ริคเจอซูซานครั้งแรกเมื่อสี่เดือนก่อนที่คอร์สเรียนทำอาหาร ซูชอบทำอาหารอยู่แล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้เวลาเห็นคอร์สเรียนพร้อมส่วนลดเจ๋งๆ ตามโฆษณาในหน้านิตยสาร ส่วนริค เขาไม่ได้ชอบทำอาหารเลย แต่ริคตั้งใจลงคอร์สเผื่อจะเจอสาวหวานน่ารักที่อยากจะทำอาหารให้เขากินในวันที่ได้คบกัน อีกอย่าง ในฐานะนักเรียนด้วยกัน หรือฐานะคนที่สนใจสิ่งเดียวกัน เขาคงอ้าปากทักทายผู้หญิงได้โดยไม่เก้อเขิน ไม่ต้องออกตัวแบบเห่ยๆ ให้อีกฝ่ายรู้ว่า “นี่จีบนะ”
ริคอายุ 30 กว่าปีแล้ว เขาดูหล่อเหลาประสาผู้ชายต้นทุนทางพันธุกรรมดี ผิดกับเพื่อนรุ่นเดียวกันบางคนที่เริ่มลงพุง ผิวหน้าหยาบกร้านมีริ้วรอย ริคมีผิวละเอียด ขนตายาวงอน คิ้วอาจจะไม่ดกหนาเหมือนหนุ่มมาดเข้มคนไหน แต่ก็จัดว่าองค์ประกอบใบหน้าของเขานั้นสมมาตรเอามากๆ ไหนจะอาชีพนายหน้าขายบ้านที่ต้องคอยดูแลรูปลักษณ์ให้ดูดี ให้ชวนมอง ชวนพูดจาด้วยอยู่เสมอ
วันแรกที่เขาเห็นซู แหม่ มันอย่างกับโดนของต้องมนตร์ เขานึกว่าใครจับตุ๊กตากระเบื้องใส่วิกผมหยิกมาตั้งที่เก้าอี้ โต๊ะของซูในคลาสเรียนทำอาหารตั้งอยู่ริมหน้าต่างห้องชั้นสองของสถาบัน แสงแดดส่องเข้ามาจากด้านข้างกระทบปอยผมสีน้ำตาลๆ นั่นยิ่งเหมือนไฟสตูดิโอส่องให้ซูยิ่งผ่องแผ้วเข้าไปอีก คุณคนงามครับผม ตัวคุณเล็กนิดเดียว หน้าตาก็น่ารักน่าฟัดอย่างนี้ เป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะอุ้มส่งโรงหมอเอง ริคเพ้ออยู่ในใจ เขาล็อคเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว
ยากจะเชื่อว่าด้วยหน้าตาอย่างริค เขากลับเป็นคนไม่กล้าจีบผู้หญิง เขาอายและไม่กล้าที่จะเริ่มต้น ทุกครั้งที่ไปไหนต่อไหน ริคอดนึกอิจฉาไม่ได้เวลาเห็นผู้ชายหน้าตาธรรมดาๆ มีคนเคียงข้าง นี่สินะที่เขาเรียกคารมเป็นต่อ ริคก็ใช่จะไม่มีเสน่ห์ ทั้งดูสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น ทั้งการพูดจาที่ใครๆ ต่างก็บอกว่าเขาเป็นคนน่ารัก แต่ก็ไม่รู้สิ คุยกับคนที่ไม่ได้คิดอะไรด้วยมันง่ายเหลือเกิน แต่กับคนที่ทั้งอยากคุย อยากรู้จัก ใจมันเต้นแรงเหมือนจะถูกจับโยนลงเหว
วันนั้นเขาได้ทำความรู้จักกับซู จึงพอรู้เรื่องราวนิดๆ หน่อยๆ เกี่ยวกับตัวเธอ ครั้งนี้มันง่ายมากสำหรับริค เพราะซูเป็นคนอัธยาศัยดี เธอไม่ถือตัวแถมคุยสนุก ทุกคนที่ซูสนทนาด้วยไม่เคยต้องมีเดดแอร์ที่ต่างคนต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไร ที่เหลือก็หน้าที่ของริคต้องสานต่อ เขามาดหมายจะต้องเป็นคนรักของซูให้ได้ เธอนี่ล่ะสเป็ค แถมยังเป็นสาวตรงสเป็คที่เริ่มต้นคุยกับเขาเองด้วย นอกนั้นที่ผ่านมา ไม่รู้สวรรค์กลั่นแกล้งหรืออะไร ผู้หญิงที่เข้าหาเขามักเป็นผู้หญิงแบบที่เขาอยากจะอยู่ห่างๆ ส่วนผู้หญิงแบบที่ริคชอบ ก็วางตัวเข้าถึงยากจนไม่รู้จะเริ่มต้นด้วยยังไงดี
