บนชั้น 4 ของอาคารสำนักงานใหญ่ Parallel นั้นแตกต่างไปจาก 3 ชั้นข้างล่างอยู่มากโข กล่าวคือ ไม่มีใครรู้ว่ารูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของมันเป็นยังไง มันเปรียบได้กับแดนสนธยาที่มีเพียงแพทย์หญิงเจ้าของชั้นอย่างยูมิโกะ กับบอสเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พื้นที่ทั้งชั้นถูกปกปิดไว้หมดด้วยม่านพลังงานที่เธอคิดค้นขึ้น แผ่นเจวบาง ๆ ขุ่นใสสีช้ำเลือดช้ำหนองฉาบไปทั่วทุกซอกทุกมุม ขึงพืดสร้างเป็นผนังกั้นห้องราวกับไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ความลับในโลกส่วนตัวของเธอ
.
แต่ถึงกระนั้นก็ยังเปิดพื้นที่ส่วนหน้าเอาไว้ เพื่อคอยคัดกรองบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงาน คนที่อาการหนักจะถูกนำตัวฝ่าแผ่นเจลเหนือดเหนียวเข้าไปภายใน ส่วนคนที่อาการไม่เท่าไหร่หมอยูมิโกะจะทำการรักษาแบบฉับไวอยู่ด้านนอก ซึ่งก็ต้องมาลุ้นกันอีกทีว่าอาการของพ่อหนุ่ม เจฟเฟอร์ บัตเจนแลนด์ นั้น จะอยู่ระดับไหนในสายตาเธอ
.
"ฮู้วววว.. เสร็จซะที เมื่อยจังเลยยูมิ ขอน้ำให้ฉันสักแก้วสิที่รัก"
.
"ไฮ้!..ได้ค่ะหมอ เชิญคุณหมอออกไปรอด้านนอกนะคะ เดี๋ยวยูมิตามออกไป"
.
ม่านเจลเหนียวหนืดจมบุ่มลึกลงไป หมอสาวพราวสเน่ห์สอดแขนเข้าไปก่อน ต่อด้วยการค่อย ๆ เอี้ยวตัวเบียดเสียดความยืดหยุ่นหยึกหยึ๋ยดังกล่าว จนดวงหน้าโผล่พรวดออกมาด้านนอก ผมสลวยของเธอถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำเมือก เสื้อผ้าชุดกาวน์เปรอะเปื้อนยืดเป็นยาง ไหนจะแขนขาที่เกาะกังไปด้วยก้อนวุ้นที่ไม่รู้สึกได้ถึงความมีประโยชน์ใด ๆ เลย
.
"ฮึบ.. ฮาาาา.. อากาศบริสุทธิ์สดชื่นที่สุดเลย.. ย.. ย.."
"เคสยากระดับนี้ถ้ามันจะพลาดบ้างก็คงไม่เป็นไรหรอก สงครามนิวเคลียร์ทำคนตายมากกว่าฉันตั้งเยอะ"
.
ร่างบางสืบเท้าเดินมาทิ้งตัวลงกับเก้าอี้หมุนหลังโต๊ะทำงาน เธอชูมือขึ้นสุดเหยียดบิดตัวไปมาบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อันเกิดจากหน้าที่ ๆ ต้องรับผิดชอบ ตาหยีเล็กเรียวของเธอเร่ิมเคลื่อนตัวปิดสนิท ครานั้นหางตาก็ยังคงยกสูงด้วยสไตล์ของคนเอเชียที่หาดูได้ยากยิ่งในยุคปัจจุบัน
.
"ดึ๋งงงง.. ดั๋งงงง.. ด๊วบบบ.. ด๊วบบบ!"
เสียงแหวกม่านเจลแบบเดียวกันดังตามมาติด ๆ หากแต่คราวนี้คนที่โผล่ออกมาไม่ใช่คุณยูมิผู้ช่วย หากแต่เป็นนาริตะพยาบาลสาวหน้าตาน่ารักอีกคนหนึ่ง
.
"ฮึบ.. อึบ!.. อ่า!.. น้ำได้แล้วค่ะคุณหมอ เหนื่อยแย่เลยนะคะ"
เธอวางแก้วลงบนโต๊ะ เสียงกระทบทำให้หมอยูมิโกะสะดุ้งตื่นขึ้นจากภวังค์
.
"อ่าว.. นาริตะจัง แล้วยูมิจังล่ะจ๊ะ?"
.
