บนชั้น 4 ของอาคารสำนักงานใหญ่ Parallel นั้นแตกต่างไปจาก 3 ชั้นข้างล่างอยู่มากโข กล่าวคือ ไม่มีใครรู้ว่ารูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของมันเป็นยังไง มันเปรียบได้กับแดนสนธยาที่มีเพียงแพทย์หญิงเจ้าของชั้นอย่างยูมิโกะ กับบอสเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พื้นที่ทั้งชั้นถูกปกปิดไว้หมดด้วยม่านพลังงานที่เธอคิดค้นขึ้น แผ่นเจวบาง ๆ ขุ่นใสสีช้ำเลือดช้ำหนองฉาบไปทั่วทุกซอกทุกมุม ขึงพืดสร้างเป็นผนังกั้นห้องราวกับไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ความลับในโลกส่วนตัวของเธอ
.
แต่ถึงกระนั้นก็ยังเปิดพื้นที่ส่วนหน้าเอาไว้ เพื่อคอยคัดกรองบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงาน คนที่อาการหนักจะถูกนำตัวฝ่าแผ่นเจลเหนือดเหนียวเข้าไปภายใน ส่วนคนที่อาการไม่เท่าไหร่หมอยูมิโกะจะทำการรักษาแบบฉับไวอยู่ด้านนอก ซึ่งก็ต้องมาลุ้นกันอีกทีว่าอาการของพ่อหนุ่ม เจฟเฟอร์ บัตเจนแลนด์ นั้น จะอยู่ระดับไหนในสายตาเธอ
.
"ฮู้วววว.. เสร็จซะที เมื่อยจังเลยยูมิ ขอน้ำให้ฉันสักแก้วสิที่รัก"
.
"ไฮ้!..ได้ค่ะหมอ เชิญคุณหมอออกไปรอด้านนอกนะคะ เดี๋ยวยูมิตามออกไป"
.
ม่านเจลเหนียวหนืดจมบุ่มลึกลงไป หมอสาวพราวสเน่ห์สอดแขนเข้าไปก่อน ต่อด้วยการค่อย ๆ เอี้ยวตัวเบียดเสียดความยืดหยุ่นหยึกหยึ๋ยดังกล่าว จนดวงหน้าโผล่พรวดออกมาด้านนอก ผมสลวยของเธอถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำเมือก เสื้อผ้าชุดกาวน์เปรอะเปื้อนยืดเป็นยาง ไหนจะแขนขาที่เกาะกังไปด้วยก้อนวุ้นที่ไม่รู้สึกได้ถึงความมีประโยชน์ใด ๆ เลย
.
"ฮึบ.. ฮาาาา.. อากาศบริสุทธิ์สดชื่นที่สุดเลย.. ย.. ย.."
"เคสยากระดับนี้ถ้ามันจะพลาดบ้างก็คงไม่เป็นไรหรอก สงครามนิวเคลียร์ทำคนตายมากกว่าฉันตั้งเยอะ"
.
ร่างบางสืบเท้าเดินมาทิ้งตัวลงกับเก้าอี้หมุนหลังโต๊ะทำงาน เธอชูมือขึ้นสุดเหยียดบิดตัวไปมาบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อันเกิดจากหน้าที่ ๆ ต้องรับผิดชอบ ตาหยีเล็กเรียวของเธอเร่ิมเคลื่อนตัวปิดสนิท ครานั้นหางตาก็ยังคงยกสูงด้วยสไตล์ของคนเอเชียที่หาดูได้ยากยิ่งในยุคปัจจุบัน
.
"ดึ๋งงงง.. ดั๋งงงง.. ด๊วบบบ.. ด๊วบบบ!"
เสียงแหวกม่านเจลแบบเดียวกันดังตามมาติด ๆ หากแต่คราวนี้คนที่โผล่ออกมาไม่ใช่คุณยูมิผู้ช่วย หากแต่เป็นนาริตะพยาบาลสาวหน้าตาน่ารักอีกคนหนึ่ง
.
"ฮึบ.. อึบ!.. อ่า!.. น้ำได้แล้วค่ะคุณหมอ เหนื่อยแย่เลยนะคะ"
เธอวางแก้วลงบนโต๊ะ เสียงกระทบทำให้หมอยูมิโกะสะดุ้งตื่นขึ้นจากภวังค์
.
"อ่าว.. นาริตะจัง แล้วยูมิจังล่ะจ๊ะ?"
.
"อ๋อ! พี่ยูมิกำลังตระเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้คุณหมออยู่ค่ะ เห็นแกบอกว่าถ้าปล่อยให้คุณหมอตัวเปื้อนแบบนี้นาน ๆ เดี๋ยวจะไม่สบาย"
.
