LOGINลินดาและเจสซีเดินขึ้นบันไดมาด้วยกัน อพาร์ทเมนต์ที่ลินดาเช่าอยู่ตั้งแต่สมัยเรียนนั้นเป็นตึกสี่ชั้น มีชั้นล่างสุดเป็นร้านหนังสือตกแต่งภายในร้านด้วยไม้สังเคราะห์ มีดวงไฟแบบฝังเข้าไปในฝ้าสีวอร์มไวท์ พอเริ่มค่ำแสงไฟในร้านจะเริ่มโดดเด่นชัดเจนขึ้นเมื่อไม่มีแสงแดดมาแย่งความสว่างไป
ทางเข้าอพาร์ทเมนต์เป็นทางเข้าคนละทางกันกับที่ใช้เข้าร้านหนังสือ เจ้าของทำทางเดินแคบๆ พอเดินสวนกันได้สำหรับผู้เช่าอาศัยให้เดินผ่านขึ้นตึกไปโดยไม่ต้องทะลุเข้าไปในตัวร้าน มีกล้องวงจรปิดเพื่อความปลอดภัยคอยจับภาพทุกมุมไว้โดยไม่มีมุมอับสายตา เจสซีหัวเราะหึๆ เบาๆ ในลำคอขณะกำลังเดินขึ้นมา
“ขำอะไรเหรอ” ลินดาถาม
“ไม่เหงากันหรือไงนะ”
“เหงายังไง”
“อ้าว ก็ดูสิ อพาร์ทเมนต์ให้เช่า มีสี่ชั้น ชั้นล่างเป็นร้านหนังสือ ชั้นสองถึงชั้นสี่เป็นห้องพัก ชั้นละห้อง! มีผู้เช่าทั้งตึกเบ็ดเสร็จสามคน! ฉันจะบ้าตาย” ลินดาหัวเราะตามในลำคอ เมื่อถึงชั้นสามเธอจึงไขเปิดประตูห้อง
“ไม่ต้องเคาะเหรอ”
“ไม่ต้อง เมื่อเช้าเคาะไปแล้ว ไม่เห็นจะเฮงเลย” เจสซีมองดูสีหน้าที่ผิดหวังของเพื่อนแล้วบีบแขนเธอด้วยมือข้างที่หิ้วสลัดมาด้วยสองห่อ ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้อง ถอดรองเท้าเก็บที่ชั้นวาง ล้างไม้ล้างมือแล้วจึงกางโต๊ะญี่ปุ่นนั่งกินสลัดด้วยกัน
“ฉันขอตะเกียบ” ลินดาหยิบตะเกียบมาให้เจสซีตามคำขอ ส่วนของเธอหยิบช้อนส้อมมาใช้ตามปกติ
“เล่าเลยไหม” เจสซีถามขณะคีบผักร็อคเก็ตส่งเข้าปากทันทีที่สำรับสลัดอะโวคาโดลงเสิร์ฟบนโต๊ะตัวน้อยทั้งสองชาม ลินดานั่งลงบนเบาะที่วางสะเปะสะปะอยู่ในห้อง หยิบเอาชามสลัดมาถือไว้แล้วใช้ส้อมจิ้มกิน เธอนั่งห่างจากเจสซีไปราวสองเมตร
“ก็ไม่มีไรมาก แค่รู้สึกว่าฉันทำได้ไม่ดีเลยตอนสัมภาษณ์ คือมันเฟลตั้งแต่ตอนไปถึงแล้ว มันไม่ใช่ออฟฟิศน่ะ มันเป็นบ้านคนแล้วเอาข้าวของในสำนักงานเข้ามาวาง กั้นกระจก กั้นประตูอะไรหน่อยนึง”
“อ๋อ แบบโฮมออฟฟิศน่ะสิ”
“ประมาณนั้น แต่ในใจฉันก็ไม่ได้ปลื้มแต่แรกแล้วแค่เรื่องสถานที่ มันดูไม่เป็นทางการเลย ห้องข้างในมีคอมจอใหญ่ๆ เรียงกัน สองจอ ต่อสายซีพียูตัวเดียว เป็นแบบนี้สองชุด แล้วก็นอกห้องนั้นมีโต๊ะทำงานอีกสองตัว แต่แบบมันดูยังไงก็บ้านคน แต่ฉันก็ยังไม่ปิดใจซะทีเดียวนะ ใครจะไปรู้ อยู่ๆ ไปมันอาจจะดีก็ได้” ลินดาจิ้มอะโวคาโดส่วนที่ยังไม่ถูกคลุกจนเละเข้าปาก
