Mag-log inลินดานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเบลอธิบายถึงเนื้องานที่เธอต้องรับผิดชอบ ทำเอกสารอะไรน่ะไม่มีปัญหา แต่ต้องไปต่างประเทศเนี่ยสิ ไปประสานงานกองเชียวเหรอ มันฟังดูสลักสำคัญเกินไปไหมสำหรับเด็กใหม่อย่างเธอ
“ได้ค่ะ” เธอตอบไปอย่างมั่นใจแม้ข้างในจะเป็นตรงกันข้าม
“ไม่ทราบมีพาสปอร์ตรึยังครับ” เบลถามต่อ
“ยังเลยค่ะ”
“งั้นวันสองวันนี้ไปทำไว้เลยนะ” ลินดาพยักหน้า เธอเริ่มหวั่นๆ อยู่ในใจ แม้จะเชื่อมั่นว่าตัวเธอมีศักยภาพเพียงพอ แต่ดูอะไรๆ มันดำเนินไปไวเหลือเกินสำหรับวันแรกในที่ทำงาน นี่ก็ต้องไปทำพาสปอร์ตรอไว้แล้ว
“ได้ค่ะ ไปในเวลางานเลยเหรอคะ” ลินดาถามเบล
“ใช่ครับ ไปได้ ไม่มีปัญหา ผมเป็นคนอนุญาต”
“ค่ะ”
“วันนั้นตอนเห็นหน้าผม คุณดูชะงักไป มีอะไรรึเปล่า” เบลถามเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เปล่าหรอกค่ะ พอดีวันนั้นโฟล์คบอกว่าคุณเบลจะเป็นคนสัมภาษณ์ เห็นว่าชื่อเบลฉันก็นึกว่าคุณจะเป็นผู้หญิง พอเจอตัวจริงก็เลยแปลกใจนิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ ค่ะ” ลินดากางนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้อยู่ห่างกันให้น้อยที่สุดเพื่อประกอบการอธิบาย
“ชื่อนี้มีที่มา” โฟล์คเลื่อนเปิดประตูห้องตัดต่อแล้วชะโงกหน้าออกมาร่วมวงเมื่อเห็นว่าทั้งคู่ไม่ได้คุยอะไรเป็นงานเป็นการกันแล้ว
“ยุ่งอะไร ไอโฟล์ค” คุณเบลหันมาต่อคำกับโฟล์คอย่างคนสนิทกัน ลินดารอดูว่าใครจะพูดอะไรต่อไปอีก เธอนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยว่าห้องตัดต่อนั้นไม่ได้กั้นเสียงหรือว่าคุณเบลปิดประตูไม่สนิทกัน เสียงของเธอกับคุณเบลจึงเล็ดรอดเข้าไปให้โฟล์คได้ยินได้
“พ่อแม่ผมไปเที่ยวเบลเยี่ยมแล้วท้องผมกลับมาน่ะครับ ส่วนเบนพี่ชายผม ตอนนั้นพวกท่านไปเที่ยวอังกฤษ”
“หอนาฬิกาบิ๊ก เบน ใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้ว ผมนี่เลือกคนไม่ผิด คุณนี่ไหวพริบใช้ได้เลย” ลินดายิ้มเมื่อเบลพูดชมเธอออกมาโต้งๆ แบบนี้
“แล้วไอ้หมอนั่นมันชื่อโฟล์ค คุณคิดเอาเองนะว่าที่ไหน อะไร ยังไง” ทุกคนหัวเราะออกมา โฟล์คเดินเข้ามาหาคุณเบลแล้วทำท่าตั้งการ์ดเหมือนนักมวย ลินดาคลายความกังวลลงไปมาก ทุกๆ คนดูมีอารมณ์ขันกันทั้งหมด ต่อให้เธอจะทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในการออกทริปครั้งแรกนี้ก็คงไม่มีอะไรร้ายแรงนัก
“แต่เอกสารภาษาไทยคุณก็ต้องทำด้วยนะ ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ มีฟอร์แมทไว้ให้แล้ว ไม่ยากหรอก” เบลยังพูดตบท้ายเสริมเข้ามา
“ไม่มีปัญหาค่ะ ฉันจะตั้งใจเรียนรู้งาน” เบลยิ้มกับคำตอบของลินดา
“ที่เหลือของวันนี้ก็ลองเอาเล่มนี้ไปอ่านดู แล้วสรุปคร่าวๆ ให้ผมฟังว่ามีอะไรน่าสนใจให้เราไปถ่ายทำบ้าง” เบลหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเขา ลินดารับหนังสือเล่มนั้นมา เธอมองดูหน้าปกที่เป็นรูปทะเลทราย มีโครงสร้างหินแกะสลักสีน้ำตาลทองสวยงามอลังการ ชื่อเรื่องว่า Jordan, the land of wonders เมื่อเปิดดูผ่านๆ จึงเห็นว่าข้างในเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