ยูมิโกะมุ่ยหน้า เธอยืดตัวขึ้นจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาบ่องแบ้วของพยาบาลผู้ช่วย
.
"พวกเธอพี่น้องนี่ยังไงกัน? ชอบทำนอกเหนือคำสั่งหมออยู่เรื่อย บางทีหมอก็คิดเหมือนกันนะว่าทำอะไรพลาดไปรึเปล่า? ถ้างั้นขอลองอีกทีนะ"
.
กระดกแก้วน้ำยกขึ้นซดรวดเดียวหมด กระแอมในลำคอเล็กน้อยแล้วก็ออกคำสั่งใหม่
.
"นาริตะจังจ๊ะช่วยเตรียมเตียงผ่าตัดให้หน่อยสิ หมออยากนอนพักสักงีบก่อนเริ่มงานต่อใน section ที่ 2 ปลุกหมอตอนบ่ายสองสี่สิบห้านะ"
.
"ไฮ้! , ได้ค่ะ^^"
.
.
พื้นที่ส่วนหน้าบริเวณที่หมอยูมิโกะกับนาริตะจังอยู่ ณ ขณะนี้ กินพื้นที่ราว 30% ของชั้น 4 เห็นจะได้ มันถูกปูด้วยกระเบื้องโมเสคอย่างดี มีตู้ยาสามัญประจำบ้านขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง ค่อนไปทางขวาด้านในสุดเป็นมุมโต๊ะทำงานที่ยูมิโกะกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ ส่วนม่านเจลตึ๋งหนืดนั้นอยู่เยื้องไปทางขวาห่างจากโต๊ะประมาณ 3 เมตร กินพื้นที่ฝาผนังไปหมดทั้งแถบ ซึ่งบอกตรง ๆ เลยว่าการเต้นยุบยับของมันมองกี่ครั้งก็สะอิดสะเอียนน่าขนลุก คิดไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าเหตุไฉนและเพราะอะไรหมอยูมิโกะสาวญี่ปุ่นผิวเนียนหุ่นบอบบางผู้นี้ ถึงได้มีรสนิยมประดิษฐ์ของแบบนี้ขึ้นมา
.
สรุปแล้วถ้าไม่นับเจ้าผนังม่านเจลชวนอ้วกดังกล่าว พื้นที่ส่วนหน้านี้ก็มีสภาพไม่่ต่างจากคลีนิครักษาคนไข้ของหมอทั่่วไป เครื่องไม้เครื่องมือครบ เว้นก็แต่เตียงผ่าตัดที่จะเคลื่อนตัวขึ้นมาก็ต่อเมื่อมีคนกดปุ่มลับที่ซ่อนไว้เท่านั้น
.
นาริตะจังซอยเท้ายุกยิกยิ้มแป้นแล้นไปที่ด้านหลังตู้เก็บยา ทันทีที่เธอเอื้อมมือไปกดสวิทซ์ลับ กลุ่มกระเบื้องโมเสคตรงกลางห้องก็เลื่อนสลับที่ปรับตำแหน่งได้เองราวกับตัวต่อพาสเซิล แรงสั่นสะเทือนจากพื้นสำผัสได้โดยตรงจากฝ่าเท้า แก้วน้ำที่หมอกินหมดแล้วกระทบกับสันโต๊ะ ก๊อกแก๊ก ๆ ๆ จนเกือบจะร่วงหล่น แล้วทันใดนั้นเองพื้นที่ตรงกลางก็ค่อย ๆ ยุบตัวลงไป เผยให้เห็นเตียงผ่าตัดหนังสีดำขลับเคลือบมันแวววับค่อย ๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาทดแทนด้วยระบบไฮโดรลิค เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากลูกสูบบดอัดกันเสียดสีก้องดังกังวาน ควันเล็กน้อยที่โพยพุ่งออกมาช่วยให้ทุกอย่างดูอลังการมากยิ่งขึ้น
.
หมอยูมิโกะเท้าคางมองนวัตกรรมที่เธอสรรค์สร้างด้วยความภูมิใจ มันช่างเท่ถูกใจเหมาะกับลุคสาวฮาราจูกุตัวเปื้อนเมือกอย่างเธอเสียจริง ก่อนจะเหลือบตาขึ้นไปมองฝ้าเพดานข้างบนต่อ ให้ตายเถอะ! เพราะว่ามันแทบจะไม่ต่างกันเลย หลอดไฟนีออนบนเพดานย่นยู่เข้าหากันราวกับหลอดกาแฟ ต่อด้วยการพลิกสลับด้านคลี่ตัวออกคล้ายกับใบพัด แผ่สยายออกมาเป็นหลอดไฟผ่าตัดหลาย ๆ ดวงที่เรียงติด ๆ กันเป็นแพร สว่างไสวยิ่งกว่าสปอร์ตไลท์ในสนามโอแทรดฟอร์ด
.