“ช่างสังเกตดีจริงเพื่อนฉัน แล้วไงต่อ เรื่องสัมภาษณ์ ที่ว่าทำได้ไม่ดีน่ะ ยังไง” เจสซีกินไปฟังไป แต่ลินดาก็รู้สึกได้ว่าเจสซีตั้งใจฟังเธอเล่าแม้จะไม่ได้กอดอกนั่งฟังเหมือนเด็กกำลังเรียนหนังสือ ทุกคำที่เธอพูดไป เจสซีจับประเด็นได้ทั้งหมด
“เขาก็ถามว่าชอบทำงานเจอผู้คน หรือชอบทำงานคนเดียว ฉันบอกได้ทั้งคู่ แล้วเขาก็บอกว่าฉันคงเป็นแอมบิเวิร์ท ขอโทษเถอะ ฉันไม่เคยได้ยินคำนั้นมาก่อนก็เลยย้อนถามเขาว่าอะไรนะ แล้วเขาก็บอกว่าช่างมัน มันไม่สำคัญ ฉันฟังแล้วมันแปลกๆ น่ะ ถามไปถามมา พอสัมภาษณ์เสร็จ เขาบอกแล้วจะติดต่อมา คำนี้ไงเธอ คีย์เวิร์ดสำคัญ ฉันว่าไม่ต้องหวังแล้วล่ะ ก็คงต้องทำงานที่ไอ้โรงพยาบาลบ้านั่นต่อไป”
“พูดให้มันชัดหน่อยเธอ เดี๋ยวใครมาได้ยินก็นึกว่าเธอทำงานโรงพยาบาลบ้าจริงๆ หรอก แล้วพรุ่งนี้จะเอาไง กลับไปทำที่เก่าก่อนเหรอ”
“ก็ต้องแบบนั้นแหละ วันนี้วันหยุดฉัน ก็เลยแว้บไปสัมภาษณ์ได้ ฉันยังไม่ได้บอกอะไรใครที่ทำงาน คงจะบอกได้หรอก มีหวังโดนเพ่งเล็ง ก็ว่าจะหาที่ใหม่ให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปลาออก”
“ทำถูกต้องแล้วเพื่อน” เจสซีทำนิ้วเป็นเครื่องหมายถูกแล้วสับข้อมือมาทางลินดา ลินดาวางชามสลัดพร้อมช้อนส้อมลงบนโต๊ะที่เจสซีนั่งกินอยู่ แล้วลุกขึ้นไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ เปิดลิ้นชักชั้นบนซึ่งเป็นคนละลิ้นชักกับที่เธอเก็บไดอารีเอาไว้ หยิบกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่น
“อะไรเหรอ” เจสซีถาม
“ตารางเวรเดือนนี้ จะดูว่าพรุ่งนี้ต้องเข้ากี่โมงน่ะ” ลินดาใช้นิ้วไล่ไปตามวันที่จนถึงวันที่ต้องการ
“กี่โมง” เจสซีถาม
“หกโมงเช้า” ลินดาตอบพร้อมทำหน้าตาเบื่อหน่ายสุดชีวิต
“ต้องตื่นกี่โมงล่ะแบบนี้”
“ตีสี่น่ะสิ กว่าจะไปถึงอีก หกโมงที่ว่านี่คือต้องพร้อมทำงานแล้ว ไม่ใช่แค่ตอกบัตรแล้วไปนั่งกินข้าวได้เหมือนที่อื่นนะ” ลินดาเก็บใบตารางเวรกลับเข้าลิ้นชักไป
“แล้วเวรมันก็ไม่แน่ไม่นอน ถ้าเวลาเดียวกันทั้งเดือน แล้วค่อยเปลี่ยนอีกทีตอนเริ่มเดือนใหม่ก็ว่าไปอย่าง นี่สลับไปเรื่อยแทบจะรายวัน เครียดทั้งร่างกายทั้งความรู้สึกเลย” ลินดายังบ่นต่อ
“ความรู้สึกด้วยเหรอ”