"อ๋อ! พี่ยูมิกำลังตระเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้คุณหมออยู่ค่ะ เห็นแกบอกว่าถ้าปล่อยให้คุณหมอตัวเปื้อนแบบนี้นาน ๆ เดี๋ยวจะไม่สบาย"
.
ยูมิโกะมุ่ยหน้า เธอยืดตัวขึ้นจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาบ่องแบ้วของพยาบาลผู้ช่วย
.
"พวกเธอพี่น้องนี่ยังไงกัน? ชอบทำนอกเหนือคำสั่งหมออยู่เรื่อย บางทีหมอก็คิดเหมือนกันนะว่าทำอะไรพลาดไปรึเปล่า? ถ้างั้นขอลองอีกทีนะ"
.
กระดกแก้วน้ำยกขึ้นซดรวดเดียวหมด กระแอมในลำคอเล็กน้อยแล้วก็ออกคำสั่งใหม่
.
"นาริตะจังจ๊ะช่วยเตรียมเตียงผ่าตัดให้หน่อยสิ หมออยากนอนพักสักงีบก่อนเริ่มงานต่อใน section ที่ 2 ปลุกหมอตอนบ่ายสองสี่สิบห้านะ"
.
"ไฮ้! , ได้ค่ะ^^"
.
.
พื้นที่ส่วนหน้าบริเวณที่หมอยูมิโกะกับนาริตะจังอยู่ ณ ขณะนี้ กินพื้นที่ราว 30% ของชั้น 4 เห็นจะได้ มันถูกปูด้วยกระเบื้องโมเสคอย่างดี มีตู้ยาสามัญประจำบ้านขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง ค่อนไปทางขวาด้านในสุดเป็นมุมโต๊ะทำงานที่ยูมิโกะกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ ส่วนม่านเจลตึ๋งหนืดนั้นอยู่เยื้องไปทางขวาห่างจากโต๊ะประมาณ 3 เมตร กินพื้นที่ฝาผนังไปหมดทั้งแถบ ซึ่งบอกตรง ๆ เลยว่าการเต้นยุบยับของมันมองกี่ครั้งก็สะอิดสะเอียนน่าขนลุก คิดไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าเหตุไฉนและเพราะอะไรหมอยูมิโกะสาวญี่ปุ่นผิวเนียนหุ่นบอบบางผู้นี้ ถึงได้มีรสนิยมประดิษฐ์ของแบบนี้ขึ้นมา
.
สรุปแล้วถ้าไม่นับเจ้าผนังม่านเจลชวนอ้วกดังกล่าว พื้นที่ส่วนหน้านี้ก็มีสภาพไม่่ต่างจากคลีนิครักษาคนไข้ของหมอทั่่วไป เครื่องไม้เครื่องมือครบ เว้นก็แต่เตียงผ่าตัดที่จะเคลื่อนตัวขึ้นมาก็ต่อเมื่อมีคนกดปุ่มลับที่ซ่อนไว้เท่านั้น
.
นาริตะจังซอยเท้ายุกยิกยิ้มแป้นแล้นไปที่ด้านหลังตู้เก็บยา ทันทีที่เธอเอื้อมมือไปกดสวิทซ์ลับ กลุ่มกระเบื้องโมเสคตรงกลางห้องก็เลื่อนสลับที่ปรับตำแหน่งได้เองราวกับตัวต่อพาสเซิล แรงสั่นสะเทือนจากพื้นสำผัสได้โดยตรงจากฝ่าเท้า แก้วน้ำที่หมอกินหมดแล้วกระทบกับสันโต๊ะ ก๊อกแก๊ก ๆ ๆ จนเกือบจะร่วงหล่น แล้วทันใดนั้นเองพื้นที่ตรงกลางก็ค่อย ๆ ยุบตัวลงไป เผยให้เห็นเตียงผ่าตัดหนังสีดำขลับเคลือบมันแวววับค่อย ๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาทดแทนด้วยระบบไฮโดรลิค เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากลูกสูบบดอัดกันเสียดสีก้องดังกังวาน ควันเล็กน้อยที่โพยพุ่งออกมาช่วยให้ทุกอย่างดูอลังการมากยิ่งขึ้น
.
หมอยูมิโกะเท้าคางมองนวัตกรรมที่เธอสรรค์สร้างด้วยความภูมิใจ มันช่างเท่ถูกใจเหมาะกับลุคสาวฮาราจูกุตัวเปื้อนเมือกอย่างเธอเสียจริง ก่อนจะเหลือบตาขึ้นไปมองฝ้าเพดานข้างบนต่อ ให้ตายเถอะ! เพราะว่ามันแทบจะไม่ต่างกันเลย หลอดไฟนีออนบนเพดานย่นยู่เข้าหากันราวกับหลอดกาแฟ ต่อด้วยการพลิกสลับด้านคลี่ตัวออกคล้ายกับใบพัด แผ่สยายออกมาเป็นหลอดไฟผ่าตัดหลาย ๆ ดวงที่เรียงติด ๆ กันเป็นแพร สว่างไสวยิ่งกว่าสปอร์ตไลท์ในสนามโอแทรดฟอร์ด
.