เจ้าของบ้านกลับเข้าประตูมาแล้ว เธอเดินผ่านบรรดาแขกและทักทายตามมารยาท ซูเองก็โดดเด่นไม่แพ้แซม เหมือนสาวงามจากคนละขั้วโลก แซมดูเป็นสาวเปรี้ยว ปราดเปรียว ทะมัดทะแมง ส่วนซูช่างดูบอบบาง น่ารักน่าทะนุถนอม ส้นรองเท้าไม้ของซูกระทบพื้นดังก๊อกแก๊กทุกก้าวที่เธอย่างเดิน ผู้หญิงในงานเลี้ยงบางคนหันมองอย่างชื่นชม ผสมๆ กับความอิจฉาเล็กน้อยตามธรรมดาของเพศหญิง โถ แม่ตุ๊กตาตัวน้อย คอยแย่งความเป็นจุดเด่นจากสาวๆ นางอื่นไปเสียหมด ซูเดินทักทายแขกไปทั่วบ้าน สายตาก็มองหาแซม โดยมีริคเดินตามมา เธอเริ่มไม่สบายใจเมื่อไม่เห็นแซมเลย ริคเริ่มต้องสับเท้าเร็วๆ ตามไป แม้แต่ขาส่วนน่องของซูก็ยังสวยเรียวน่ามอง ริคเผลอมองมันจนเพลิน พลางคิดในใจอย่างสงสัยว่าไอ้รองเท้าแบบนี้ มันใส่เดินเร็วๆ ได้ยังไงกัน แล้วจู่ๆ ซูก็หันกลับมา นี่เขาเกือบถามออกไปแล้วนะว่าซูยังไม่ลืมใช่ไหมว่าชวนเขาเดินตามหลังมาด้วย
“ฉันหาแซมไม่เจอเลยค่ะ คุณเห็นเธอบ้างไหม” ซูก็ถามแปลกๆ ถ้าริคเห็นก็คงบอกเธอแล้วสิ ไม่ใช่ปล่อยเธอเดินหาไปทั่ว แต่ก็นะ ท่อนขาของซูมันดูเพลินจนไม่อยากมองอย่างอื่นแล้ว
“ไม่เห็นเหมือนกัน” ริคตอบพร้อมสีหน้าตกใจเล็กน้อย แค่แซมหายไปน่ะเขาไม่ตกใจหรอก แค่กลัวซูจะรู้ว่าเขาไม่ได้สนใจมองอย่างอื่นเลยนอกจากขาของเธอในตอนนี้ ซูไล่ถามแขกที่รู้จักแซมสองสามคนว่าเห็นเธอกันบ้างไหม ก่อนซูจะเดินออกไปดูข้างนอกเมื่อตะกี้ แซมก็ดูสบายดีแล้วนี่ เธอไม่ลืมที่จะเข้าไปดูในห้องน้ำที่แซมบอกว่าเข้าไปสูดอากาศเมื่อตอนเธอทำท่าแปลกๆ แต่ในห้องน้ำก็ไม่มี แล้วแซมหายไปไหน โทรไปก็ไม่รับสาย
“ก่อนนี้เธอบอกคุณว่าไงบ้างเหรอ” ริคถามซู เมื่อเห็นเธอมีสีหน้ากังวลใจมากกว่าแค่สงสัยธรรมดาๆ
“เธอบอกว่ามึนหัวตอนฉันเดินตามมาถามที่หน้าห้องน้ำน่ะ แต่ดูก็ไม่น่าเป็นไรแล้วนะ” ซูรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไม่ทันได้ถามแซมให้รู้เรื่อง ตอนนั้นแค่แซมแง้มประตูห้องน้ำ เปิดให้เธอเห็นหน้าอย่างช้าๆ เธอก็ลืมเรื่องอื่นเสียหมดแล้ว
“เห็นเธอน่าจะหายดีแล้ว ยังมาทำขยิบตาให้ฉันอยู่เลยนะ” ซูพูดต่อ
“หรือเธอจะกลับไปก่อนรึเปล่า อาจจะยังไม่หายมึนหัว แต่คุณก็เป็นเจ้าภาพปาร์ตี แซมคงไม่อยากให้คุณต้องมาคอยดูแลล่ะมั้ง ถ้าเป็นผู้ชายคงคิดแบบนี้นะ”