“ใช่ บางทีคนไข้เขาสูงศักดิ์ใหญ่โตจากไหนมาก็ไม่รู้ แล้วพอป่วยมาก็ยิ่งไม่อยากจะใจดีกับใครล่ะมั้ง เขาก็มองเราเป็นแค่เจ้าหน้าที่ แค่พนักงาน ไม่ได้ต้องเกรงใจเหมือนอย่างหมอหรือพยาบาลหรอก จะพูดจาแย่ใส่เรายังไง หรือทำกิริยาไม่ให้เกียรติเรายังไงก็ได้”
“ฉันว่าถ้าคนมันนิสัยไม่ดี จะหมอหรือพยาบาลก็โดนเหมือนกันแหละ อย่าน้อยใจตัวเองเลย” เจสซีพยายามปลอบเพื่อน
“แต่แปลกนะ หลายคนที่สุภาพๆ และให้เกียรติฉันหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นมากๆ น่ะ พอเอาชื่อหน้าแฟ้มมาดู โอ้โห เป็นเจ้า เป็นหม่อม เป็นคนนามสกุลดังๆ ทั้งนั้นเลย ผิดกับพวกไฮโซเก๊ ใครก็ไม่รู้ สงสัยเพิ่งรวยเมื่อวาน เลยทำตัวไม่ถูก” เจสซีหัวเราะเมื่อเห็นลินดายังมีแก่ใจจะตบมุกบ้าง
“ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ กล้าลาออกไปตายเอาดาบหน้าเลยไหมล่ะ มันจะได้มีแรงหางานใหม่”
“แล้วค่าเช่า ค่ากินล่ะยะ”
“ก็ถึงบอกไง ว่ามันจะเป็นแรงขับเคลื่อนชั้นดี จะได้ขยันหางาน พอไปสัมภาษณ์แล้วไม่ชอบสถานที่ หรือพูดอะไรผิดนิดผิดหน่อยจะได้ไม่นอยด์ จะได้ลุยๆ เข้าไว้” ลินดาชะงักไปเล็กน้อย เธอไม่แน่ใจว่าเจสซีกำลังตำหนิเธออยู่รึเปล่า
“หมายความว่าไงเนี่ย”
“หมายความตามนั้นล่ะ เขาบอกจะติดต่อมา ก็รอให้เขาติดต่อมา ถ้าเขาเงียบไปก็ไม่ต้องสนใจ สมัครที่ใหม่โลด ส่วนที่นี่ก็ทนๆ ทำไป ไม่ไหวก็ลาบ้าง”
“ถ้าจะลาต้องหาคนมาขึ้นเวรแทนให้ได้ก่อน”
“หา! มีงี้ด้วยเหรอ”
“ก็ฉันถึงเบื่อไง เกิดป่วยกะทันหันหาใครมาแทนไม่ได้ก็ต้องลากสังขารมาทำงาน ฉันเคยนะไม่ใช่ไม่เคย วันนั้นปวดประจำเดือนสุดๆ เลยโทรลาหัวหน้า สรุปว่าวันนั้นหัวหน้าให้พี่อีกคนมาทำแทน ถึงวันเจอหน้ากันเท่านั้นล่ะ แม่นางด่าเปิง บอกว่านั่นมันวันหยุดเขา ต้องโดนหัวหน้าโทรตามมาทำงาน ทั้งที่ก็ได้ค่าตอบแทนเท่าครึ่งแน่ะ ถ้ามันตรงวันหยุด” เจสซีทำหน้างงๆ
“เท่าครึ่งคืออะไรเหรอ” เป็นคำถามที่ลินดากะเอาไว้แล้วว่าเจสซีต้องถามแน่
“ไม่เป็นไร ช่างมันก่อน ว่างๆ ค่อยอธิบายนะ”
