“ขอโทษครับ” แววตาของริคเปลี่ยนเป็นแววตาของคนรู้สึกผิดทันที เขาเองก็ข้องใจนิดๆ ว่าทำไมซูต้องเสียงแข็ง ทำไมเธอต้องพูดจาเหมือนกำลังโกรธ เขาพูดผิดไปมากมายขนาดนั้นเลยหรือ
“ไม่ๆ ขอโทษที ฉันกังวลใจนิดหน่อยน่ะค่ะ ปกติแซมไม่เป็นแบบนี้ ตั้งแต่เมื่อเย็นตอนคุยกันแล้ว วันนี้เธอแปลกไปหมด” ซูรีบขอโทษริคกลับไป เพราะเธอเองนั่นล่ะที่ต้องขอโทษเขา
“โทรไปก็ไม่รับสายเหรอ”
“ไม่รับ...” ซูยกโทรศัพท์ขึ้นดู ฉันขอตัวกลับก่อนนะ ขอโทษจริงๆ แต่เวียนหัวมาก ไว้คุยกัน
“อ้อ แซมน่ะ เธอส่งข้อความบอกว่ากลับไปแล้ว ยังมึนหัวอยู่จริงๆ ด้วย” ซูบอกกับริคหลังอ่านข้อความของแซม
“ขอโทษจริงๆ นะเมื่อกี๊ ฉันแค่เป็นห่วงเพื่อนน่ะค่ะ เห็นอาการไม่ดีตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว” ซูขอโทษริคอีกครั้ง จริงๆ ซูไม่ได้รู้สึกผิดอะไรมากนักหรอก แต่ริคทำหน้าตาน่าสงสารขนาดนั้น ส่วนหนึ่งข้างใน เธอเองก็รู้ตัวว่านึกโกรธขึ้นมาจริงๆ ซูก้มลงพิมพ์ข้อความตอบกลับแซม ถ้าโทรไปตอนนี้แซมอาจจะขับรถอยู่ ริคยิ้มแหยๆ เขาไม่แน่ใจว่าตอนนี้ควรจะพูดหรือทำอะไร ความมั่นใจเหลือแค่ศูนย์แล้ว
“งั้นเราคุยกันต่อก็ได้นะ ถึงไหนแล้วล่ะ เมื่อตอนอยู่หน้าบ้าน” ซูทำตาโตใส่ริค
“ก็... เหมือนยังไม่ได้คุยเลย แค่ถามว่าคุณไปเดินดูอะไรมา แล้วคุณก็ถามผมว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมบอกมานานแล้ว ชอบเพลงที่คุณเปิดเมื่อตอนเย็น แล้วตอบคำถามคุณว่าทำไมไม่เข้าไปคุยด้วย ก็เพราะคุณคุยกับแซมอยู่ พอแซมลุกไป เจนีนก็มานั่งแทน แล้วคุณก็ชวนผมมาหาแซม”
“ฮะๆ” ซูหัวเราะคิกคักชอบใจ
“นั่นเรียกยังไม่ได้คุยเหรอ ยาวเลยนะ ยังไม่คุยยังไงเนี่ย” เธอแซวริคจนเขาหน้าแดงอีกหน ทำไมเขาเปิ่นอย่างนี้นะ จำได้กระทั่งบทสนทนาที่ไม่ได้สาระอะไร ถ้าซูสังเกตสักหน่อยคงจะรู้ว่าเขาจำทุกอย่างของเธอได้หมด
