาหายหน้าหายตาไปบ่อยมาก จนเธอคิดว่าเขาแอบไปอยู่กับคนรัก“ผมไปประเทศไทย”“...” ผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ที่ประเทศไทย“ผมไปโรงพยาบาลที่คุณเคยทำงาน เพราะผมรู้มาว่าคนที่นั่นเล่นสกปรกกับคุณ” หลังจากรู้เรื่องของน้ำตาลมากขึ้น เขาก็ตามเอาคืนคนที่แกล้งเธอทุกคนอย่างสาสม“คุณทำอะไรพวกเขาคะ” น้ำตาลตกใจไม่น้อยที่ได้ยินแบบนั้น“ผมแค่ทำเหมือนที่พวกเขาทำกับคุณ”“คุณไม่ได้ฆ่าใครใช่มั้ย” น้ำตาลถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เธอกลัวว่าเขาจะทำแบบนั้นกับใครสักคนที่เธอเคยรู้จัก“ตั้งแต่คุณขอไว้ ผมก็ไม่ทำแบบนั้นอีกเลย”“ขอบคุณนะคะ” เธอกอดเอวเขาไว้ รู้สึกโล่งใจที่ไม่มีใครตายเพราะเธอ“ตอนนี้คุณมีสิทธิ์ในโรงพยาบาลนั้นครึ่งหนึ่ง”“คุณเอามันมาได้ยังไง” น้ำตาลก้มมองเอกสารที่ไคล์ยื่นมาให้เธอ ในนั้นระบุว่าเธอเป็นผู้ถือหุ้นของโรงพยาบาลที่เธอเคยทำ
“แต่งงานกันนะ”ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว ประโยคนี้ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของน้ำตาล วันนั้นเธอดีใจจนไม่ทันได้คิดไตร่ตรองว่าหากรับปากแต่งงานแล้วชีวิตของเธอจะเป็นยังไง แต่วันนี้ความคิดนั้นของเธอได้มลายหายไป เมื่อตลอดสองอทิตย์ที่ผ่านมาเขาทำให้เธอเห็นแล้วว่าเธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีคนหนึ่ง“คิดดอะไรอยู่ครับ” วงแขนกว้างโอบกอดหญิงสาวจากด้านหลัง พลางกดจูบลงไปบนไหล่มน“คิดว่าวันนี้ใช่ความฝันหรือเปล่า”“...” ไคล์เอียงหน้ามองภรรยาของเขา“ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มาอยู่ตรงนี้กับคุณ ไม่คิดว่าคุณจะให้เกียรติฉันมากขนาดนี้ ทั้งที่บนโลกใบนี้มีผู้หญิงมากมายที่เหมาะกับคุณ แต่คุณก็เลือกฉัน”“...”“ฉันทำผิดต่อคุณ จนไม่กล้าคิดว่าคุณจะให้อภัยฉันได้ แต่คุณก็ยังให้อภัย”ไคล์จับให้น้ำตาหันมาเผชิญหน้ากับเขา มือข้างหนึ่งเชยคางของน้ำตาลให้เงยหน้ามาสบตากับเขา“เพราะผมรักคุณ รักกว่าอะไรทั้งหมดที่ผมมีในตอนนี้”“...”“ผมไม่อยากให้คุณกังวลอะไร วันนี้เป็นอีกวันสำคัญของเราสองคนนะครับ ทุกคนกำลังรอชื่นชมความงามของเจ้าสาวอยู่”“แล้วพ่อของคุณล่ะ พิธีคริสต์ท่านจะมาด้วยหรือเปล่า”เนื่องจากตอนเช้าทั้งคู่ได้จัดพิธีแบบจี