"พอแล้วจ๊ะนาริตะ ไม่ต้องเปิดไฟหรอกหมอแค่จะนอนเฉย ๆ อย่าลืมปลุกด้วยนะ"
.
"แต่หมอคะนอนบนเตียงคนไข้แบบนี้มันจะดีเหรอคะ โบราณเขาถือ"
มือเรียวคว้าเอาชายเสื้อเปื้อนเมือกของหมอเอาไว้ เจตนารั้งให้เจ้านายฉุดคิด
.
"ไหนจะชุดที่เปื้อนอยู่นี่อีกล่ะคะ ไม่รอพี่ยูมิหน่อยหรอ? พวกเราพร้อมจะรับใช้หมออยู่แล้วไม่ต้องเกรงใจเลย"
.
"เฮ้อ.. หมอว่าพวกเธอน่าจะเสียจริง ๆ แล้วล่ะ! ไปเลยนะไปยืนเฝ้าหน้าประตูโน่นเลย! ฉันจะนอนพักสมองให้หายเครียดตื่นมาคงไม่ต้องทำแล้วล่ะงาน section 2 อะไรเนี่ยะ พวกเธอพี่น้องน่ีล่ะเคสเร่งด่วนเลย เฮ้อ!"
.
สงสารก็สงสารทำไมน้อทำไมถึงทำกับนาริตะจังได้ลงคอ? สาวน้อยคอตกเดินจิกเท้ายุกยิกกลับไปเฝ้าหน้าประตูตามที่คุณหมอสั่ง เธอก็แค่ปรารถนาดีทำไมคุณหมอถึงต้องตวาดเธอรุนแรงเช่นนี้ด้วย
.
"ก็นาริตะรักคุณหมอนี่นา หมอไม่เคยแอบรักใครหมอไม่รู้หรอก เช๊อะ!"
หน้างอเป็นห่อหมก แต่ต่อให้อยู่หน้าประตูสาวเจ้าก็ยังแอบอมยิ้มและชำเลืองมองคุณหมอคนเก่งของเธออยู่เป็นระยะ
.
"พี่ยูมิก็ช้าเหลือเกิน ถ้าคุณหมอไม่สบายขึ้นมาฉันโกรธพีี่จริง ๆ นะ"
.
ระหว่างที่คุณหมอยูมิโกะค่อย ๆ ซ่วงซึมหลับไป ตัดภาพมาที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามแขนพิการกับองคชาติใหญ่ยักษ์กันบ้าง เบอร์แบโต้ประคองเอาร่างอันหนักอึ้งของเจฟเฟอร์ขึ้นมาถึงชั้น 3 เป็นที่เรียบร้อย ในขณะที่เรี่ยวแรงเองก็เริ่มจะร่อยหรอลงทุกที ไหนจะต้องมาถือแขนที่ขาดกับดอกไม้บ้าบอที่แสนจะพะรุงพะรังนี่อีก
.
"ถึงยังวะไอ้โต้! กูชักเริ่มหน้ามืดแล้วว่ะ ไม่น่าอวดเก่งเลยกูแม่งหายใจไม่ออก.. แค็ก ๆ แค็ก ๆ"
.
"ยังพี่เพิ่งชั้น 3 เองเพิ่งถึงฝ่ายการเงิน อดทนอีกนิดเดียวขึ้นบันไดนี้ไปก็ถึงแล้ว ว่าแต่ควยพี่นี่แม่งโคตรถึกเลยว่ะเดินลากมากับพื้นขนาดนี้ยังโด่ไม่รู้ล้มอยู่เลย พี่กินอะไรโด๊ปมารึเปล่าพี่เจฟ มีของดีอะไรบอกน้องบอกนุ่งบ้าง?"
.
"แดกน้ำหีแม่มึงมั้งไอ้สัด! ไม่มีเหี้ยไรทั้งนั้นแหละ! ก็เพราะกูไม่รู้นี่ไงกูถึงให้มึงพามาหาหมอ บอกตรง ๆ นะแขนที่ขาดอ่ะกูไม่ห่วงเลยกูเคยโดนมาหนักกว่านี้ แต่ควยกูดิแม่งผิดปกติโคตร ๆ ! แข็งจนปวดระบมไปหมด ไป ๆ อย่าถามมากกูต้องใช้ออกซิเจนหายใจอีกเยอะ"
.