“ก็... นั่นแหละครับ คุยถึงแค่นั้น” ริคหัวเราะบ้าง เขากลับมาอิ่มเอมเปรมปรีด์เหมือนเดิม ซูซาน แม่มดน้อยของเขา เธอเสกให้เขามีความสุขเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้วมั้ง ทั้งคู่สบตากันเงียบๆ เพียงสองสามวินาที เป็นช่วงเวลาแสนสั้นที่ทำหัวใจเขาพองโต เมื่อไหร่เขาจะได้บอกรักเธอเสียทีนะ แล้วเขาจะบอกเธอยังไงดี หรือควรจะรอดูท่าทีไปก่อน ริคคิดว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย เขารับรู้ถึงความเข้ากันได้ระหว่างกัน เขารู้สึกทุกครั้งถึงความผูกพันที่ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น ริคไม่อยากให้สิ่งนี้ต้องชะงักหรือจบลงเลย
“แล้วคุณไม่ต้องดูแลแขกเหรอ” ริคถามแบบนึกขึ้นได้
“เออ จริงสิ ลืมเลย ก็บอกแล้วว่าไม่ถนัดจัดปาร์ตี ขอบคุณที่เตือนนะคะ เรากลับไปสนุกกับทุกคนกันดีกว่า เดี๋ยวฉันจะถูกนินทาว่าเป็นเจ้าภาพที่ไม่ได้เรื่องเลย” ริคพยักหน้ายิ้มให้ซู และทันทีที่เธอหันหลังไป เขาก็ทำหน้าเบื่อหน่ายตัวเองเต็มทน ริคเอ๋ย เจ้าโง่ ปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไปทำไม เขาสบถใส่ตัวเองในใจ ซูเดินกลับเข้ามาหาบรรดาแขกที่เธอเชิญมาจากที่ทำงาน ริคมองดูเธอคุยกับใครต่อใครอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตายิ้มได้คู่นั้นจ้องมองคู่สนทนาอย่างให้เกียรติ ริมฝีปากเรียวบางแดงก่ำเหมือนสาวแรกรุ่นขยับไปมาอย่างมีเสน่ห์ยามเธอพูด ยิ่งแอบมอง เขายิ่งหลงใหลเธอ เหมือนเธอกำลังร่ายมนตร์สะกดให้ทุกคนหลงรัก แปลกนักที่เขากลับต้องมนตร์นั้นเสียเองทั้งที่อยู่ตั้งไกล
ริคเป็นคนเสนอให้เธอจัดปาร์ตี โดยให้เหตุผลว่าเธอเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้เกือบเดือน การจัดปาร์ตีจะทำให้เธอสนิทกับใครๆ ได้มากขึ้น งานขายลักษณะนี้ การสร้างศัตรูให้น้อยที่สุดถือเป็นเรื่องดีที่ต้องทำ เผื่อเอาไว้เวลาอีกฝ่ายต้องการแก่งแย่งชิงดีซึ่งมันต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว ริคเข้าใจธรรมชาติของงานนี้ดี เขาอยู่กับมันมานาน แต่ซูเพิ่งได้ก้าวขาเข้ามาลองเชิงเท่านั้น ก็ริคอีกนั่นแหละที่ชวนเธอมาทำ ไม่ใช่แค่เพราะอยากข้องเกี่ยวกับเธอให้มากที่สุดเท่านั้น แต่คุณสมบัติอย่างซู ทั้งสวยน่ารัก แถมยังคุยเก่ง เธอทำงานขายได้ไม่ยากหรอก เขาแอบดูเธออย่างปลื้มใจ ซูเหมือนแมวน้อยที่เขาอยากฟูมฟักดูแล แต่หารู้ไม่เลยว่า เขาต่างหากที่อยู่ในกำมือของซูอย่างดิ้นไม่หลุด...