“ตกลงไหม” เบนจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของลินดา แล้วขยับเข้ามาใกล้จนเธอสังเกตเห็นได้กระทั่งไรขนตาของเขา “เป็นฟรีแลนซ์แล้วฉันจะเสียโอกาสอย่างอื่นไหมคะ” เธอยังพะวงอยู่กับเรื่องงาน ทั้งที่ใจก็สะท้านแค่เพียงเพราะสายตาของเขา “ไม่เลย เหมือนเดิมทุกอย่าง แค่คุณจะมีเวลาว่างมากขึ้น หรืออยู่บ้านแล้วกลัวจะเหงาล่ะ” “ไม่หรอกค่ะ ฉันเป็นคนติดบ้าน ถึงจะไม่ใช่บ้านจริงๆ ก็เถอะ อยู่มาจนชินแล้ว” ลินดาตอบเขา “งั้นตกลงนะ” ลินดายังทำหน้าตาเหมือนครุ่นคิด “คุณเบลว่ายังไงบ้างเหรอคะ” “ก็เขาเป็นคนเสนอเอง แล้วจะว่าอะไรได้ล่ะ” ลินดาดีใจที่เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้ เธอชอบเบนมาก และชอบงานที่ทำมากด้วย เบนยังรอให้เธอยืนยันคำตอบ เขารอให้เธอไตร่ตรองทุกอย่างในใจให้เสร็จสิ้น “ก็ได้ค่ะ ฉันจะเป็นฟรีแลนซ์” เบนยิ้มแล้วพยักหน้า “แล้วอีกเรื่องล่ะ” “อีกเรื่อง...” ลินดาทำทีเป็นข้องใจ ทั้งที่ก็รู้เต็มอกว่าเขาหมายถึงอะไรกัน “ให้ผมลองคบกับคุณได้ไหม” เบนไม่ปล่อยมือเธอเลยตั้งแต่เขาเอื้อมมือมากุมมันเอาไว้ เขาเริ่มบีบมือเธอเบาๆ คล้ายว่า
“ขอบใจมากนะหนู ฉันก็กลัวหนูจะตกใจที่ฉันทำเสียงดัง” คุณป้าชั้นสี่ยังไม่วายจะเกรงใจลินดา “ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณป้า” “ว่าแต่หนูชื่ออะไรล่ะ” คุณป้าพยายามชวนลินดาคุย “ชื่อลินดาค่ะ คุณป้าล่ะคะ” “ชื่อป้ากานต์” “คุณไม่เคยคุยกันเลยเหรอครับ” เบนถามออกมาด้วยความสงสัย เขาดูไม่รีบเร่งแม้แต่น้อยเลยเมื่ออยู่หลังพวงมาลัยรถ ทั้งที่ก่อนนี้เขาแทบจะตะเบ็งเสียงใส่ลินดาเมื่อเธอทำทีลังเลใจที่ต้องล้วงกระเป๋ากางเกงของเขาเพื่อเอากุญแจรถออกมาสตาร์ท “ก็แค่ทักทายกันตามประสาค่ะ เราอยู่กันเงียบๆ เลยที่อะพาร์ตเมนต์นี้” “แปลกดีแฮะ” เบนออกความเห็นตามความรู้สึก “ไม่แปลกหรอก ถ้าคนแบบเดียวกันบังเอิญมาอยู่ที่เดียวกันน่ะ” คุณป้ายังทำหน้าตาเหยเกเล็กน้อย เบนคอยสลับมองดูเธอจากกระจกมองหลัง “เจ็บมากไหมครับ อีกเดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว ตอนนี้มันเลยช่วงเวลาเร่งรีบบนท้องถนนมาแล้ว รถก็เลยไม่ติด” “โชคดีที่คุณมาพอดี ฉันวิ่งลงมาหาคนช่วย เจ้าของอะพาร์ตเมนต์ก็ไม่อยู่อีก ไม่งั้นก็ไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน ขอบคุณมากนะคะคุณเบน” ลินดาขอบคุณ