"ได้้พี่ได้ถึงพอดีเลย เลี้ยวซ้ายข้างหน้าก็ถึงแล้ว"
.
ร่างหนาสองร่างตะกุยตะกายข้างฝา เซถลาตามทางเดินมาจนถึงห้องรับรองส่วนหน้าของหมอยูมิโกะ ด้วยเลือดที่หยดเป็นทางมาจากชั้นล่าง (ร้านดอกไม้) ถ้าจุดคัดกรองส่วนหน้าไม่ให้ผ่านก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว เพราะเท่าที่ดูอาการโดยรวมของเจฟเฟอร์เขาน่าจะต้องถูกส่งตัวผ่านม่านเจลสนธยา เข้าไปรักษากันภายในอย่างไม่ต้องสงสัย
.
และทันทีที่สายลับรุ่นน้องสังเกตเห็นป้ายไฟฉุกเฉินหน้าห้องสว่างโพลงอยู่ เขาจึงเร่งใช้ไหล่กระแทกประตูเข้าไปโดยไม่ทันเคาะก่อน ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์! "ถ้าหมอยูมิโกะฆ่ากูตาย มึงช่วยเก็บศพให้กูด้วยนะ!" เบอร์แบร์โต้ลืมคำพูดประโยคนี้ในบทที่แล้วไปอย่างสิ้นเชิง
.
"หมอครับช่วยด้วยครับ มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บสาหัส!"
.
สองร่างแกร่งพุ่งพรวดเข้าไปในห้องรับรองส่วนหน้าพร้อมกับลิ่มเลือดหลากเป็นสายน้ำ ขณะที่อีกฟากของบานประตูคือสาวน้อยนาริตะที่ถูกออกคำสั่งให้ยืนเฝ้าประตูเอาไว้ไม่ให้มีใครรบกวน เรือนร่างอันบอบบางมีหรือจะสู้แรงชายฉกรรจ์ที่เพิ่งผ่านการรุมปี้ผู้หญิงได้ แรงอัดจากประตูจึงซัดเอาร่างบางกระเด็นล้มกลิ้งกองลงกับพื้น แล้วภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นเองที่ทำให้นาริตะต้องตกอกตกใจ เธอหวาดกลัวมากจนกลั้นเสียงกรี๊ดไว้ไม่อยู่!
.
"โรคจิต!!! กรี๊ดดดดดด!!!"
.
เบอร์แบร์โต้น่ะไม่เท่าไหร่ แต่เจฟเฟอร์นี่สิที่ผ้าเช็ดตัวหลุดจากเอวไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้! แม้จะไม่ตั้งใจแต่ปลายควยก็ได้จ่ออยู่ตรงหน้านาริตะจังไปเป็นที่เรียบร้อย!
"กรี๊ดดดดดด! หมอคะมีโรคจิตบุกเข้ามาในคลีนิคเราค่ะ!"
.
"ฟิ้งงงงง~!"
ยูมิโกะไม่ได้ตื่น! แต่ที่ตื่นดันเป็นสัญชาติญาณนักฆ่าที่อยู่ในตัวเธอ! นัยน์ตาหยีหางตาชี้คู่เดิมเพิ่มเติมตรงความเหี้ยม! การเป็นคนเอเชียที่มีชีวิตรอดอยู่ในยุคนี้ย่อมพิสูจน์แล้วซึ่งหลายสิ่งหลายอย่าง เธอไม่ใช่หมอธรรมดาอย่างที่เจฟเฟอร์บอกจริง ๆ เพราะส่ิงที่เธอทำในเสี้ยววินาทีสั้น ๆ ได้ทำให้ชายอเมริกันปากดีอย่างเบอร์แบร์โต้ ถึงกับวิ่งหนีหางจุกก้นไปเลย!
.
"เฟี้ยววว!" , "จึก!" , "จึก!"
.
"อั๊ก!"
.
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าแค่กิ๊บติดผมก็ฆ่าคนได้! ยูมิโกะไม่ได้ลืมตาด้วยซ้ำ เธอแค่ดีดตัวขึ้นจากเตียงแล้วเหวี่ยงมันออกไปด้วยแรงสะบัดจากเส้นผม กิ๊บ 2 ตัวปักเข้าที่จุดตาย! ยังไม่พอ! ทักษะนักฆ่าชั้นสูงยังดำเนินต่อไปด้วยการม้วนตัวลงจากเตียงผ่าตัด เอื้อมมือไปหยิบดาบซามูไรที่ซ่อนไว้ข้างใต้ กระชากฝักทิ้งด้วยความแคล่วคล่อง แล้วปรี่เข้ามากระโดดฟันฉับ! ขาดสะพายแล่ง! (ภายในดาบเดียว)
.