“ก็แซมไม่ใช่ผู้ชาย” ซูตอบริคไป ในใจของซู เธอสะอึกเล็กน้อยกับประโยคนั้น แซมไม่ใช่ผู้ชาย ทำไมริคต้องพูดว่าถ้าเธอเป็นผู้ชายด้วย
คืนนั้นผ่านพ้นไปจนถึงช่วงสายๆ ของวันต่อมา แคลร์งัวเงียลุกขึ้นจากโซฟา หยิบชุดนอนขึ้นมาสวม เธอเดินไปที่ห้องน้ำ เปิดประตูชะโงกหน้าเข้าไปมองดู แล้วจึงเดินขึ้นชั้นสองไปดูตามห้องต่างๆ ในบ้าน ออสซีกลับไปแล้วงั้นเหรอนี่ เธอกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบแว่นตาที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาสวม ในห้องมืดสนิทแม้จะสายแล้ว เธอเดินไปอีก 4-5 ก้าวก่อนจะถึงหัวเตียง เธอหยิบมือถือขึ้นมาดู มืออีกข้างชักรอกม่านทึบแสงเปิดออก แดดส่องเข้ามาเต็มที่จนเธอต้องหลับตาหลบแสงจ้า แคลร์นอนแผ่หลาลงบนเตียง เมื่อคืนที่หลับไปบนโซฟาทำให้เธอปวดเมื่อยเนื้อตัวจากการนอนผิดท่า เธอยืดแขนขาจนสุดเหยียดแล้วจึงกดโทรศัพท์ดู มีสายไม่ได้รับห้าสายเป็นสายของแอนนาทั้งหมด เธอรีบโทรกลับทันที “ฮัลโหล แคลร์” แอนนารับสายโดยที่แคลร์ไม่ต้องรอนาน “แอนนา มีอะไรรึเปล่า” แอนนาเงียบไป “ไม่ใช่สิ คือฉันหมายถึงที่โทรมาตั้งห้าสายน่ะ มีเรื่องร้ายแรงอะไรรึเปล่า แล้วเมื่อคืนคุณกลับบ้านปลอดภัยดีใช่ไหม” แคลร์รีบเปลี่ยนคำถามให้เข้าท่าเข้าทางกว่าการถามว่า มีอะไรรึเปล่า พลางส่ายหน้าอย่างรู้สึกไม่ดีที่ถามแบบนั้นออกไป “เมื่อคืนฉ
“ใช่ บางทีคนเราก็มีเรื่องมากมายที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ ถึงจะอยากเล่าอยากเอ่ยมากแค่ไหนก็ตาม” เธอจิบวิสกี้ตามปิดท้ายประโยค เวลานี้ออสซีรู้สึกเหมือนแคลร์กำลังแบกอะไรเอาไว้ในอก เขาต้องช่วยแบ่งมันมาไหมนะ อย่าเลยดีกว่า เพราะเขาพยายามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วที่จะไม่ให้คนอื่นเข้ามาชิดใกล้เกินไป เงื่อนไขหนึ่งคือต้องไม่รู้ความลับของคนคนนั้นด้วย แคลร์ขยับเข้ามาใกล้เขา เธอซบลงบนไหล่ของออสซี “ไหล่คุณกว้างพอดีตัวฉันเลย ออสซี ดูสิ อบอุ่นสบายดีจัง” แคลร์พูดแล้วแหงนหน้ามาส่งยิ้มให้ คางของเธอยังเกยอยู่ที่ไหล่ของออสซี ออสซีตัวแข็งทื่อ “นั่งดีๆ น่าแคลร์ โซฟาตั้งกว้าง” เขาเบี่ยงตัวพยายายามออกห่าง แต่แคลร์กอดเขาเอาไว้ “ไม่เอาอ่ะ ตรงนี้ล่ะสบายดีแล้ว เรานอนกันตรงนี้เลยดีไหม” แคลร์ถาม “ก็ได้ เอาสิ บ้านคุณนี่นะ” ออสซีตอบ แคลร์ดันตัวออสซีลงนอนบนโซฟาโดยที่ตัวของเธอทับเขาอยู่ด้านบน “อุ้ยแคลร์ นอนดีๆ สิ ขยับไปหน่อย ผมไปนอนโซฟาตัวนู้นก็ได้” แคลร์จูบปากออสซี เขาตกใจมาก “แคลร์ แคลร์” เขาผละตัวเองออก แคลร์ยังไม่หยุด “คุณบอกเองนะว่าบ้านฉัน ฉันก็ถามแล้วว่าเรา
