Mag-log in“จริงๆ ชั้นสองนี้เราไม่ค่อยได้ขึ้นมาใช้งานเท่าไรหรอก แต่ผมพามาดูจะได้รู้เผื่อเจ้านายให้ขึ้นมาหยิบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ บางทีเขาลืมเอกสารไว้บนโต๊ะแล้วเผอิญติดสายอยู่อะไรทำนองนั้น” โฟล์คอธิบายระหว่างที่ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาชั้นสองด้วยกัน
“แล้วปกติคุณเบนกับคุณเบลเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ” ลินดาถามเมื่อเห็นว่าคราวก่อนคุณเบลมาถึงทีหลังเธอและยังต้องเอารถไปจอด ส่วนคุณเบน โฟล์คก็บอกว่าวันนี้เขายังไม่มา
“ครับ พอเริ่มโต เริ่มทำงาน เขาก็ออกไปอยู่คอนโดกัน สไตล์คนหนุ่มน่ะ ต้นตระกูลคุณพ่อของเจ้านายเราเป็นมหาดเล็กเก่าในวังตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ คงมีเงินทุนเตรียมไว้ให้ลูกๆ ทำธุรกิจตอนเรียนจบ อันนี้คุณยายเคยเล่าให้ฟังตอนทานข้าวด้วยกัน แต่ผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้” ลินดาฟังเขาเล่าเรื่องราวของบ้านเจ้านายเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ โฟล์คอมยิ้มเมื่อเห็นเธอยืนฟังตาแป๋ว เขาพาเธอเดินไปดูห้องทำงานของคุณเบนซึ่งอยู่ด้านในสุด ถัดมาจึงเป็นห้องของคุณเบล
“มันเคยเป็นห้องนอนเขานั่นล่ะครับ พอย้ายไปอยู่คอนโด ก็ใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงานแทน” โฟล์คเปิดประตูให้เธอได้เห็นข้างใน
“แล้วเขาไม่ล็อคห้องกันเลยเหรอ ถ้าเอกสารหายทำไงกันล่ะ”
“ก็ซวยไป” ลินดาทำตาโต โฟล์คหัวเราะ
“ก็ไม่ขนาดนั้น เอกสารสำคัญส่วนใหญ่จะอยู่ในตู้” เขาชี้ให้ลินดาดูตู้เหล็กเก็บเอกสารที่ตั้งอยู่ชิดผนังตรงมุมห้อง “แต่กุญแจก็อยู่ข้างล่างในห้องตัดต่อนั่นล่ะ ไม่รู้สิ มันยังไม่สำคัญขั้นสุดยอดมั้ง ก็เลยไม่ต้องปิดบังอะไรเท่าไหร่ บางทีถ้าเจ้านายไม่เข้าออฟฟิศ แล้วทางช่องโทรเข้ามาถามอะไรที่บริษัท ผมแค่โทรบอกเขาแล้วก็ขึ้นมาหยิบเอกสารดูได้เลย”
“งานคุณดูเยอะจังนะคะ” ลินดาถาม
“ครับ เดี๋ยวก็มีคุณมาช่วยแล้วไง ผมก็ทำงานหลักของผมไป” โฟล์คยิ้ม
“แล้วเหงาไหม ก่อนนี้น่ะ ฉันเห็นมีคุณอยู่คนเดียว”
“เหงาสิ มากด้วย แต่ก็อยู่ได้ ทำงานไป” โฟล์คยิ้ม ถึงว่าทำไมดูเขาต้อนรับเธอดีจังเลย นอกจากอัธยาศัยที่เขามีเป็นทุนเดิมแล้ว โฟล์คคงอยากให้มีใครอยู่เป็นเพื่อนที่ทำงานด้วยบ้าง
“ฉันคุยไม่ค่อยเก่งหรอกนะ อาจจะไม่ได้ช่วยให้หายเหงาได้สักเท่าไหร่”
“ไม่มีปัญหาเลย แค่หันมาเจอใครบ้างก็พอแล้ว” โฟล์คมักจะอมยิ้มทุกครั้งที่เขาพูดจบประโยค ลินดาชอบแววตาของเขา มันดูร่าเริง จริงใจ เหมือนไม่มีอะไรซ่อนเร้น