คืนนั้นผ่านพ้นไปจนถึงช่วงสายๆ ของวันต่อมา แคลร์งัวเงียลุกขึ้นจากโซฟา หยิบชุดนอนขึ้นมาสวม เธอเดินไปที่ห้องน้ำ เปิดประตูชะโงกหน้าเข้าไปมองดู แล้วจึงเดินขึ้นชั้นสองไปดูตามห้องต่างๆ ในบ้าน ออสซีกลับไปแล้วงั้นเหรอนี่ เธอกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบแว่นตาที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาสวม ในห้องมืดสนิทแม้จะสายแล้ว เธอเดินไปอีก 4-5 ก้าวก่อนจะถึงหัวเตียง เธอหยิบมือถือขึ้นมาดู มืออีกข้างชักรอกม่านทึบแสงเปิดออก แดดส่องเข้ามาเต็มที่จนเธอต้องหลับตาหลบแสงจ้า แคลร์นอนแผ่หลาลงบนเตียง เมื่อคืนที่หลับไปบนโซฟาทำให้เธอปวดเมื่อยเนื้อตัวจากการนอนผิดท่า เธอยืดแขนขาจนสุดเหยียดแล้วจึงกดโทรศัพท์ดู มีสายไม่ได้รับห้าสายเป็นสายของแอนนาทั้งหมด เธอรีบโทรกลับทันที “ฮัลโหล แคลร์” แอนนารับสายโดยที่แคลร์ไม่ต้องรอนาน “แอนนา มีอะไรรึเปล่า” แอนนาเงียบไป “ไม่ใช่สิ คือฉันหมายถึงที่โทรมาตั้งห้าสายน่ะ มีเรื่องร้ายแรงอะไรรึเปล่า แล้วเมื่อคืนคุณกลับบ้านปลอดภัยดีใช่ไหม” แคลร์รีบเปลี่ยนคำถามให้เข้าท่าเข้าทางกว่าการถามว่า มีอะไรรึเปล่า พลางส่ายหน้าอย่างรู้สึกไม่ดีที่ถามแบบนั้นออกไป “เมื่อคืนฉ
“ใช่ บางทีคนเราก็มีเรื่องมากมายที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ ถึงจะอยากเล่าอยากเอ่ยมากแค่ไหนก็ตาม” เธอจิบวิสกี้ตามปิดท้ายประโยค เวลานี้ออสซีรู้สึกเหมือนแคลร์กำลังแบกอะไรเอาไว้ในอก เขาต้องช่วยแบ่งมันมาไหมนะ อย่าเลยดีกว่า เพราะเขาพยายามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วที่จะไม่ให้คนอื่นเข้ามาชิดใกล้เกินไป เงื่อนไขหนึ่งคือต้องไม่รู้ความลับของคนคนนั้นด้วย แคลร์ขยับเข้ามาใกล้เขา เธอซบลงบนไหล่ของออสซี “ไหล่คุณกว้างพอดีตัวฉันเลย ออสซี ดูสิ อบอุ่นสบายดีจัง” แคลร์พูดแล้วแหงนหน้ามาส่งยิ้มให้ คางของเธอยังเกยอยู่ที่ไหล่ของออสซี ออสซีตัวแข็งทื่อ “นั่งดีๆ น่าแคลร์ โซฟาตั้งกว้าง” เขาเบี่ยงตัวพยายายามออกห่าง แต่แคลร์กอดเขาเอาไว้ “ไม่เอาอ่ะ ตรงนี้ล่ะสบายดีแล้ว เรานอนกันตรงนี้เลยดีไหม” แคลร์ถาม “ก็ได้ เอาสิ บ้านคุณนี่นะ” ออสซีตอบ แคลร์ดันตัวออสซีลงนอนบนโซฟาโดยที่ตัวของเธอทับเขาอยู่ด้านบน “อุ้ยแคลร์ นอนดีๆ สิ ขยับไปหน่อย ผมไปนอนโซฟาตัวนู้นก็ได้” แคลร์จูบปากออสซี เขาตกใจมาก “แคลร์ แคลร์” เขาผละตัวเองออก แคลร์ยังไม่หยุด “คุณบอกเองนะว่าบ้านฉัน ฉันก็ถามแล้วว่าเรา