“โฟล์ค” เขาหันไปมองตามเสียงเรียก “ครับพี่ เอ้ยคุณเบล” เบลส่ายหน้า เขาไม่ได้หน่ายใจเลยที่โฟล์คเผลอเรียกเขาว่าพี่ แต่มันเป็นเพราะโฟล์คไม่ยอมเรียกเขาว่าพี่เสียทีนี่ล่ะที่เบลชักจะรำคาญใจ “เมื่อวานเป็นไงบ้าง” “ผมน่ะเหรอ ก็ดีนี่ครับ ก็กลับบ้านไปอยู่กับน้องตามปกติ” “คุณก็รู้ว่าผมหมายถึงเรื่องอะไรนะ” โฟล์คยิ้มแห้งๆ เมื่อเบลถามจี้อย่างนั้น “พอผมพาคุณเบนไปบ้านลินดาแล้วผมก็กลับเลยครับ คงไม่ใช่ธุระกงการอะไรจะอยู่ต่อ” “ไปถึงบ้านเลยเหรอ” “ครับ ที่อะพาร์ตเมนต์เธอน่ะ” เบลนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่ว่างอยู่ข้างโฟล์ค “เราคุยกันแบบพี่น้องเลยได้ไหม ยังไงผมก็มองคุณแบบนั้นมานานแล้ว” “ได้ครับพี่” โฟล์ครอฟัง “ถ้านายเป็นฉัน นายจะทำยังไง” เบลเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้คุยกับโฟล์คทันที เขาสะดวกแบบนี้อยู่แล้ว “ถ้าผมเป็นพี่น่ะเหรอ ผมก็คงทำอย่างที่พี่ทำเมื่อวานนั่นล่ะ ไปไล่ลินดาออกได้ยังไง ตลก ผมไม่เคยเจอ” “ลินดาก็ยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังใช่ไหม” เบลถามต่อ “ยังเลยครับ” “นายอยากใ
ลินดาจัดการความรู้สึกของตัวเองได้ดีเยี่ยม เธอเลิกคิดเรื่องเบนไปแล้ว แม้ว่าบางครั้งยังต้องใช้การเลี่ยง ใช้การหลบหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ความรู้สึกเดิมๆ เริ่มกลับมาอีก ประกอบกับช่วงตัดต่องานที่เธออาจจะต้องช่วยโฟล์คดูรายละเอียด เธอจึงไม่ค่อยว่างให้เขาเรียกไปคุยเพื่อล้อเล่นกับความรู้สึกอีก ยังไงแล้วเจ้านายสายตรงของเธอก็คือคุณเบล เธอแคร์แค่เขาก็คงจะพอ “พรุ่งนี้เงินเดือนออกแล้วนะ” โฟล์คเอ่ยขึ้น “อ้อ ใช่ จริงด้วย ฉันต้องเลี้ยงข้าวคุณแล้วสิ จะกินอะไร คิดไว้เลยนะ” “อยากกินร้านเดิมนั่นล่ะ” “ร้านอาหารเวียดนามเหรอ” “ใช่เลย” “ไม่มีปัญหา”สองสามสัปดาห์มานี้ ลินดาปรับตัวได้ดีมากๆ ทั้งที่เธอกลัวใจตัวเองแทบแย่ หลังจากได้เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น จากช่วงแรกที่เธอต้องเขินอายเวลาที่เจอคุณเบน มันก็เปลี่ยนเป็นความอับอายในความโง่เง่าของตัวเองแทน ลินดาเลือกที่จะแก้ไขสถานการณ์อย่างคนที่เป็นผู้ใหญ่ เธอบอกตัวเองบ่อยๆ ว่ามันเรื่องเล็กนิดเดียว แค่เข้าใจผิดกันไป คุณเบล คือเจ้านายที่มีสิทธิ์ชี้ขาดในตัวเธอ ดูเขาก็พอใจการทำงานของเธอออกจะตายไปลินดาช่วยโ