ตัวเหยื่อขาดออกเป็นสองท่อน ไล่ไปตั้งแต่ไหปลาร้าซ้ายจรดสะโพกขวา เลือดฉีดขึ้นฟ้าพุ่งออกเป็นสายคล้ายน้ำพุ สยดสยองโคตร ๆ ความแดงฉานใหม่สดของมันกลบคราบเลือดเดิมจากแขนเจฟเฟอร์ชนิดไม่เห็นฝุ่น ปากสั่นพับ ๆ ฟันกรามกระทบกันกึกกัก ๆ ๆ ผู้ป่วยแขนขาดที่กำลังต้องการหมอหันมองไปทีี่ทางเดินด้านนอก พลันตะโกนออกมาด้วยซุ่มเสียงอันดังสนั่น
.
"ไอ้เบอร์แบร์โต้มึงทิ้งกูเลยนะ! ไหนมึงสัญญากับกูแล้วไง! ไอ้น้องเวร!"
.
"ผมต้องรีบเอาเช็คไปขึ้นเงินกับคุณเอ็มม่าชั้น 3 ก่อนพี่! ที่เหลือพี่ช่วยตัวเองล่ะกัน เหวอ ๆ ๆ โหดสมคำร่ำลือเลยหมอยูมิโกะ รอดมาได้ค่อยเจอกันนะพี่เจฟผมไปก่อนล่ะ!"
"ฮึบ.. ฮึบ.. ย๊ากกก!"
.
วิ่งตื๋อลงบันไดชนิดไม่มีวันหวนย้อนกลับ ในท่านั่งจุ่มก้นลงกับพื้นเจฟเฟอร์เอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาปิดควยโด่เด่ของเขาเอาไว้ พยายามมองหาช่อดอกลาเวนเดอร์ก่อนจะพบว่ามันตกอยู่ใต้เตียงที่ต้ังอยู่กลางห้อง ส่วนแขนที่ขาดเจ้ากรรมก็ดันกระเด็นไปตกอยู่ข้างกันกับเหยื่อ ผู้ซึ่งถูกหมอยูมิโกะฟันขาดสองท่อนไปเมื่อครู่!
.
"อีหมอเวรเอ๊ย! ถ้ามึงฟันแม่น ๆ กูจะไม่ว่าอะไรเลย"
.
"นี่ดาบซามูไรมึงฟันลูกน้องตัวเองขาดสะพายแล่ง มึงยังไม่รู้ตัวอีก!"
เจฟเฟอร์คิดในใจ นั่งนิ่งไปไหนต่อไม่ไหว แผลที่แขนเปิดมากจนเลือดแทบจะหมดตัวอยู่รอมร่อ
.
"หมอ! หมอ! อีหมอยูมิโกะ! นี่ผมเองเจฟเฟอร์ตื่นซะทีสิอีชะนีอะลิกาโต๊ะ! แม่งเอ๊ยได้ยินเสียงกรี๊ดทีไรสติสตังค์ไปหมด!"
ตะโกนด่าก็แล้ว
.
"คุณจะฆ่าผมไม่ได้นะ คุณเป็นหมอที่เก่งที่สุดของ Parallel คุณต้องรักษาคนสิไม่ใช่ฆ่าคน ผมไม่รู้ว่าคุณผ่านอะไรมาบ้างในช่วงสงคราม แต่ช่วยฟังผมหน่อยได้ไหมได้สติซะที!"
พูดดีด้วยก็แล้ว
.
แต่ดูเหมือนว่าหมอยูมิโกะนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอกลายสภาพเป็นนักฆ่ากระหายเลือดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย คำเตือนที่เจฟเฟอร์บอกให้เบอร์แบร์โต้ช่วยเก็บศพให้หน่อย ก็เลยดูท่าว่าจะกลายเป็นจริงซะแล้ว เสื้อผ้าหน้าผมเปรอะเปื้อนไปด้วยลิ่มเลือดที่โค้งลงมาใส่ราวกับห่าฝน ยูมิโกะแยกเขี้ยวเอียงคอจ้องจะฟันเจฟเฟอร์อีกสักฉับ! ด้วยความสัตย์จริง!
.
"โคตรแม่มเอ๊ย! ชีวิตกูจบแน่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง"
.
"เอาสิหมอ! ผมเตือนคุณแล้วนะคุณคิดว่าผมเป็นใคร สายลับเวลาจนตรอกน่ะมีอะไรใกล้ตัวก็เอามาใช้ได้หมด โลกต้องจดจำผมในฐานะของชายคนแรกที่ใช้ควยสู้กับดาบซามูไร!"