“ก็ประมาณนี้ครับ ส่วนชั้นสามนั่นผมไม่เคยขึ้นไป เป็นห้องส่วนตัวของคุณยาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านคงแข้งขาไม่ค่อยดีล่ะมั้ง เลยย้ายมานอนข้างล่าง เลยโต๊ะทำงานที่อยู่นอกห้องตัดต่อไปที่มีม่านพลาสติกกั้นน่ะ คุณยายนอนดูทีวีอยู่ด้านหลังนั่นทุกวัน” ลินดาฟังเขาพูดแล้วพยักหน้าตามเป็นพักๆ ระหว่างที่ลงบันไดกลับมาที่ชั้นล่าง
“เอ้อ โฟล์ค ฉันลืมถาม”
“ครับ”
“คุณทันคนที่ทำตำแหน่งฉันตั้งสองคนก่อนหน้านี้ ส่วนฉันเพิ่งเรียนจบมาได้ยังไม่ถึงปี ฉันควรต้องเรียกคุณว่าพี่นะ”
“ไม่ต้องหรอก ผมเพิ่งอายุ 22 เอง แต่ผมไม่ได้เรียนจบเหมือนคนอื่นเขา โชคดีที่มีโอกาสได้เริ่มงานเร็ว ผมวุฒิไม่สูงแต่ความจำดี เรียนรู้งานเร็วครับ นี่ไม่ได้ชมตัวเองนะ ผู้ใหญ่เขาบอกมา คนที่ฝากผมเข้าทำงานกับคุณเบลน่ะ” ลินดาได้ฟังแล้วก็ไม่แน่ใจว่าควรจะถามต่อดีไหม ว่าผู้ใหญ่คนนั้นคือใคร เธอจะต้องรู้จักด้วยรึเปล่า
“พี่โจ ผมตอบให้เลย เดี๋ยวคุณต้องถามแน่” ลินดายิ้มอ่อนๆ เธอรู้สึกเซอร์ไพรส์ที่โฟล์ครู้ว่าเธอกำลังสงสัยอะไร แต่คำตอบของโฟล์คก็ยังไม่ได้ชัดแจ้งเท่าไหร่ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเธอคงได้รู้จักเขา ในเมื่อเขาฝากคนเข้ามาทำงานได้ เขาก็คงเป็นเพื่อนของเจ้านายเธออีกที
ทั้งคู่เดินลงมาถึงชั้นล่าง อ้อมข้างตัวบ้านกลับมาทางเก่าก่อนที่จะขึ้นชั้นสองมาด้วยกัน เมื่อลงมาถึงโฟล์คก็เห็นว่าคุณเบลมาถึงแล้ว เขากำลังเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องตัดต่ออยู่
“สวัสดีครับ คุณเบล”
“สวัสดีค่ะ” ทั้งสองคนทักทายผู้จัดการในนามที่โฟล์คได้เกริ่นๆ เอาไว้ให้ลินดาทราบ
“อ้าว มาแล้วเหรอ นั่งรอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวผมไปคุยรายละเอียดด้วย” เขายังจดๆ จ้องๆ อยู่ที่หน้าจอเมื่อเครื่องพร้อมทำงานแล้ว ลินดาเดินไปนั่งที่โซฟา
“ฟุตเทจที่มาเลเซียแคปเสร็จรึยัง”
“ยังไม่ได้แคปเลยครับ ว่าจะเริ่มวันนี้ล่ะ พาน้องใหม่ไปดูห้องน้ำกับรอบๆ ตัวบ้านมา”
“ต้องพาไปดูห้องน้ำด้วย? มันมีอะไรพิเศษเหรอ”
“โธ่คุณเบล ก็เผื่อเธอไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนไง ละลายพฤติกรรมน่ะ” คุณเบลหัวเราะ โฟล์คนั่งลงตรงหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ตอนนี้จอมอนิเตอร์ทั้งสี่จอถูกเปิดพร้อมทำงานแล้วทั้งหมด คุณเบลเดินออกจากห้องตัดต่อมาแล้วเลื่อนประตูปิด
“โอเคครับ ผมชื่อเบล คุณคงรู้แล้ว ทีนี้เรื่องงานเรา...” เขานั่งลงที่โซฟาข้างๆ ลินดา “ผมจะบอกคร่าวๆ ก่อน คือเราเป็นโฮมออฟฟิศ เป็นบริษัทเล็กๆ ไม่ได้มีโครงสร้างใหญ่โตอะไร แต่เราก็ทำผลงานออกมาได้ดี ทางช่องกล่าวชมมาเสมอๆ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องความมั่นคงนะ สัญญาของปีนี้เราก็ได้เซ็นเรียบร้อยแล้ว หน้าที่คุณหลักๆ ก็จะเป็นเรื่องภาษา ฉะนั้นทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับภาษา คุณต้องรับหน้าที่ทั้งหมด อาจจะมีการทำจดหมาย ติดต่อปลายทางต่างประเทศ ออกทริปประสานงานกอง คิดว่าไหวไหม”