“เอาเลย ไม่ต้องเกรงใจ” แคลร์ยกแก้วขึ้นจิบนำ “มาร์ตินี่เผือกเหรอ” ออสซีถาม แคลร์ยกแก้วขึ้นที่ริมฝีปากอีกครั้ง คราวนี้ดื่มเข้าไปเต็มอึก “ลองดูซิว่าใช่ไหม” แคลร์บอก ออสซียกแก้วขึ้นจิบ แล้วทำท่าเหมือนจะสำลัก “อะไรเนี่ย” เขาทำสีหน้าบูดเบี้ยว “ชาทิเบต แอนนากับแซมได้ชิมแล้วนะ เหลือแต่คุณที่ยังไม่ลอง” ออสซีคุ้นๆ ว่าได้ยินแคลร์พูดถึงอยู่เมื่อวันก่อนตอนแซมมาถ่ายงานที่นี่ “ขอโทษนะฮะ รสชาติไม่ได้เรื่อง” เขาบอกแคลร์ไปตรงๆ “มันดึกแล้ว ก็บอกแล้วไงว่าดื่มอะไรกันเบาๆ ดีกว่า ให้ฉันรินอย่างอื่นมาให้เดี๋ยวเกิดเมาแล้วได้กันเองทำไงล่ะ” แคลร์หยอกออสซี ตอนนี้เธอยิ้มออกแล้ว “บ้า” ออสซีเอียงอายสวนกลับไป “นั่นคุณเขินเหรอ” แคลร์ถามเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของออสซี “ก็คุณพูดบ้าอะไรเล่า” ออสซีหน้าแดง “พูดบ้าอะไร ฉันก็ล้อเล่น ทำเป็นไม่เคยไปได้” แคลร์มองออสซีอย่างประหลาดใจ แต่เธอก็ยังยิ้มให้เขา ออสซีหลบสายตาแซมอย่างชัดเจน เขาลองดื่มชาอีกครั้ง คราวนี้เขาลองดื่มให้เต็มอึก ค่อยๆ กลืนมันลงไป แล้วบอกกับแคลร์ “ไม่ไห
“หาห้องนอนเอานะ ของกินเครื่องดื่มมีอยู่ที่โซนครัว บริการตัวเองตามสบาย” แคลร์พูดแบบไม่หันหน้ามามองออสซีเลย จังหวะนี้เขารู้สึกไม่ค่อยดี “ผมกลับไปนอนบ้านตัวเองได้นะ ถ้าคุณไม่สะดวก ไว้เจอกัน” ออสซีรอฟังคำตอบจากแคลร์ แคลร์หันมามองเขา “ขอโทษทีค่ะ ฉันเสียมารยาทไปหน่อย แต่บ้านนี้ต้อนรับคุณเสมออยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่รอให้คุณกลับด้วยกันหรอก นอนนี่แหละ ดึกแล้ว ขอโทษอีกที คราวหน้าฉันเลี้ยงนะ” แคลร์บอกกับออสซี ทั้งที่ทุกครั้งเธอจะเป็นเจ้ามือเกือบจะตลอด ออสซีคลายสีหน้าลง “ครับ” เขาตอบแคลร์สั้นๆ “พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ ราตรีสวัสดิ์” แคลร์ยิ้มอ่อนๆ ให้เขาแล้วชูมือขึ้นมาบอกราตรีสวัสดิ์ตอบ แคลร์เดินขึ้นชั้นสองไป ออสซีทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วกลับต้องสะดุ้งโหยง “ตาบ้า!” แคลร์ชะโงกหน้ามาเอ็ดเขาจากหัวบันได ออสซีกระเด้งขึ้นมานั่ง หันหน้ามามองตามเสียง “ขึ้นมาชั้นสองสิยะ ห้องหับเยอะแยะ เลือกเอา!” แล้วแคลร์ก็ผลุบหายไปอีก ออสซีไม่ได้ตอบอะไร เขาเหนื่อยใจกับผู้หญิงกลุ่มนี้จริงๆ “ผมว่าจะนั่งพักสักเดี๋ยวนึงก่อนน่ะ ขอบคุณมากนะแคลร์” เขาตะโกนขึ้นไป แ