.
"มา!.. ยูมิโกะ! มา! มาสู้กันสักตั้ง!!!"
กระจัดกระจายจริง ๆ สมกับชื่อบท เพราะนอกจากจะบินเข้ามาโฉบเอาร่างของเจฟเฟอร์เอาไว้ไม่ให้หล่นลงไปตายแล้ว บนฟากฟ้ายังมีพวกมันอีกเป็นโขยง! ท้องฟ้าที่เคยสดใสแดดจัด ๆ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยฝูงแมลงวันเป็นล้าน ๆ ตัว."อะไรกัน! พวกแกอีกแล้วหรอ!"."หึ่ง ๆ ๆ ๆ หึ่ง ๆ ๆ ๆ "."ฮู้ววว! ไม่รู้ยังไงเหมื่อนกันแต่ก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์มาช่วย พาฉันลงไปข้างล่างที".กลุ่มก้อนแมลงวันดำขลับเป็นขยุยกระจายตัวไปเกาะตามแขนขาแล้วก็เสื้อผ้า ก่อจจะค่อย ๆ ลดระดับความสูงลงเรื่อย ๆ ตามที่ได้รับคำสั่ง พร้อมกันนั้นไฟสีเขียวในหูฟังก็เริ่มกระพริบปิ๊บ ๆ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หางตาของเจฟเฟอร์ดันชำเลืองไปเจอเข้า เขาก็เลยมีความคิดที่จะดึงมันออกมาเช็ดดู จะได้รู้ว่าเป็นเพราะเจ้านี่รึเปล่าที่เรียกพวกแมลงวันมา แต่ทว่ายังไม่ทันจะทำอะไรเลย! จู่ ๆ หมู่ภมรอีกกลุ่มซึ่งอยู่อีกด้านของฟากฟ้าก็ชิงตัดหน้าเขาซะงั้น! พวกมันบินโฉบลงมาเป็นก้อนสีดำขนาดเท่าลูกบาส พุ่งมาที่ใบหูแล้วก็ดึงเอาหูฟังออกให้.ซึ่งพอวัตถุเล็กจิ๋วนั่นถูกส่งถึงฝ่ามือเท่านั้นแหละ ความฉิบหายก็บังเกิดทันที! คุณพระคุณเจ้าเอ๊ย! หล่นกระแทกพื้นสิครับจะเหลือเหรอ."ฟึบบบ! ,
ไหลพรืด ๆ อย่างกับบันไดเลื่อน ร่างอันอิดโรยของเจฟเฟอร์ไม่อาจต่อต้านเพราะดันเสร่อฝังตัวเองไว้ในทราย เป็นกรรมหรือความโง่ก็ไม่รู้แต่ที่รู้คือเจฟเฟอร์แม่งไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ชัวร์ ๆ ตัวเขาลอยปลิวไปพร้อมกับทราย โดยมีพิกัดเป้าหมายอยู่ที่อุ้งตีนของเจ้าแซนดี้."อั๊ก! โอ๊ก! อั๊ก! แค็ก ๆ ใครจะไปรู้ว่ะว่ามันทำแบบนี้ได้ด้วย.. อั๊กกก! อึกกก!"."อุตส่าห์คิดว่าหลบพ้นแล้วแท้ ๆ ที่ไหนได้ดันโดนดึงเข้าไปหา อ๊วกกก! อั๊กกก! ตายห่าแน่กู!".หลับตาปี๋พลางรอจังหวะสูดลมหายใจเข้าเป็นระยะ ร่างหนาของเจ้าหน้าที่หนุ่มดำผุดดำว่ายจอมจมอยู่ในกระแสธารแห่งชะตากรรม เขาคาดเดาไม่ได้ว่าแต่นี้ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เพราะลำพังแค่ประคองตัวไม่ให้สำลักทรายตายไปซะก่อนก็บุญแค่ไหนแล้ว.บางทีสาเหตุของเรื่องอาจเป็นเพราะเจ้าตัวนั้นชะล่าใจเกินไป ก่อนหน้านี้ตอนที่เจฟเฟอร์เพิ่งจะกลบทรายฝังตัวเองใหม่ ๆ เขาก็เอะใจอยู่แล้วเชียวว่าเจ้ายักษ์แซนดี้มันมีท่าทีแปลก ๆ เขาคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่ามันคงจะหาเขาไม่เจอ ก็เลยถอดใจก้มหน้าก้มตาเงินงกพลางเอาแขนจุ่มลงไปในพื้นทรายคล้ายกับว่าจะยอมแพ้แต่ที่ไหนได้เจฟเฟอร์ดันคิดผิด! เพราะชั่วพริบตาหลังจา