“เอาเลย ไม่ต้องเกรงใจ” แคลร์ยกแก้วขึ้นจิบนำ “มาร์ตินี่เผือกเหรอ” ออสซีถาม แคลร์ยกแก้วขึ้นที่ริมฝีปากอีกครั้ง คราวนี้ดื่มเข้าไปเต็มอึก “ลองดูซิว่าใช่ไหม” แคลร์บอก ออสซียกแก้วขึ้นจิบ แล้วทำท่าเหมือนจะสำลัก “อะไรเนี่ย” เขาทำสีหน้าบูดเบี้ยว “ชาทิเบต แอนนากับแซมได้ชิมแล้วนะ เหลือแต่คุณที่ยังไม่ลอง” ออสซีคุ้นๆ ว่าได้ยินแคลร์พูดถึงอยู่เมื่อวันก่อนตอนแซมมาถ่ายงานที่นี่ “ขอโทษนะฮะ รสชาติไม่ได้เรื่อง” เขาบอกแคลร์ไปตรงๆ “มันดึกแล้ว ก็บอกแล้วไงว่าดื่มอะไรกันเบาๆ ดีกว่า ให้ฉันรินอย่างอื่นมาให้เดี๋ยวเกิดเมาแล้วได้กันเองทำไงล่ะ” แคลร์หยอกออสซี ตอนนี้เธอยิ้มออกแล้ว “บ้า” ออสซีเอียงอายสวนกลับไป “นั่นคุณเขินเหรอ” แคลร์ถามเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของออสซี “ก็คุณพูดบ้าอะไรเล่า” ออสซีหน้าแดง “พูดบ้าอะไร ฉันก็ล้อเล่น ทำเป็นไม่เคยไปได้” แคลร์มองออสซีอย่างประหลาดใจ แต่เธอก็ยังยิ้มให้เขา ออสซีหลบสายตาแซมอย่างชัดเจน เขาลองดื่มชาอีกครั้ง คราวนี้เขาลองดื่มให้เต็มอึก ค่อยๆ กลืนมันลงไป แล้วบอกกับแคลร์ “ไม่ไห
“หาห้องนอนเอานะ ของกินเครื่องดื่มมีอยู่ที่โซนครัว บริการตัวเองตามสบาย” แคลร์พูดแบบไม่หันหน้ามามองออสซีเลย จังหวะนี้เขารู้สึกไม่ค่อยดี “ผมกลับไปนอนบ้านตัวเองได้นะ ถ้าคุณไม่สะดวก ไว้เจอกัน” ออสซีรอฟังคำตอบจากแคลร์ แคลร์หันมามองเขา “ขอโทษทีค่ะ ฉันเสียมารยาทไปหน่อย แต่บ้านนี้ต้อนรับคุณเสมออยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่รอให้คุณกลับด้วยกันหรอก นอนนี่แหละ ดึกแล้ว ขอโทษอีกที คราวหน้าฉันเลี้ยงนะ” แคลร์บอกกับออสซี ทั้งที่ทุกครั้งเธอจะเป็นเจ้ามือเกือบจะตลอด ออสซีคลายสีหน้าลง “ครับ” เขาตอบแคลร์สั้นๆ “พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ ราตรีสวัสดิ์” แคลร์ยิ้มอ่อนๆ ให้เขาแล้วชูมือขึ้นมาบอกราตรีสวัสดิ์ตอบ แคลร์เดินขึ้นชั้นสองไป ออสซีทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วกลับต้องสะดุ้งโหยง “ตาบ้า!” แคลร์ชะโงกหน้ามาเอ็ดเขาจากหัวบันได ออสซีกระเด้งขึ้นมานั่ง หันหน้ามามองตามเสียง “ขึ้นมาชั้นสองสิยะ ห้องหับเยอะแยะ เลือกเอา!” แล้วแคลร์ก็ผลุบหายไปอีก ออสซีไม่ได้ตอบอะไร เขาเหนื่อยใจกับผู้หญิงกลุ่มนี้จริงๆ “ผมว่าจะนั่งพักสักเดี๋ยวนึงก่อนน่ะ ขอบคุณมากนะแคลร์” เขาตะโกนขึ้นไป แ