ราวห้านาทีต่อมาลินดาจึงรู้สึกได้ว่าคุณเบนกำลังลุกขึ้น แม้แต่ชายเสื้อของเขาก็ยังอยู่ในความสนใจของเธอตอนนี้ หน้าตาของเบนก็ละม้ายคล้ายกับเบลอยู่มาก วันก่อนตอนสัมภาษณ์งานกับเบล เธอยังจับจ้องทุกอย่างของเบลได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรู้ตัว ลินดายังจำได้ว่าเธอสังเกตเห็นนิ้วมือของเบลที่เรียวยาวสวย ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเบนด้วยความเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่มันมีอะไรสักอย่างในตัวเบนที่ต่างออกไป ใจเธอจึงได้เต้นแรงอย่างนี้เมื่อได้อยู่ใกล้เขา แม้แต่เสียงลมหายใจของเขาก็ยังทำให้เธอว้าวุ่น ตอนนี้เบนลุกออกจากห้องไปแล้ว แล้วเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้ล่ะ เขายังนั่งทำอะไรต่อหลังจากคุยกับเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลินดาไม่กล้าหันกลับไปมองในระหว่างนั้นเพราะกลัวว่าจะต้องสบตากัน เธอกลัวว่าเจ้านายจะรู้ว่าใจเธอคิดอะไรอยู่ ห้านาทีก่อนหน้านี้ที่เธอกลับมาดูรายละเอียดในหนังสือเล่มเดิมนั้น มันยังไม่มีอะไรผ่านหัวสมองของเธอเลย นอกจากเสียงของคุณเบนเวลาที่เขาขยับตัวอยู่บนโซฟาแม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ลินดากลับมาตั้งสติและมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้อีกครั้ง เธอนำเอารายละเอียดที่โน้ตไว้ในสมุดมาเริ่มเรียบเร
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ลินดาใช้ช้อนตักน้ำซุปที่เหลือในชามซดเข้าปากจดหมด โฟล์คยิ้มกว้างเมื่อเห็นลินดากินก๋วยเตี๋ยวร้านที่เขาแนะนำอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่เหลืออะไรเลยนอกจากตะเกียบและช้อนในชาม “บอกแล้ว อร่อยเด็ด” โฟล์คพูดพลางดูดน้ำจากแก้วที่จวนจะเหลือแต่น้ำแข็งแล้ว “เด็ดจริง ฉันยอมเลย” ลินดาดูนาฬิกาที่ข้อมือ “กลับเลยไหม ไว้ว่างๆ หลังเลิกงาน คุณค่อยมาเซอร์เวย์ดูของกินอย่างอื่น นี่วันแรก อย่าให้เลยเวลาพักเที่ยงเลย” “ก็ไหนคุณบอกว่าไม่ซีเรียสเรื่องเวลาเพราะเป็นโฮมออฟฟิศไง” ลินดาท้วง “ผมหมายถึงผม แต่ถ้าคุณจะทำเหมือนที่ผมทำ ผมไม่รับรองนะว่าจะไม่โดนใครดุว่าอะไร” “โอเค งั้นกลับกันเลยดีกว่า โธ่ แล้วมาหลอกให้ดีใจ” ลินดาลุกขึ้นไปจ่ายเงิน “ก็บอกแล้วว่าตำแหน่งคุณมันต้องรับโทรศัพท์” โฟล์คบ่นพึมพำระหว่างที่เดินตามมาจ่ายเงินพร้อมกัน ลินดาหันมาเห็นสีหน้ารู้สึกผิดจากโฟล์คแล้วก็ต้องรีบอธิบาย “เฮ้ย ฉันไม่ได้ว่าอะไร แค่เข้าใจผิดไปเองน่ะ” “อื้อ” โฟล์คตอบเธอด้วยการส่งเสียงออกมาสั้นๆ ลินดาคิดอยู่ในใจว่าโฟล์คดูเป็นคนจ