"ไม่ทันแล้วหมอ มันฟาดลงมาแล้ว อร๊ากกกกก!!!".เจฟเฟอร์ร้องลั่นเขายกมือขึ้นค้ำแม้จะรู้ดีว่าเป็นดั่งไม้ซีกงัดไม้ซุง แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเพราะท่วงท่าแต๋วแตกดังกล่าวนั่นเองที่ทำให้เจ้าตัวยังคงมีชีวิตรอด เมื่อหมอยูมิโกะที่อยู่อีกฟากหนึ่งของปลายสายได้ใช้ปฏิิภาณไหวพริบตะโกนสวนออกไปว่า."Drain!!!"มันดังซะจนเจฟเฟอร์คิดว่าแก้วหูตัวเองคงแตก มันดังจนลอดผ่านหูฟังออกมาแล้วก็ไปรันเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ภายในของเจ้าหน้าที่ภาคสนาม.เพียงเสี้ยวอึดใจวินาทีที่ฝ่ามือทรายใหญ่เบิ้มกำลังจะบดขยี้ร่างอยู่รอมร่อ ฝ่ามือของเจฟเฟอร์ก็จมบุ๋มลงไปเป็นหลุม แล้วพลังลมดูดอันเชี่ยวกราดก็เริ่มทำงาน มันดูดเอาเม็ดทรายมากมายเข้ามาเก็บไว้ในตัว กระบวนการทุกอย่างเหมือนกับตอนที่เจฟเฟอร์ทำกับก้อนความคิดผู้คนเป๊ะ ๆ ฝ่ามือเขาดูดด๊วบ ๆ สูบเอาทรายเป็นตัน ๆ เข้ามา ส่งผลให้อวัยวะของเจ้าปีศาจยักษ์เริ่มจะมีสภาพเว้าแหว่งเจียนอยู่เจียนไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่มือแต่รวมไปถึงขาด้วย การ Drain อันยอดเยื่ยมทำให้ขาของมันเสียการทรงตัว พลันล้มตรึงลงหงายท้องหงายไส้."ตรึมมมมมมมม!".แต่ทว่ากับแขนขวาของเจฟเฟอร์นี่สิ ที่ลักษณะดูไม่ดีเอาซะเลย เจ้า
ร่างหนาค่อย ๆ กระเถิบตัวเองถอยห่างออกมาจากส้นตีนทรายเล็กน้อย พลางดึงหูฟังไร้สาย (ข้างเดียว) ที่หมอยูมิโกะให้มาตั้งแต่ตอนแรกออกมาเช็คดู เขาทั้งตบทั้งตีแล้วก็เคาะมันสลับกับการพูดขอความช่วยเหลือแบบกระซิบกระซาบ."ฮัลโหล! หมอ! ได้ยินผมไหมหมอ! ช่วยผมด้วย..".เงียบสนิทไม่มีสัญญาณตอบรับใด ๆ กลับมา มิหนำซ้ำการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงดังกล่าว ยังไปเรียกเอาบาทาของเจ้ายักษ์บิ๊กเบิ้มเอาเข้าให้."เหี้ยเอ๊ย! มันยกขาเตรียมจะกระทืบกูอีกดอกแล้ว! ย๊ากกกก!"."ฮึบ!!!".คราวนี้ไม่รอดลำตัวของเจฟเฟอร์โดนฝ่าเท้าทรายใหญ่ยักษ์อัดเข้าเต็มลำ ตัวเขากลิ้งหลุน ๆ คอพับไถลลากไปกับพื้นทราย กระอักเลือดแค๊ก ๆ เท่านั้นยังไม่พอเจ้าปีศาจทรายไจแอนท์ยังอุตส่าห์ตามมาเก็บงานของตน ด้วยการวิ่งปรี่เข้ามาใส่ง้างกำปั้นมาแต่ไกล หวังจะเผด็จศึกเขาด้วยหมัดขวาตรงไม่หลงติดยา!."ตรึมมม!!!".ชายหนุ่มวาร์ปตัวหลบหมัดดังกล่าวได้ราวกับปาฏิหาริย์ เขาโคตรจะงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถึงยังไงความสำคัญของการติดต่อหมอยูมิโกะให้ได้ ก็มีค่ามากกว่า จึงรีบวิ่งตื๋อหนีออกมาตั้งหลักให้ไกลขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่อสูรกายจัมโบ้กำลังโงนเงนตั้งตัวเตรียมจะโจมตี