"พอแล้วจ๊ะนาริตะ ไม่ต้องเปิดไฟหรอกหมอแค่จะนอนเฉย ๆ อย่าลืมปลุกด้วยนะ"
.
"แต่หมอคะนอนบนเตียงคนไข้แบบนี้มันจะดีเหรอคะ โบราณเขาถือ"
มือเรียวคว้าเอาชายเสื้อเปื้อนเมือกของหมอเอาไว้ เจตนารั้งให้เจ้านายฉุดคิด
.
"ไหนจะชุดที่เปื้อนอยู่นี่อีกล่ะคะ ไม่รอพี่ยูมิหน่อยหรอ? พวกเราพร้อมจะรับใช้หมออยู่แล้วไม่ต้องเกรงใจเลย"
.
"เฮ้อ.. หมอว่าพวกเธอน่าจะเสียจริง ๆ แล้วล่ะ! ไปเลยนะไปยืนเฝ้าหน้าประตูโน่นเลย! ฉันจะนอนพักสมองให้หายเครียดตื่นมาคงไม่ต้องทำแล้วล่ะงาน section 2 อะไรเนี่ยะ พวกเธอพี่น้องน่ีล่ะเคสเร่งด่วนเลย เฮ้อ!"
.
สงสารก็สงสารทำไมน้อทำไมถึงทำกับนาริตะจังได้ลงคอ? สาวน้อยคอตกเดินจิกเท้ายุกยิกกลับไปเฝ้าหน้าประตูตามที่คุณหมอสั่ง เธอก็แค่ปรารถนาดีทำไมคุณหมอถึงต้องตวาดเธอรุนแรงเช่นนี้ด้วย
.
"ก็นาริตะรักคุณหมอนี่นา หมอไม่เคยแอบรักใครหมอไม่รู้หรอก เช๊อะ!"
หน้างอเป็นห่อหมก แต่ต่อให้อยู่หน้าประตูสาวเจ้าก็ยังแอบอมยิ้มและชำเลืองมองคุณหมอคนเก่งของเธออยู่เป็นระยะ
.
"พี่ยูมิก็ช้าเหลือเกิน ถ้าคุณหมอไม่สบายขึ้นมาฉันโกรธพีี่จริง ๆ นะ"
.
ระหว่างที่คุณหมอยูมิโกะค่อย ๆ ซ่วงซึมหลับไป ตัดภาพมาที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามแขนพิการกับองคชาติใหญ่ยักษ์กันบ้าง เบอร์แบโต้ประคองเอาร่างอันหนักอึ้งของเจฟเฟอร์ขึ้นมาถึงชั้น 3 เป็นที่เรียบร้อย ในขณะที่เรี่ยวแรงเองก็เริ่มจะร่อยหรอลงทุกที ไหนจะต้องมาถือแขนที่ขาดกับดอกไม้บ้าบอที่แสนจะพะรุงพะรังนี่อีก
.
"ถึงยังวะไอ้โต้! กูชักเริ่มหน้ามืดแล้วว่ะ ไม่น่าอวดเก่งเลยกูแม่งหายใจไม่ออก.. แค็ก ๆ แค็ก ๆ"
.
"ยังพี่เพิ่งชั้น 3 เองเพิ่งถึงฝ่ายการเงิน อดทนอีกนิดเดียวขึ้นบันไดนี้ไปก็ถึงแล้ว ว่าแต่ควยพี่นี่แม่งโคตรถึกเลยว่ะเดินลากมากับพื้นขนาดนี้ยังโด่ไม่รู้ล้มอยู่เลย พี่กินอะไรโด๊ปมารึเปล่าพี่เจฟ มีของดีอะไรบอกน้องบอกนุ่งบ้าง?"
.
"แดกน้ำหีแม่มึงมั้งไอ้สัด! ไม่มีเหี้ยไรทั้งนั้นแหละ! ก็เพราะกูไม่รู้นี่ไงกูถึงให้มึงพามาหาหมอ บอกตรง ๆ นะแขนที่ขาดอ่ะกูไม่ห่วงเลยกูเคยโดนมาหนักกว่านี้ แต่ควยกูดิแม่งผิดปกติโคตร ๆ ! แข็งจนปวดระบมไปหมด ไป ๆ อย่าถามมากกูต้องใช้ออกซิเจนหายใจอีกเยอะ"
.