บนถนนที่ทอดยาวออกไป ชายหนุ่มที่เคยใช้ชีวิตเร่งรีบมาตลอด วันนี้ไม่รู่อะไรดลใจให้เขาออกมาเดินบนถนน สายตาคมที่กวาดมองไปรอบ ๆ ก็สังเกตเห็นการแต่งตัวของผู้คนมากมายที่เดินสวนไปมา ทำไมพวกเขาถึงแต่งตัวด้วยโทนสีชมพู“วันนี้วันที่เท่าไหร่”“14 กุมภาพันธ์ ครับ”“วันวาเลนไทน์ใช่มั้ย”“โทรหาคุณเจียให้หน่อย” เขาหันไปบอกเซียวหม่า “แล้วถามว่าวันนี้ฉันมีนัดกับลูกค้าหรือเปล่า ถ้ามีบอกว่าให้เลื่อนนัดไปก่อน”“ครับบอส”ไคล์ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงระหว่างรอให้เซียวหม่าโทรหาเลขา เขาหันไปเห็นคู่รักหลายคู่ที่แสดงความรักต่อกัน ก็ยิ่งชวนให้คิดถึงหญิงสาวที่เขาเพิ่งแอบไปหามาเมื่ออาทิตย์ก่อนเขาตั้งใจว่าจะไปหาเธออีกครั้งหลังจากที่เขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะความคิดถึงมันล้นออกมาจนยากที่จะเก็บกักความรู้สึกนั้นไว้ได้ วันนี้เขาจึงตั้งใจไปหาเธออีกครั้งณ.บ้านเช่าหลังเล็กที่เขาเคยมาครั้งหนึ่งตอนที่เจ้าของบ้านนอนหลับสนิท แต่เวลานี้กลับเงียบสงัดไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว“วันนี้วันวาเลนไทน์ ร้านคงจะปิดช้ากว่าปกติครับ”“วันวาเลนไทน์แบบนี้ยังต้องทำงานอีกเหรอ”“ถึงจะเป็นวันวาเลนไทน์ก็ยังคงเป็นวันทำงานครับ ไม่ใช่ว
หลังจากที่ไคล์พักรักษาตัวจนหายดี เขาก็เริ่มกลับไปทำงาน แต่ทุก ๆ ตอนเที่ยงเขาจะพาน้ำตาลออกไปทานข้าวด้วยกันทุกครั้ง เขาไม่เคยปล่อยให้เธออยู่บ้านโดยไม่มีเขาเลยสักครั้ง“รีบ ๆ สิครับ”“รีบไปไหนกันคะ”“ผมมีที่ที่อยากจะพาคุณไป”“อะไรกันคะ คุณทำให้ฉันกังวลนะ”“ผมมีพิรุธขนาดนั้นเลยเหรอ”“ก็คุณดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ สีหน้าของคุณดูง่ายจะตาย”“แสดงว่าที่ผ่านมาคุณอ่านความคิดของผมออกหมดเลยเหรอ”“เปล่าหรอกค่ะ เพราะก่อนหน้านี้แม้แต่หน้าของคุณฉันยังไม่กล้ามอง แล้วฉันจะสังเกตได้ยังไง”“แล้วตอนนี้ล่ะ”“ก็มองทุกวันไงคะ มองจนจำได้หมดแล้วว่าถ้าทำปากแบบนี้” เธอดึงแก้มของสามีจนปากของเขาเป็นเส้นตรง “แสดงว่ากำลังงอล”“รักคุณจังเลยครับ”“ไม่เบื่อบ้างเหรอคะ”“หรือคุณเบื่อที่จะฟังแล้ว”“ไม่เลยค่ะ ฉันฟังได้ทุกวัน”“ผมก็บอกรักคุณได้ทุกวัน ไม่เบื่อเลย”“คุณสั่งตัดชุดมาให้ฉันอีกแล้วเหรอ”“ครับ” เขาเดินเข้าไปช่วยน้ำตาลรูดซิปด้านหลัง “ก็ท้องของคุณเริ่มโตแล้ว”“พอคลอดแล้วฉันจะเอาเสื้อผ้าพวกนี้ไปไว้ที่ไหนละคะ”“จะกังวลไปทำไมครับ คลอดเสร็จก็ท้องอีก”“อะไรนะ”“เราจะมีลูกด้วยกันสักห้าคนดีมั้ย”“คุณท้องเองมั้ยล่ะคะ ถ้าท้องเองจะ