“ไม่รีบนะ แต่อย่านานเกิน ซักสามสี่วัน พอจะทันไหม” เบลถามแล้วจ้องหน้าลินดารอฟังคำตอบ
“ทันค่ะ แค่คร่าวๆ นะคะ”
“ครับ” เบลตอบ ลินดาพยักหน้าแล้วนั่งลงที่โซฟา
“เลือกโต๊ะนั่งตามใจได้เลยนะครับ” ลินดามองตามไปที่โต๊ะทั้งสองตัวที่เธอเห็นตั้งแต่วันแรกที่มาแล้ว
“เดี๋ยวให้โฟล์คช่วยเลือกรุ่นโน้ตบุคใหม่เครื่องหนึ่ง เอาไปใช้ที่บ้านด้วยก็ได้ แต่ถ้าลาออกอาจจะต้องคืนเรา หวังว่าคงจะไม่รีบคืนเสียล่ะ”
“ค่ะ คุณเบล”
“เอ้า เข้าไปแคปฟุตเทจต่อได้แล้ว” เขาสั่งโฟล์ค โฟล์ครีบกุลีกุจอเข้าห้องไป ทั้งที่ก็รู้ว่าคุณเบลไม่ได้เคร่งครัดอะไรมากมายขนาดนั้น อีกอย่าง การแคปฟุตเทจที่ว่าก็เป็นแค่การนั่งรอให้โปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์โหลดภาพที่ถ่ายทำมาจากเทปเบต้าม้วนเล็กๆ จบม้วนหนึ่งก็เปลี่ยนม้วนใหม่ ทำจนครบทุกม้วนก่อนจะนำภาพที่ได้ไปตัดต่ออีกทีหนึ่งเท่านั้น
“ตรงข้างโฟล์คมีคอมพิวเตอร์ว่าง ตอนนี้ไปใช้ก่อนได้นะ ลินดา” เบลบอกกับเธอ
“ค่ะ คุณเบล” ลินดาถือหนังสือเดินเข้าห้องไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์จอแฝดอีกเครื่องข้างๆ โฟล์ค
มาถึงตอนนี้เธอพอจะอนุมานได้อย่างไม่แคลงใจแล้วว่าคุณเบลคงเป็นคนนิสัยดีคนหนึ่ง เป็นเจ้านายประเภทที่ไม่ถือตัวและให้ความเป็นกันเองกับลูกน้อง ดูจากที่โฟล์คพูดเล่นกับเขาได้ พูดแทรกในบทสนทนาได้ หรือการที่โฟล์คเลือกสรรพนามที่ใช้เรียกเขา เดี๋ยวเจ้านาย เดี๋ยวคุณ เดี๋ยวพี่ ซึ่งดูคุณเบลก็ไม่ติดใจตรงไหนเลย
“เป็นไงบ้าง วันแรก” โฟล์คถามเธอเมื่อคุณเบลเดินขึ้นชั้นสองไปแล้ว
“โอเคนะ สบายใจ ดูทุกคนเป็นกันเองทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะคุณน่ะโฟล์ค”
“ดีแล้วครับ เอ... คุณเบนจะเข้าไหมนะวันนี้” โฟล์คถามตัวเขาเองลอยๆ
“เขาก็น่าจะใจดีเหมือนคุณเบลใช่ไหม” ลินดาถามเมื่อเห็นโฟล์คพูดถึงเขา
“ก็น่าจะอย่างนั้นครับ แต่เขาออกจะขรึมๆ กว่าคุณเบลหน่อย คงเพราะเป็นลูกคนโตด้วย” ลินดานึกภาพตาม โฟล์คหันกลับไปจัดการงานของตัวเอง ลินดาเริ่มดูรายละเอียดในหนังสือ แล้วจดโน้ตลงในสมุดที่ติดกระเป๋ามา
ใกล้เที่ยงวัน ลินดากำลังสนุกกับการร่างรายการส่งสรุปให้คุณเบล เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าประเทศจอร์แดนจะสวยงามขนาดนี้ ไหนจะกลุ่มคนที่เป็นชนเผ่า อากาศที่ไม่ได้ร้อนอย่างที่คาดเอาไว้แม้จะมีพื้นที่ที่เป็นทะเลทราย เธอเพ่งมองดูแต่ละภาพอย่างหลงใหล และอ่านดูรายละเอียดของแต่ละหัวข้ออย่างเพลิดเพลิน
“รู้ไหม ตอนแรกฉันไม่คิดว่าจะได้งานที่นี่หรอก” ลินดาชวนโฟล์คคุยเมื่อเห็นว่าโฟล์คแค่เปลี่ยนม้วนเทปแล้วนั่งแคะเล็บรอ
“ทำไมล่ะ” โฟล์คหันมาคุยกับเธอ