แคลร์มองตามหลังแซมที่เดินออกจากร้านไปอย่างรู้สึกไม่ดี เธอหันมามองแอนนาซึ่งรอสบตากับแคลร์อยู่แล้ว แคลร์เม้มปาก ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงไม่เห็นด้วยกับการกระทำ “ให้ฉันลาออกเลยไหม” แอนนาถาม ทุกคนในโต๊ะตึงเครียดไปกันใหญ่แล้ว “เดี๋ยวก่อนแอนนา คุณเป็นอะไรของคุณ ถ้าฉันใช้งานคุณหนักไปก็ขอโทษด้วยนะวันนี้” แคลร์ขอโทษปัดๆ ไปเพื่อไม่ให้บรรยากาศในโต๊ะยิ่งแย่ ออสซีไม่รู้จะพูดอะไร เขาหยิบไหมไทยที่เหลือกระดกลงคอจนหมด แล้วลุกขึ้น “คืนนี้เรากลับกันก่อนแล้วกันนะ ผมไปจ่ายเงินก่อน พวกคุณนั่งคุยกันไป ผมจะไปจ่ายที่เคาน์เตอร์เลย” “เดี๋ยวฉันเคลียร์ให้นะ ออสซี” แคลร์ตะโกนไล่หลังมาแบบไม่ดังมาก “ไม่เป็นไร ผมเลี้ยงเอง มีของแซมที่ช่วยจ่ายมาแล้ววางอยู่บนโต๊ะ ผมเลี้ยงที่เหลือไหวน่า” ออสซียิ้มให้แคลร์แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ แอนนายังคงนั่งเฉยในท่าไขว่ห้าง “ตกลงยังไง” แอนนาถามแคลร์ “แอนนา ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไรนะวันนี้ แต่รบกวนช่วยให้เกียรติฉันในฐานะนายจ้างด้วย ฉันไม่เคยอยากไล่คุณออก คุณก็รู้นี่ว่าฉันไว้ใจและชอบการทำงานของคุณ แต่นี่อะไร คุณม
ดวงไฟประดับห้อยระย้าเป็นแนวระหว่างต้นไม้ในร้าน ตัดกับท้องฟ้ายามกลางคืนที่มืดไร้แสงจันทร์ แซมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างผ่อนคลาย บรรยากาศในร้านยังอบอุ่นไม่เปลี่ยนไป มันยิ่งทรงเสน่ห์มากขึ้นด้วยแสงนวลๆ ของไฟประดับที่โยงเป็นแนวระหว่างต้นไม้สูงแต่ละต้น และไฟดวงที่เล็กกว่าเหมือนหมู่ดาวบนเรือนยอดไม้ ไม่รู้เพราะอะไรแซมถึงชอบเวลากลางคืนนัก มันสงบทั้งที่โดยรอบก็ครึกครื้น มันรู้สึกผ่อนคลายแม้จะมีเสียงพูดคุยจอแจ แม้ว่าบางเสียงจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แซมชอบสีดำ ชอบความมืดของค่ำคืน ชอบความเงียบที่ถูกเสียงต่างๆ สอดแทรกรบกวนอยู่ตลอดจนกว่าจะดึกสงัดจริงๆ ยิ่งมีลมพัดมาเป็นระยะอย่างนี้ เหมือนธรรมชาติที่แฝงตัวอยู่ในเขตเมืองกำลังพยายามปลอบประโลมเธออย่างแผ่วเบาเมื่อสายลมนั้นพัดเข้ามากระทบร่าง แซมสูดหายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย ลูกค้าหลายๆ โต๊ะในร้านเริ่มเป็นลูกค้าหน้าเดิมๆ ที่มากันตั้งแต่เย็น จนล่วงเลยเวลาของมื้อค่ำกลายมาเป็นชั่วโมงกินดื่มกับกลุ่มสังสรรค์แล้ว โต๊ะของแซมก็เช่นกัน พวกเขายังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิม ยังสั่งอาหารกันเรื่อยๆ สลับกับเครื่องดื่มเป็นระยะ “ทำไมเราไม่ไปไนต์คลับกันซะเลยนะ”