"ได้้พี่ได้ถึงพอดีเลย เลี้ยวซ้ายข้างหน้าก็ถึงแล้ว"
.
ร่างหนาสองร่างตะกุยตะกายข้างฝา เซถลาตามทางเดินมาจนถึงห้องรับรองส่วนหน้าของหมอยูมิโกะ ด้วยเลือดที่หยดเป็นทางมาจากชั้นล่าง (ร้านดอกไม้) ถ้าจุดคัดกรองส่วนหน้าไม่ให้ผ่านก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว เพราะเท่าที่ดูอาการโดยรวมของเจฟเฟอร์เขาน่าจะต้องถูกส่งตัวผ่านม่านเจลสนธยา เข้าไปรักษากันภายในอย่างไม่ต้องสงสัย
.
และทันทีที่สายลับรุ่นน้องสังเกตเห็นป้ายไฟฉุกเฉินหน้าห้องสว่างโพลงอยู่ เขาจึงเร่งใช้ไหล่กระแทกประตูเข้าไปโดยไม่ทันเคาะก่อน ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์! "ถ้าหมอยูมิโกะฆ่ากูตาย มึงช่วยเก็บศพให้กูด้วยนะ!" เบอร์แบร์โต้ลืมคำพูดประโยคนี้ในบทที่แล้วไปอย่างสิ้นเชิง
.
"หมอครับช่วยด้วยครับ มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บสาหัส!"
.
สองร่างแกร่งพุ่งพรวดเข้าไปในห้องรับรองส่วนหน้าพร้อมกับลิ่มเลือดหลากเป็นสายน้ำ ขณะที่อีกฟากของบานประตูคือสาวน้อยนาริตะที่ถูกออกคำสั่งให้ยืนเฝ้าประตูเอาไว้ไม่ให้มีใครรบกวน เรือนร่างอันบอบบางมีหรือจะสู้แรงชายฉกรรจ์ที่เพิ่งผ่านการรุมปี้ผู้หญิงได้ แรงอัดจากประตูจึงซัดเอาร่างบางกระเด็นล้มกลิ้งกองลงกับพื้น แล้วภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นเองที่ทำให้นาริตะต้องตกอกตกใจ เธอหวาดกลัวมากจนกลั้นเสียงกรี๊ดไว้ไม่อยู่!
.
"โรคจิต!!! กรี๊ดดดดดด!!!"
.
เบอร์แบร์โต้น่ะไม่เท่าไหร่ แต่เจฟเฟอร์นี่สิที่ผ้าเช็ดตัวหลุดจากเอวไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้! แม้จะไม่ตั้งใจแต่ปลายควยก็ได้จ่ออยู่ตรงหน้านาริตะจังไปเป็นที่เรียบร้อย!
"กรี๊ดดดดดด! หมอคะมีโรคจิตบุกเข้ามาในคลีนิคเราค่ะ!"
.
"ฟิ้งงงงง~!"
ยูมิโกะไม่ได้ตื่น! แต่ที่ตื่นดันเป็นสัญชาติญาณนักฆ่าที่อยู่ในตัวเธอ! นัยน์ตาหยีหางตาชี้คู่เดิมเพิ่มเติมตรงความเหี้ยม! การเป็นคนเอเชียที่มีชีวิตรอดอยู่ในยุคนี้ย่อมพิสูจน์แล้วซึ่งหลายสิ่งหลายอย่าง เธอไม่ใช่หมอธรรมดาอย่างที่เจฟเฟอร์บอกจริง ๆ เพราะส่ิงที่เธอทำในเสี้ยววินาทีสั้น ๆ ได้ทำให้ชายอเมริกันปากดีอย่างเบอร์แบร์โต้ ถึงกับวิ่งหนีหางจุกก้นไปเลย!
.
"เฟี้ยววว!" , "จึก!" , "จึก!"
.
"อั๊ก!"
.
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าแค่กิ๊บติดผมก็ฆ่าคนได้! ยูมิโกะไม่ได้ลืมตาด้วยซ้ำ เธอแค่ดีดตัวขึ้นจากเตียงแล้วเหวี่ยงมันออกไปด้วยแรงสะบัดจากเส้นผม กิ๊บ 2 ตัวปักเข้าที่จุดตาย! ยังไม่พอ! ทักษะนักฆ่าชั้นสูงยังดำเนินต่อไปด้วยการม้วนตัวลงจากเตียงผ่าตัด เอื้อมมือไปหยิบดาบซามูไรที่ซ่อนไว้ข้างใต้ กระชากฝักทิ้งด้วยความแคล่วคล่อง แล้วปรี่เข้ามากระโดดฟันฉับ! ขาดสะพายแล่ง! (ภายในดาบเดียว)
.