“ก็วันนั้นคุณเบลเขาพูดคำหนึ่งออกมาแล้วฉันไม่รู้เรื่อง มันไม่เคยได้ยินมาก่อน ฉันย้อนถามเขาว่าอะไรนะ แล้วเขาบอกช่างเถอะ ไม่สำคัญ แล้วเดี๋ยวจะติดต่อมา ฉันเสียความมั่นใจมากเลย แถมประสบการณ์การทำงานก็น้อยนิด มีแต่วุฒิกับผลสอบโทอิคนี่ล่ะที่พออวดชาวบ้านได้บ้าง นอกนั้นเขาไม่ได้ถามอะไรเท่าไหร่เลย เหมือนฉันไม่เข้าตา”
“เขาคงถูกชะตาอะไรคุณสักอย่างมั้ง ขนาดตำแหน่งยังเรียกกันตามความรู้สึกเลย เลือกคนเข้าทำงานก็คงตามความรู้สึกด้วย บางทีเซนส์คนเรามันก็แม่นนะ มันก็บอกอะไรได้หลายอย่างอยู่ แล้วก็อย่างที่บอก เขาชมคุณ ก็แปลว่าเขาต้องชอบใจคุณน่ะแหละ” ลินดาฟังเขาแล้วคิดตามอย่างเห็นด้วย
เธอไม่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ประตูห้องก็เลื่อนเปิดออก ลินดาและโฟล์คหันไปดูว่าใครที่เข้ามา ลินดาแทบจะอ้าปากค้างเมื่อผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วทักทายทั้งคู่
ราวห้านาทีต่อมาลินดาจึงรู้สึกได้ว่าคุณเบนกำลังลุกขึ้น แม้แต่ชายเสื้อของเขาก็ยังอยู่ในความสนใจของเธอตอนนี้ หน้าตาของเบนก็ละม้ายคล้ายกับเบลอยู่มาก วันก่อนตอนสัมภาษณ์งานกับเบล เธอยังจับจ้องทุกอย่างของเบลได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรู้ตัว ลินดายังจำได้ว่าเธอสังเกตเห็นนิ้วมือของเบลที่เรียวยาวสวย ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเบนด้วยความเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่มันมีอะไรสักอย่างในตัวเบนที่ต่างออกไป ใจเธอจึงได้เต้นแรงอย่างนี้เมื่อได้อยู่ใกล้เขา แม้แต่เสียงลมหายใจของเขาก็ยังทำให้เธอว้าวุ่น ตอนนี้เบนลุกออกจากห้องไปแล้ว แล้วเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้ล่ะ เขายังนั่งทำอะไรต่อหลังจากคุยกับเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลินดาไม่กล้าหันกลับไปมองในระหว่างนั้นเพราะกลัวว่าจะต้องสบตากัน เธอกลัวว่าเจ้านายจะรู้ว่าใจเธอคิดอะไรอยู่ ห้านาทีก่อนหน้านี้ที่เธอกลับมาดูรายละเอียดในหนังสือเล่มเดิมนั้น มันยังไม่มีอะไรผ่านหัวสมองของเธอเลย นอกจากเสียงของคุณเบนเวลาที่เขาขยับตัวอยู่บนโซฟาแม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ลินดากลับมาตั้งสติและมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้อีกครั้ง เธอนำเอารายละเอียดที่โน้ตไว้ในสมุดมาเริ่มเรียบเร
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ลินดาใช้ช้อนตักน้ำซุปที่เหลือในชามซดเข้าปากจดหมด โฟล์คยิ้มกว้างเมื่อเห็นลินดากินก๋วยเตี๋ยวร้านที่เขาแนะนำอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่เหลืออะไรเลยนอกจากตะเกียบและช้อนในชาม “บอกแล้ว อร่อยเด็ด” โฟล์คพูดพลางดูดน้ำจากแก้วที่จวนจะเหลือแต่น้ำแข็งแล้ว “เด็ดจริง ฉันยอมเลย” ลินดาดูนาฬิกาที่ข้อมือ “กลับเลยไหม ไว้ว่างๆ หลังเลิกงาน คุณค่อยมาเซอร์เวย์ดูของกินอย่างอื่น นี่วันแรก อย่าให้เลยเวลาพักเที่ยงเลย” “ก็ไหนคุณบอกว่าไม่ซีเรียสเรื่องเวลาเพราะเป็นโฮมออฟฟิศไง” ลินดาท้วง “ผมหมายถึงผม แต่ถ้าคุณจะทำเหมือนที่ผมทำ ผมไม่รับรองนะว่าจะไม่โดนใครดุว่าอะไร” “โอเค งั้นกลับกันเลยดีกว่า โธ่ แล้วมาหลอกให้ดีใจ” ลินดาลุกขึ้นไปจ่ายเงิน “ก็บอกแล้วว่าตำแหน่งคุณมันต้องรับโทรศัพท์” โฟล์คบ่นพึมพำระหว่างที่เดินตามมาจ่ายเงินพร้อมกัน ลินดาหันมาเห็นสีหน้ารู้สึกผิดจากโฟล์คแล้วก็ต้องรีบอธิบาย “เฮ้ย ฉันไม่ได้ว่าอะไร แค่เข้าใจผิดไปเองน่ะ” “อื้อ” โฟล์คตอบเธอด้วยการส่งเสียงออกมาสั้นๆ ลินดาคิดอยู่ในใจว่าโฟล์คดูเป็นคนจ
“หวัดดีครับ เป็นไงบ้าง น้องใหม่ โดนโฟล์คแกล้งรึเปล่า” เบนโผล่หน้าเข้ามาถามไถ่ทั้งคู่อย่างเป็นกันเอง โฟล์คทักทายคุณเบนกลับไปอย่างอ่อนน้อม ลินดาได้แต่พนมมือไหว้เขา “แคปฟุตที่มาเลย์อยู่ใช่ไหม” คุณเบนเดินเข้ามาในห้องโดยเปิดประตูคาไว้ เป็นสัญญาณบอกว่าเขาคงจะไม่อยู่ในห้องนี้นานนัก เขายืนดูฟุตเทจปัจจุบันจากเทปเบต้าม้วนที่กำลังเล่นอยู่โดยใช้สองฝ่ามือเท้าลงบนโต๊ะตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ลินดามองดูเขาจากด้านหลัง “ครับคุณเบน อีกไม่กี่ม้วนก็หมดแล้ว” โฟล์คตอบ “อื้ม ดีละ” คุณเบนยืดตัวขึ้นยืนตรง แล้วหันหน้ามาทางลินดา “เบลบอกรายละเอียดงานให้บ้างแล้วใช่ไหมครับ เช่นว่าบริษัทเราทำอะไร แล้วหน้าที่คุณคืออะไร” เบนถามกับลินดา “เอ่อ... บอกแล้วค่ะ” ลินดาไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ เบนก็เล่นหันมาหาเธออย่างกะทันหันในระหว่างที่เธอกำลังมองดูไรจอนผมของเขา เนื้อเสียงคุณเบนนุ่ม หวาน และน่าฟังมาก ถึงแม้โทนเสียงจะฟังดูจริงจังอยู่ในทีแต่ลินดาฟังแล้วก็ไม่รู้สึกไม่ติดขัดตรงไหนเลย “ดีครับ แล้วนั่นอ่านอะไรอยู่” “หนังสือเกี่ยวกับประเภทจอร์แดนค่ะ คุณเบลให้ทำส
ลินดานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเบลอธิบายถึงเนื้องานที่เธอต้องรับผิดชอบ ทำเอกสารอะไรน่ะไม่มีปัญหา แต่ต้องไปต่างประเทศเนี่ยสิ ไปประสานงานกองเชียวเหรอ มันฟังดูสลักสำคัญเกินไปไหมสำหรับเด็กใหม่อย่างเธอ “ได้ค่ะ” เธอตอบไปอย่างมั่นใจแม้ข้างในจะเป็นตรงกันข้าม “ไม่ทราบมีพาสปอร์ตรึยังครับ” เบลถามต่อ “ยังเลยค่ะ” “งั้นวันสองวันนี้ไปทำไว้เลยนะ” ลินดาพยักหน้า เธอเริ่มหวั่นๆ อยู่ในใจ แม้จะเชื่อมั่นว่าตัวเธอมีศักยภาพเพียงพอ แต่ดูอะไรๆ มันดำเนินไปไวเหลือเกินสำหรับวันแรกในที่ทำงาน นี่ก็ต้องไปทำพาสปอร์ตรอไว้แล้ว “ได้ค่ะ ไปในเวลางานเลยเหรอคะ” ลินดาถามเบล “ใช่ครับ ไปได้ ไม่มีปัญหา ผมเป็นคนอนุญาต” “ค่ะ” “วันนั้นตอนเห็นหน้าผม คุณดูชะงักไป มีอะไรรึเปล่า” เบลถามเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เปล่าหรอกค่ะ พอดีวันนั้นโฟล์คบอกว่าคุณเบลจะเป็นคนสัมภาษณ์ เห็นว่าชื่อเบลฉันก็นึกว่าคุณจะเป็นผู้หญิง พอเจอตัวจริงก็เลยแปลกใจนิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ ค่ะ” ลินดากางนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้อยู่ห่างกันให้น้อยที่สุดเพื่อประกอบการอธิบาย “ชื่