ลินดาพยายามรวบรวมสติ พูดย้ำกับตัวเองในใจว่าเธอมาที่นี่เพื่อทำงานหาเงิน อยู่ที่นี่ดีออกจะตายไป ทั้งได้ทำงานที่ไม่น่าเบื่อ ไม่ต้องเข้ากะเข้าเวร ไม่ต้องเจอลูกค้าหยิ่งผยองมารยาทแย่ เพื่อนร่วมงานก็ดี ทั้งโฟล์คและทุกๆ คนแม้แต่แม่เจ้านาย แต่เธอเองต่างหาก ที่ปล่อยใจให้คิดอะไรที่ไม่ควรคิด คุณเบนก็คงเป็นของเขาอย่างนั้น เผลอๆ เขาอาจจะทำอย่างนี้กับทุกคนโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยมากไปกว่าความเป็นเจ้านายและลูกน้อง ดูสิ แฟนเขาสวยหุ่นดีอย่างกับนางแบบนางละคร เหมือนนางฟ้านางสวรรค์ที่ลอยลงมารับคุณเบนกลับจากสนามบิน ป่านนี้พวกเขาคงหยอกเย้ากันหวานชื่น เธอกล้าดียังไงไปคิดว่าคุณเบนจะมีใจด้วย เธอมันใคร ลินดา ลินดาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุค แล้วโปรแกรมเอ็มเอสเอ็นก็ลงชื่อเข้าใช้ให้เธอโดยอัตโนมัติตามที่ได้ตั้งค่าเอาไว้ มีหน้าต่างกระพริบขึ้นมา เธออมยิ้มน้อยๆ ออกมาแม้ในใจจะกำลังเหี่ยวแห้ง โฟล์คทักมาแล้ว เธอดีใจจริงๆ “กลับมาแล้วเหรอ” โฟล์คถาม “หมาดๆ เลย พอดีวางแผนผิดพลาดนิดหน่อย” “โดนดุรึเปล่า” โฟล์คถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่โดนตรงๆ แต่โดนอ้อมๆ หลายรอบอยู
ตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่อง ลินดานอนแทบไม่หลับ แม้จะอ่อนล้าสักแค่ไหนทั้งจากการทำงานและการต้องนอนในท่านั่ง แต่ใจของเธอก็ไม่สงบพอจะหลับลงได้เลย จนเมื่อเครื่องลงจอด ทุกคนรอกระเป๋าสัมภาระจนครบ เบนจึงได้พูดกับเธอเป็นประโยคแรก “เดี๋ยวกลับไปบ้านผมก่อนนะ แล้วคุณค่อยเรียกแท็กซี่กลับบ้านคุณ” “ผมไปส่งได้นะพี่” เบลเสนอจะขับรถไปส่งลินดาที่บ้าน เธอมองหน้าทุกคนรวมทั้งอาร์ทด้วยความไม่แน่ใจ “ฉันว่าก็ดี สงสารน้องมัน ดูหน้าดิ คงจะเหนื่อย หงอยเป็นแมวเซาเลย” อาร์ทพูด “แมวเซานั่นมันงูแล้วพี่” “อ้าวเหรอ” อาร์ทกับเบลหัวเราะ “เดี๋ยวผมไปส่งลินดาเอง พี่อาร์ทด้วย” “อุ๊ย ขอขอบพระคุณยิ่ง” อาร์ทตอบตกลงด้วยมุกตลกตามสไตล์ของเขา ทุกคนเดินไปยังอาคารจอดรถด้วยกัน แล้วโลกของลินดาก็เหมือนจะทลายลงมาทั้งใบ เมื่อมีผู้หญิงสาวสวยสูงโปร่งขายาวราวกับนางแบบเดินตรงเข้ามาหาเบน ทั้งสองคนทักทายกันอย่างสนิทสนม “งั้นฉันฝากส่งน้องด้วยนะ” เบนมองมาที่ลินดาเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่งแล้วเขาก็เดินออกไปกับผู้หญิงคนนั้น ลินดาทำอะไรไม่ถูก เธอพูดอะไรไม่ออก ตลอดทริป