ตัวเหยื่อขาดออกเป็นสองท่อน ไล่ไปตั้งแต่ไหปลาร้าซ้ายจรดสะโพกขวา เลือดฉีดขึ้นฟ้าพุ่งออกเป็นสายคล้ายน้ำพุ สยดสยองโคตร ๆ ความแดงฉานใหม่สดของมันกลบคราบเลือดเดิมจากแขนเจฟเฟอร์ชนิดไม่เห็นฝุ่น ปากสั่นพับ ๆ ฟันกรามกระทบกันกึกกัก ๆ ๆ ผู้ป่วยแขนขาดที่กำลังต้องการหมอหันมองไปทีี่ทางเดินด้านนอก พลันตะโกนออกมาด้วยซุ่มเสียงอันดังสนั่น
.
"ไอ้เบอร์แบร์โต้มึงทิ้งกูเลยนะ! ไหนมึงสัญญากับกูแล้วไง! ไอ้น้องเวร!"
.
"ผมต้องรีบเอาเช็คไปขึ้นเงินกับคุณเอ็มม่าชั้น 3 ก่อนพี่! ที่เหลือพี่ช่วยตัวเองล่ะกัน เหวอ ๆ ๆ โหดสมคำร่ำลือเลยหมอยูมิโกะ รอดมาได้ค่อยเจอกันนะพี่เจฟผมไปก่อนล่ะ!"
"ฮึบ.. ฮึบ.. ย๊ากกก!"
.
วิ่งตื๋อลงบันไดชนิดไม่มีวันหวนย้อนกลับ ในท่านั่งจุ่มก้นลงกับพื้นเจฟเฟอร์เอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาปิดควยโด่เด่ของเขาเอาไว้ พยายามมองหาช่อดอกลาเวนเดอร์ก่อนจะพบว่ามันตกอยู่ใต้เตียงที่ต้ังอยู่กลางห้อง ส่วนแขนที่ขาดเจ้ากรรมก็ดันกระเด็นไปตกอยู่ข้างกันกับเหยื่อ ผู้ซึ่งถูกหมอยูมิโกะฟันขาดสองท่อนไปเมื่อครู่!
.
"อีหมอเวรเอ๊ย! ถ้ามึงฟันแม่น ๆ กูจะไม่ว่าอะไรเลย"
.
"นี่ดาบซามูไรมึงฟันลูกน้องตัวเองขาดสะพายแล่ง มึงยังไม่รู้ตัวอีก!"
เจฟเฟอร์คิดในใจ นั่งนิ่งไปไหนต่อไม่ไหว แผลที่แขนเปิดมากจนเลือดแทบจะหมดตัวอยู่รอมร่อ
.
"หมอ! หมอ! อีหมอยูมิโกะ! นี่ผมเองเจฟเฟอร์ตื่นซะทีสิอีชะนีอะลิกาโต๊ะ! แม่งเอ๊ยได้ยินเสียงกรี๊ดทีไรสติสตังค์ไปหมด!"
ตะโกนด่าก็แล้ว
.
"คุณจะฆ่าผมไม่ได้นะ คุณเป็นหมอที่เก่งที่สุดของ Parallel คุณต้องรักษาคนสิไม่ใช่ฆ่าคน ผมไม่รู้ว่าคุณผ่านอะไรมาบ้างในช่วงสงคราม แต่ช่วยฟังผมหน่อยได้ไหมได้สติซะที!"
พูดดีด้วยก็แล้ว
.
แต่ดูเหมือนว่าหมอยูมิโกะนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอกลายสภาพเป็นนักฆ่ากระหายเลือดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย คำเตือนที่เจฟเฟอร์บอกให้เบอร์แบร์โต้ช่วยเก็บศพให้หน่อย ก็เลยดูท่าว่าจะกลายเป็นจริงซะแล้ว เสื้อผ้าหน้าผมเปรอะเปื้อนไปด้วยลิ่มเลือดที่โค้งลงมาใส่ราวกับห่าฝน ยูมิโกะแยกเขี้ยวเอียงคอจ้องจะฟันเจฟเฟอร์อีกสักฉับ! ด้วยความสัตย์จริง!
.
"โคตรแม่มเอ๊ย! ชีวิตกูจบแน่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง"
.