“หวัดดีครับ เป็นไงบ้าง น้องใหม่ โดนโฟล์คแกล้งรึเปล่า” เบนโผล่หน้าเข้ามาถามไถ่ทั้งคู่อย่างเป็นกันเอง โฟล์คทักทายคุณเบนกลับไปอย่างอ่อนน้อม ลินดาได้แต่พนมมือไหว้เขา “แคปฟุตที่มาเลย์อยู่ใช่ไหม” คุณเบนเดินเข้ามาในห้องโดยเปิดประตูคาไว้ เป็นสัญญาณบอกว่าเขาคงจะไม่อยู่ในห้องนี้นานนัก เขายืนดูฟุตเทจปัจจุบันจากเทปเบต้าม้วนที่กำลังเล่นอยู่โดยใช้สองฝ่ามือเท้าลงบนโต๊ะตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ลินดามองดูเขาจากด้านหลัง “ครับคุณเบน อีกไม่กี่ม้วนก็หมดแล้ว” โฟล์คตอบ “อื้ม ดีละ” คุณเบนยืดตัวขึ้นยืนตรง แล้วหันหน้ามาทางลินดา “เบลบอกรายละเอียดงานให้บ้างแล้วใช่ไหมครับ เช่นว่าบริษัทเราทำอะไร แล้วหน้าที่คุณคืออะไร” เบนถามกับลินดา “เอ่อ... บอกแล้วค่ะ” ลินดาไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ เบนก็เล่นหันมาหาเธออย่างกะทันหันในระหว่างที่เธอกำลังมองดูไรจอนผมของเขา เนื้อเสียงคุณเบนนุ่ม หวาน และน่าฟังมาก ถึงแม้โทนเสียงจะฟังดูจริงจังอยู่ในทีแต่ลินดาฟังแล้วก็ไม่รู้สึกไม่ติดขัดตรงไหนเลย “ดีครับ แล้วนั่นอ่านอะไรอยู่” “หนังสือเกี่ยวกับประเภทจอร์แดนค่ะ คุณเบลให้ทำส
ลินดานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเบลอธิบายถึงเนื้องานที่เธอต้องรับผิดชอบ ทำเอกสารอะไรน่ะไม่มีปัญหา แต่ต้องไปต่างประเทศเนี่ยสิ ไปประสานงานกองเชียวเหรอ มันฟังดูสลักสำคัญเกินไปไหมสำหรับเด็กใหม่อย่างเธอ “ได้ค่ะ” เธอตอบไปอย่างมั่นใจแม้ข้างในจะเป็นตรงกันข้าม “ไม่ทราบมีพาสปอร์ตรึยังครับ” เบลถามต่อ “ยังเลยค่ะ” “งั้นวันสองวันนี้ไปทำไว้เลยนะ” ลินดาพยักหน้า เธอเริ่มหวั่นๆ อยู่ในใจ แม้จะเชื่อมั่นว่าตัวเธอมีศักยภาพเพียงพอ แต่ดูอะไรๆ มันดำเนินไปไวเหลือเกินสำหรับวันแรกในที่ทำงาน นี่ก็ต้องไปทำพาสปอร์ตรอไว้แล้ว “ได้ค่ะ ไปในเวลางานเลยเหรอคะ” ลินดาถามเบล “ใช่ครับ ไปได้ ไม่มีปัญหา ผมเป็นคนอนุญาต” “ค่ะ” “วันนั้นตอนเห็นหน้าผม คุณดูชะงักไป มีอะไรรึเปล่า” เบลถามเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เปล่าหรอกค่ะ พอดีวันนั้นโฟล์คบอกว่าคุณเบลจะเป็นคนสัมภาษณ์ เห็นว่าชื่อเบลฉันก็นึกว่าคุณจะเป็นผู้หญิง พอเจอตัวจริงก็เลยแปลกใจนิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ ค่ะ” ลินดากางนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้อยู่ห่างกันให้น้อยที่สุดเพื่อประกอบการอธิบาย “ชื่