“จริงๆ ชั้นสองนี้เราไม่ค่อยได้ขึ้นมาใช้งานเท่าไรหรอก แต่ผมพามาดูจะได้รู้เผื่อเจ้านายให้ขึ้นมาหยิบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ บางทีเขาลืมเอกสารไว้บนโต๊ะแล้วเผอิญติดสายอยู่อะไรทำนองนั้น” โฟล์คอธิบายระหว่างที่ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาชั้นสองด้วยกัน “แล้วปกติคุณเบนกับคุณเบลเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ” ลินดาถามเมื่อเห็นว่าคราวก่อนคุณเบลมาถึงทีหลังเธอและยังต้องเอารถไปจอด ส่วนคุณเบน โฟล์คก็บอกว่าวันนี้เขายังไม่มา “ครับ พอเริ่มโต เริ่มทำงาน เขาก็ออกไปอยู่คอนโดกัน สไตล์คนหนุ่มน่ะ ต้นตระกูลคุณพ่อของเจ้านายเราเป็นมหาดเล็กเก่าในวังตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ คงมีเงินทุนเตรียมไว้ให้ลูกๆ ทำธุรกิจตอนเรียนจบ อันนี้คุณยายเคยเล่าให้ฟังตอนทานข้าวด้วยกัน แต่ผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้” ลินดาฟังเขาเล่าเรื่องราวของบ้านเจ้านายเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ โฟล์คอมยิ้มเมื่อเห็นเธอยืนฟังตาแป๋ว เขาพาเธอเดินไปดูห้องทำงานของคุณเบนซึ่งอยู่ด้านในสุด ถัดมาจึงเป็นห้องของคุณเบล “มันเคยเป็นห้องนอนเขานั่นล่ะครับ พอย้ายไปอยู่คอนโด ก็ใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงานแทน” โฟล์คเปิดประตูให้เธอได้เห็นข้าง
ฟ้ายังคงมืดสนิทแม้ใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ตามธรรมดาของฤดูหนาวที่ช่วงเวลากลางคืนจะยาวนานกว่าเวลากลางวัน พระอาทิตย์วันนี้คงจะโผล่พ้นขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ผิดกับลินดาที่ตื่นขึ้นพร้อมรับวันใหม่ตั้งแต่ตีห้าเศษๆ เพื่อจะเริ่มงานวันแรกในที่ทำงานใหม่ซึ่งเธอดีใจเหลือเกิน ลินดาเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาอะไรเบาๆ กินรองท้องก่อนออกจากบ้าน ถุงบะหมี่ที่ซื้อมาเมื่อวานซืนยังอยู่ดีไม่มีทีท่าว่าจะเน่าบูด แต่ลินดาก็เลือกที่จะทิ้งมันไป แล้วหยิบถ้วยโยเกิร์ตมาเปิดกินแทน เมื่อฟ้าข้างนอกเริ่มสว่างได้ที่ ลินดาจึงปิดไฟในห้องเมื่อเห็นว่าแสงเทียมๆ จากหลอดไฟนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เธอเดินไปที่ริมหน้าต่างพร้อมถ้วยโยเกิร์ตในมือแล้วนั่งลงที่ขอบหน้าต่าง มองลงมาที่ถนนในซอยห้องพักแล้วกินโยเกิร์ตต่อจนหมดถ้วยอย่างสบายใจ ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้ชอบที่นี่นัก มันเงียบสงบแบบไม่รู้จักเหงา ผู้คนบางตาแต่ก็มากพอให้รู้สึกถึงความเป็นชุมชน เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยเรียน รู้จักคุณเชอร์รีเจ้าของที่พักมาได้ก็หลายปีตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่ แต่ก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากไปกว่าชื่อและหน้าตาของเธอ ส่วนคุณเชอร์รีก็ไม่เคยถามอะไรซอกแซกเกี่