"เอาสิหมอ! ผมเตือนคุณแล้วนะคุณคิดว่าผมเป็นใคร สายลับเวลาจนตรอกน่ะมีอะไรใกล้ตัวก็เอามาใช้ได้หมด โลกต้องจดจำผมในฐานะของชายคนแรกที่ใช้ควยสู้กับดาบซามูไร!"
.
"มา!.. ยูมิโกะ! มา! มาสู้กันสักตั้ง!!!"
"หยุดตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้วางกำลังล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว!".เห็นจะจริงถ้าหากว่านี่เป็นหนังไทยสมัย "จารุณี" แสดงเป็นพจมาน ตรงกันข้ามเมื่อประโยคแสนเชยดังกล่าวคงจะใช้กับสถานการณ์จริงที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ไม่ได้ ตำรวจห่าเหวอะไรล่ะ มองไปทางไหนก็มีแต่ซอมบี้เชียงกงล้อมหน้าล้อมหลังอยู่เต็มไปหมด เจฟเฟอร์กับกลุ่มคนใช้่มีดคงสุดจะต้านทานแล้ว สังเกตได้จากการถอยร่นเอาหลังพิงกันทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มิหนำซ้ำกางเกงผ้ายืดเจ้ากรรมก็ดันมาพันควยพันหำจนเกือบจะล้มคะมำเสียหลัก."โอ๊ย! เอ๊ย! อุ๊ย! เดี๋ยวก่อนเซ้! อย่าเพิ่งกูยังไม่พร้อม อย่าเพิ่งบุกเข้ามาตอนนี้ไอ้พวกหุ่นสารเลว!"สายลับหนุ่มขึ้นเสียงพลางกระโดดเหยง ๆ เซถลาออกจากตำแหน่ง สีข้างเขาครูดเข้ากับเศษตัวถังยานที่ลักพาตัวองค์หญิงนาตาชามา โดยสันนิษฐานคร่าว ๆ ได้ว่า ยานลำนี้น่าจะโดนยิงร่วงก่อนหน้า Gravitybike ของเขาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะไอร้อนจากเครื่องยนต์ยังคงอุ่น ๆ อยู่ ทำให้เจฟเฟอร์เกิดปิ้งไอเดียบางอย่างขึ้นมา ก่อนจะหลุบสายตาลงมามองลำควยกับลำขาทีี่พันกันอิรุงตุงนังของตนเอง แล้วก็บ่นขมุบขมิบ."ชิ! ไอ้ควยระยำนี่ก็ช่างแข็งถึกแข็งทนเหลือเ
สอดท่อนแขนอันกำยำเข้าโอบเอว ตวัดดึงเอาร่างอันผอมเพรียวเข้ามาแนบไว้ในวงแขน พลันกระโดดม้วนตัวเอาส่วนหนารับกงเล็บของเครื่องจักรสังหาร!."เอือกกก!"เจฟเฟอร์ร้องอุทานลั่น เขากัดฟันเม้มมุมปากในเสี้ยววินาทีต่อมาเมื่อพบว่าองค์หญิงนาตาชากำลังจ้องมองอยู่ หน้าตาเธอบิดเบี้ยวขยะแขยง หัวคิ้วลู่เข้าหากันก่อนจะกลั้นใจซุกหน้าคมสวยที่คล้ายกับเทรเลอร์สวิฟ ลงมาซบเข้าที่ซอกคอของเจฟเฟอร์."ไม่ต้องกลัวนะครับผมมาช่วย ผมเป็นสุภาพบุรุษ ผมเกิดมาเพื่อคุณ""เอื้อกกก! อื้อหือ! อื้อออ! อ๊าาา!".แม่งแสบหลังก็แสบแต่แสบหูมากกว่าที่ต้องมาฟังอะไรแบบนี้ ระหว่างที่เจฟเฟอร์ได้ใช้ความพยายามในการปกป้ององค์หญิงอย่างเต็มความสามารถ พวกจักรกลซอมบี้ก็ทำอะไรองค์หญิงไม่ได้เลย มันทำได้เพียงตะปบกรงเล็บใส่หลังเขาแบบโหมกระหน่ำ และช่่วงเวลาที่เกร็งตัวป้องกันอยู่นั้น จู่ ๆ ริมฝีปากของนาตาชาก็ได้เผยอขึ้นเครือครางขมุบขมิบ เข้าใจว่าเธอคงจะกลัวมาก ยิ่งเป็นตอนที่เธอเผลอซีดปากและพ่นลมหายใจออกมา ยิ่งทำให้อารมณ์กำหนัดของเจฟเฟอร์พลุ่งพล่านมากยิ่งขึ้น."กอดผมเอาไว้ครับ ผมจะไม่ให้องค์หญิงเป็นอะไรผมสัญญา"."อือ.. อืม.. แต่คุณคะ! ขืนเป็นแบบนี้".