พื้นทรายรอบตัวทั้ง 360 องศาพุ่งทะยานขึ้นเป็นแท่งเสา มันโผล่พรวดเป็นลำ ๆ ขนาดสูงใหญ่ตระการตามากกว่าตึก 8 ชั้น เจฟเฟอร์ยืนขาแข็งทื่อแหงนมองมันจนคอเป็นเอ็น เขาตกตะลึงจนก้าวขาไม่ออก ไม่มีทางหนีไม่มีที่ซ่อน ทุกทิศทุกทางถูกล้อมไว้ด้วยแท่งทรายหลายสิบต้น การผุดขึ้นดังกล่าวทำให้เม็ดทรายบางส่วนกระเด็นหลุดออกมา ซึ่งกว่าจะหล่นลงสู่พื้นได้ก็ใช้เวลามากกว่า 10 วิบ่งบอกถึงความอลังการใหญ่ยักษ์ ด้วยสเกลที่เทียบได้กับภูเขากับเห็บหมา จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายพิการแขนขาดอย่างเจฟเฟอร์จะต่อกรกับมันได้."แสกนข้อมูลวิเคราะห์องค์ประกอบ"ชายหนุ่มสั่งการซุ่มเสียงสั่นเครือ.ทันใดนั้นภาพที่เห็นในมุมมองบุคคลที่หนึ่งก็ปรากฏเป็นเคอร์เซอร์กระพริบแป๊บ ๆ วิ่งไล่แสกนแท่งทรายต้นหนึ่งตั้งแต่บนยันล่าง ตัวเลขข้อมูลวิ่งยึกยืออยู่ริมจอรอการประมวลผล."เราอาจจะแค่กลัวไปเอง บางทีในแท่งทรายนั่นอาจจะมีตัวอะไรซ่อนอยู่ ตัวที่ใช้ทรายในการข่มขู่ศัตรูคล้ายกับหางของงูหางกระดิ่ง..".ชุดข้อมูลยังคงวิ่งต่อไป ในขณะที่ขาทั้งสองข้างก็สั่นรัวพอ ๆ กัน เขากำลังจะจมลงไปเรื่อย ๆ ด้วยผลพวงจากเม็ดทรายข้างบนที่หล่นลงมาทับถม."ติ๊ด! ๆ , ติ๊ด! ๆ
ตัดภาพกลับมายังชั้น 4 ด้านหลังผนังเมือกเจลกันอีกที หลังจากที่ได้สร้างความวินาศสันตะโรให้แก่ชั้นล่างมาอย่างต่อเนื่อง บัดนี้เจฟเฟอร์ บัตเจนแลนด์ของเราก็เหมือนจะโดนเอาคืนบ้างซะแล้ว เพราะจู่ ๆ เจ้าโบกี้รถไฟอันเป็นยานพาหนะเพียงอย่างเดียวก็ชักจะเริ่มพยศ มันดันทะลึ่งทำความเร็วขึ้นเองโดยที่เขาไม่ได้สั่งหรือทำอะไร ความเร็วดังกล่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบทำให้ล้อกระเด็นตกจากราง ทั้ง ๆ ที่บริเวณนี้เป็นแค่ผืนทรายราบ ๆ ไม่ได้มีความสูงชันเหมือนตอนที่ปล่อยรถลงมาสักหน่อย"เฮ่ย! เฮ่ย! เร็วไปแล้ว! ชักไม่สนุกแล้วนะเพื่อน เหวอ ๆ ๆ ".เจ้าหน้าที่แขนพิการแหกปากร้องลั่นแข่งกับเสียงล้อเหล็ก ที่กระเด้งกระดอนครูดกับรางอย่างผิดวิสัย ครั้นพอลองชะโงกหน้าออกไปดูก็เห็นแต่ประกายไฟเป็นเส้น ๆ แฉลบออกมาจากใต้ท้องเสียงดังอี๊ดดดดด! น่าเสียวไส้!."หมอ! แม่งไม่โอเคแล้วหมอ! โบกี้มันจะคว่ำก่อนไปถึงแล้วหมอ! ว๊ากกกก! อ๊ากกกก!!!".โบกี้เหล็กยังคงบดล้อเข้ากับราง มันวิ่งส่ายยึกยือไปมาฉวัดเฉวียนคล้ายกำลังจะเสียศูนย์ การเหวี่ยงแต่ละครั้งก็แทบจะทำให้ตัวถังพลิกคว่ำอยู่รอมร่อ บางจังหวะก็ถึงกับยกล้อลอยพ้นพื้นเอียงกระเท่เร่ชวนให้ลุ้นร