“จริงๆ ชั้นสองนี้เราไม่ค่อยได้ขึ้นมาใช้งานเท่าไรหรอก แต่ผมพามาดูจะได้รู้เผื่อเจ้านายให้ขึ้นมาหยิบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ บางทีเขาลืมเอกสารไว้บนโต๊ะแล้วเผอิญติดสายอยู่อะไรทำนองนั้น” โฟล์คอธิบายระหว่างที่ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาชั้นสองด้วยกัน “แล้วปกติคุณเบนกับคุณเบลเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ” ลินดาถามเมื่อเห็นว่าคราวก่อนคุณเบลมาถึงทีหลังเธอและยังต้องเอารถไปจอด ส่วนคุณเบน โฟล์คก็บอกว่าวันนี้เขายังไม่มา “ครับ พอเริ่มโต เริ่มทำงาน เขาก็ออกไปอยู่คอนโดกัน สไตล์คนหนุ่มน่ะ ต้นตระกูลคุณพ่อของเจ้านายเราเป็นมหาดเล็กเก่าในวังตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ คงมีเงินทุนเตรียมไว้ให้ลูกๆ ทำธุรกิจตอนเรียนจบ อันนี้คุณยายเคยเล่าให้ฟังตอนทานข้าวด้วยกัน แต่ผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้” ลินดาฟังเขาเล่าเรื่องราวของบ้านเจ้านายเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ โฟล์คอมยิ้มเมื่อเห็นเธอยืนฟังตาแป๋ว เขาพาเธอเดินไปดูห้องทำงานของคุณเบนซึ่งอยู่ด้านในสุด ถัดมาจึงเป็นห้องของคุณเบล “มันเคยเป็นห้องนอนเขานั่นล่ะครับ พอย้ายไปอยู่คอนโด ก็ใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงานแทน” โฟล์คเปิดประตูให้เธอได้เห็นข้าง
ฟ้ายังคงมืดสนิทแม้ใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ตามธรรมดาของฤดูหนาวที่ช่วงเวลากลางคืนจะยาวนานกว่าเวลากลางวัน พระอาทิตย์วันนี้คงจะโผล่พ้นขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ผิดกับลินดาที่ตื่นขึ้นพร้อมรับวันใหม่ตั้งแต่ตีห้าเศษๆ เพื่อจะเริ่มงานวันแรกในที่ทำงานใหม่ซึ่งเธอดีใจเหลือเกิน ลินดาเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาอะไรเบาๆ กินรองท้องก่อนออกจากบ้าน ถุงบะหมี่ที่ซื้อมาเมื่อวานซืนยังอยู่ดีไม่มีทีท่าว่าจะเน่าบูด แต่ลินดาก็เลือกที่จะทิ้งมันไป แล้วหยิบถ้วยโยเกิร์ตมาเปิดกินแทน เมื่อฟ้าข้างนอกเริ่มสว่างได้ที่ ลินดาจึงปิดไฟในห้องเมื่อเห็นว่าแสงเทียมๆ จากหลอดไฟนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เธอเดินไปที่ริมหน้าต่างพร้อมถ้วยโยเกิร์ตในมือแล้วนั่งลงที่ขอบหน้าต่าง มองลงมาที่ถนนในซอยห้องพักแล้วกินโยเกิร์ตต่อจนหมดถ้วยอย่างสบายใจ ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้ชอบที่นี่นัก มันเงียบสงบแบบไม่รู้จักเหงา ผู้คนบางตาแต่ก็มากพอให้รู้สึกถึงความเป็นชุมชน เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยเรียน รู้จักคุณเชอร์รีเจ้าของที่พักมาได้ก็หลายปีตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่ แต่ก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากไปกว่าชื่อและหน้าตาของเธอ ส่วนคุณเชอร์รีก็ไม่เคยถามอะไรซอกแซกเกี่