ลมโชยโบยแก้มเจฟเฟอร์บึ่ง Gravitybike ทะยานฟ้าจนหนังหน้าชาไปเป็นแถบ ริมฝีปากเผยอตีนผมโบกพัดวือกระพือเสียทรง ให้ตายสิเขาทำอย่างกับว่าตัวเองเป็นบอร์ดี้การ์ดของเธอยังไงยังงั้น ทั้งที่ความจริงแล้วดวงหน้าขององค์หญิงนาตาชาแบบใกล้ ๆ เขายังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง เจฟเฟอร์รู้แต่เพียงว่าเธอคือภารกิจ ขืนปล่อยให้รัชทายาทแห่งอลาลัสองค์นี้เป็นอะไรไป ข้อมูลการประชุมที่บอสอยากได้ก็คงจะล้มเหลว.มองไปตรง ๆ เห็นแต่ความสยดสยองบนท้องฟ้า ก้มลงด้านล่างก็เห็นแต่ตึกรามบ้านช่องที่เล็กเท่ากับจิ๋มมดในเมืองยอร์คชิน กระทั่งลองมองที่หน้าปัดยานความซวยจึงบังเกิด."เชี้ยแล้ว! ไอ้สัดเอ๊ย! นี่จะขับพ้นขอบชายแดนแล้วเหรอวะเนี่ยะตั้งแต่เมื่อไหร่กัน""ตาย ๆ ๆ แคทเธอรีนไม่ได้เตรียมอาวุธใส่ Gravitybike มาซะด้วย ไหนจะพิกัดขององค์หญิงที่หายไปจากหน้าจออีก เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลยงานงอกแล้วไงกู!".โปรดอย่าสงสัยว่าทำไมเจฟเฟอร์ถึงออกอาการลนลานแปลก ๆ เพราะแม้ว่าในตัวเขานั้นจะเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำลายล้างมากมาย แต่ก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดีกับไอ้พวกที่อยู่ด้านล่าง เราพูดมาตลอดว่ายอร์คชินคือเมืองที่เปรียบเสมือนฐานที่มั่นสุดท้ายของโลก หลังเกิดส
แสงสว่างสองหย่อมเปล่งประกายออกมาตรงบริเวณแก้มก้น ภายใต้ชุดหนังรัดรูปอันเป็นเอกลักษณ์ของทีมงาน Parallel เจฟเฟอร์รับรู้ได้ถึงพลังงานความร้อนที่กำลังโรมรันผิวตูดของเขา มันอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ จนค่อนไปทางร้อน กระทั่งเจ้าตัวย่อขาลงแล้วเอื้อมมือทั้งสองข้างลงไปตะปบไว้นั่นแหละมันถึงได้หยุด! ก่อนจะได้ออกมาเป็นแผ่นกระดานบางใส 2 แผ่นที่เรียกว่า "Jumper board".ขนาดกับรูปร่างเหมือนกับจานร่อนพลาสติกที่คนรักหมาใช้ปาให้เจ้าตูบกระโดดงับ ต่างกันนิดตรงที่ "Jumper board" นั้นอยู่ในรูปของคลื่นพลังงานมากกว่า มันเรืองแสงตลอดเวลา บางเบาแต่แข็งแกร่ง มิหนำซ้ำบริเวณด้านล่างยังมองเห็นประกายไฟสปาร์คเป็นเส้น ๆ ราวกับสายฟ้าจากค้อนโยเนียร์ของธอร์เทพเจ้า."เอาล่ะพอถือไว้ในมือแล้วจากนั้นก็.. , ฮึบ!"."พลั๊ว! , พลั๊ว! , พลั๊ว!""ฟิ้ววววว~!".ประหนึ่งเคยได้เสียกับจาพนมมาก่อน เจฟเฟอร์ตีลังกาใส่เกลียวพลันปาเจ้าแผ่น jumper board ออกไปกลางอากาศ! ม้วนตัวทีก็ปาไปอันนึง หกคะเมนหกรอบก็ปาออกไปหกแผ่น มันแทบจะวาร์ปขึ้นมาบนก้นได้เองในทุก ๆ ครั้งที่เขาไพล่มือไปสัมผัสโดนเข้า แผ่นบอร์ดพุ่งแหวกอากากาศฟึบฟับ ๆ ๆ ! คล้ายกับดาวกระจาย ก่อ