แคลร์มองตามหลังแซมที่เดินออกจากร้านไปอย่างรู้สึกไม่ดี เธอหันมามองแอนนาซึ่งรอสบตากับแคลร์อยู่แล้ว แคลร์เม้มปาก ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงไม่เห็นด้วยกับการกระทำ “ให้ฉันลาออกเลยไหม” แอนนาถาม ทุกคนในโต๊ะตึงเครียดไปกันใหญ่แล้ว “เดี๋ยวก่อนแอนนา คุณเป็นอะไรของคุณ ถ้าฉันใช้งานคุณหนักไปก็ขอโทษด้วยนะวันนี้” แคลร์ขอโทษปัดๆ ไปเพื่อไม่ให้บรรยากาศในโต๊ะยิ่งแย่ ออสซีไม่รู้จะพูดอะไร เขาหยิบไหมไทยที่เหลือกระดกลงคอจนหมด แล้วลุกขึ้น “คืนนี้เรากลับกันก่อนแล้วกันนะ ผมไปจ่ายเงินก่อน พวกคุณนั่งคุยกันไป ผมจะไปจ่ายที่เคาน์เตอร์เลย” “เดี๋ยวฉันเคลียร์ให้นะ ออสซี” แคลร์ตะโกนไล่หลังมาแบบไม่ดังมาก “ไม่เป็นไร ผมเลี้ยงเอง มีของแซมที่ช่วยจ่ายมาแล้ววางอยู่บนโต๊ะ ผมเลี้ยงที่เหลือไหวน่า” ออสซียิ้มให้แคลร์แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ แอนนายังคงนั่งเฉยในท่าไขว่ห้าง “ตกลงยังไง” แอนนาถามแคลร์ “แอนนา ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไรนะวันนี้ แต่รบกวนช่วยให้เกียรติฉันในฐานะนายจ้างด้วย ฉันไม่เคยอยากไล่คุณออก คุณก็รู้นี่ว่าฉันไว้ใจและชอบการทำงานของคุณ แต่นี่อะไร คุณม
ดวงไฟประดับห้อยระย้าเป็นแนวระหว่างต้นไม้ในร้าน ตัดกับท้องฟ้ายามกลางคืนที่มืดไร้แสงจันทร์ แซมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างผ่อนคลาย บรรยากาศในร้านยังอบอุ่นไม่เปลี่ยนไป มันยิ่งทรงเสน่ห์มากขึ้นด้วยแสงนวลๆ ของไฟประดับที่โยงเป็นแนวระหว่างต้นไม้สูงแต่ละต้น และไฟดวงที่เล็กกว่าเหมือนหมู่ดาวบนเรือนยอดไม้ ไม่รู้เพราะอะไรแซมถึงชอบเวลากลางคืนนัก มันสงบทั้งที่โดยรอบก็ครึกครื้น มันรู้สึกผ่อนคลายแม้จะมีเสียงพูดคุยจอแจ แม้ว่าบางเสียงจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แซมชอบสีดำ ชอบความมืดของค่ำคืน ชอบความเงียบที่ถูกเสียงต่างๆ สอดแทรกรบกวนอยู่ตลอดจนกว่าจะดึกสงัดจริงๆ ยิ่งมีลมพัดมาเป็นระยะอย่างนี้ เหมือนธรรมชาติที่แฝงตัวอยู่ในเขตเมืองกำลังพยายามปลอบประโลมเธออย่างแผ่วเบาเมื่อสายลมนั้นพัดเข้ามากระทบร่าง แซมสูดหายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย ลูกค้าหลายๆ โต๊ะในร้านเริ่มเป็นลูกค้าหน้าเดิมๆ ที่มากันตั้งแต่เย็น จนล่วงเลยเวลาของมื้อค่ำกลายมาเป็นชั่วโมงกินดื่มกับกลุ่มสังสรรค์แล้ว โต๊ะของแซมก็เช่นกัน พวกเขายังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิม ยังสั่งอาหารกันเรื่อยๆ สลับกับเครื่องดื่มเป็นระยะ “ทำไมเราไม่ไปไนต์คลับกันซะเลยนะ”