รังสีอำมหิตแผ่ซ่านสยายไกลมาถึงคนนอก เบอร์แบโต้กับเจฟเฟอร์ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ รับรู้ได้เลยว่าปิเก้กำลังแบกรับความกดดันอยู่มากแค่ไหน พวกเขาเหงื่อแตกซิก หายใจติด ๆ ขัด ๆ ไม่อยากจะคิดว่านี่จะเป็นเรื่องจริง เพราะความจริงแล้วถ้าเขาไม่มัวเถลไถลหาแขนข้างใหม่อยู่ เหตุการณ์สุดสยองทำนองนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นกับปิเก้เป็นแน่."เชี้ยเอ๊ย! ถ้ากูใส่เกียร์หมาเร่งกระเด้าเย็ดผู้หญิงให้แตกเร็วกว่านี้นะมึงเอ๊ย ไอ้ปิเก้มึงคงไม่ตายกูพูดจริง ๆ กูขอโทษเพื่อน"ส่ายหน้าไปมาปลดปลง จนเจฟเฟอร์ลืมไปเลยว่าทุกอย่างที่ฉายอยู่นั้นพุ่งออกมาจากตาของเขา."เฮ๊ย! พี่เจฟ! ใจเย็นก่อนพี่! เส้นโฮโลแกรมมันแตกกระจายหมดแล้ว ผมเวียนหัวดูไม่ออกเลยว่าอะไรเป็นอะไร แล้วพี่ก็อย่าโทษตัวเองไปเลย ความเสียใจของพี่ผมสิต้องเป็นคนแบกรับเอาไว้ ผมน่ะรับงานโดยตรงมาจากบอสเลยนะ"เบอร์แบโต้พยายามพูดปลอบใจ แล้วทันใดนั้นเองภาพเหตุการณ์จากเครื่องฉายในม่านตาก็กลับมาชัดเจนขึ้นอีกครั้ง เส้นลำแสงวูบไหวไปจังหวะหนึ่ง ตัดกลับมาหนนี้เจฟเฟอร์สังเกตเห็นเลยว่า ขณะนั่งคุกเข่าอยู่และกำลังจะถูกบ่วงเชือกไนล่อนกระชากคอขึ้นไป ปลายนิ้วชี้ของปิเก้ได้หักมุมลงมาแล้ว เขาเตร
"พี่ปิเก้กำลังบอกใบ้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจากบนนั้นใช่ไหมครับ? พี่เขาต้องการให้เราขึ้นไปสืบข้างบนใช่ไหมพี่เจฟ?"เบอร์แบโต้ตวาดเสียงดุดัน ท่าทางเขาดูจริงจังจนออกนอกหน้า ซึ่งเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับสีหน้าสีตาของสายลับรุ่นพี่เป็นที่สุด."โอ่ย! โอ่ย! โอ่ย! ๆ ไอ้โต้เอ๊ย! ไอ้โต้! นี่ตอนเด็ก ๆ แม่มึงบดแกลบให้แดกกับกาบมะพร้าวเหรอ สมองมึงถึงอุ้มน้ำได้ถึงเพียงนี้! มันใช่ซะที่ไหนล่ะเจ้าทึ่ม! ตอนนั้นปิเก้มันนอนแหงนหน้าอยู่ใช่ไหม?"."ใช่ครับ.. พี่เขาหนุนตักผมอยู่?"."ถ้างั้นก็ไม่ผิดหรอก! เพราะที่มันชี้น่ะไม่ใช่รูแหว่งโบ๋บนหลังคา หากแต่เป็นของที่ขวางอยู่เบื้องหน้าอย่างหน้าผากแกต่างหากล่ะเจ้างั่ง!".ได้ยินเช่นนั้นมือหนาหยาบกร้านของเบอร์แบโต้ ก็รีบตะปบวนไปวนมาบนหน้าผากตัวเองทันที แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นมีอะไรผิดสังเกต."หน้าผากผมมันมีอะไรเหรอครับพี่เจฟ ผมไม่เห็นจะเข้าใจในสิ่งที่พี่พูดเลย?"."เฮ้อ..! คืออย่างงี้สิ่งที่ฉันจะบอกก็คือ ธรรมชาติของหน่วยภาคสนามอย่างเราน่ะ มันต้องพร้อมที่จะตายตลอดเวลาอยู่แล้ว ก็เลยมีความจำเป็นที่จะต้องบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เอาไว้อย่างลับ ๆ ผ่านทางชิบที่ฝังไว้ในส