Mag-log inเจสซีนั่งเล่นอยู่กับลินดาที่ห้องจนมืดค่ำ ลินดาเริ่มหิวขึ้นมาอีกรอบแล้ว ตั้งแต่ก่อนเที่ยงที่ลินดาสัมภาษณ์งานเสร็จแล้วกลับมาบ้าน นอกจากสลัดคนละชามนั้นแล้วทั้งคู่ก็ยังไม่ได้กินอะไรอย่างอื่นด้วยกันอีก ลินดาอยากใช้วันหยุดวันนี้ให้เต็มที่ โชคดีเหลือเกินที่มีเพื่อนสนิทที่รู้ใจมาอยู่เป็นเพื่อนในเวลาที่ฟ้าไม่สดใสอย่างนี้
ลินดาไม่มีปัญหากับการต้องอยู่คนเดียว เพียงแต่ถ้าหากจะมีใครมาอยู่ใกล้ๆ ด้วยเป็นเวลานานเกินสองสามชั่วโมง เธอขอให้เขาเป็นคนที่เข้าใจตัวตนของเธอ ลินดาไม่แน่ใจหรอกว่าเจสซีเข้าใจเธอรึเปล่า แต่เจสซีเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วทำให้ลินดารู้สึกร่าเริงไปด้วย เธอเป็นคนมีอามณ์ขัน เห็นอะไรก็ตลกไปหมด
“หิวอีกแล้วล่ะเธอ” ลินดาบอกกับเจสซีที่นอนคว่ำอ่านหนังสืออยู่บนเตียงของลินดาอย่างสบายอารมณ์
“ลงไปหาอะไรกินไหมล่ะ แต่ฉันจะกลับเลยนะ”
“ได้ เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“ไปส่งอะไร ฉันขับรถมา”
“ก็ไปส่งที่รถไง”
“โอ้ย ไม่ต้องหรอก ก็เดินลงไปด้วยกัน ถ้าเธอเจออะไรที่อยากกินก็แวะซื้อ ฉันก็เดินเลยไปเอารถ แล้วไว้เจอกันคราวหน้า ง่ายไหม ทำไมชอบทำอะไรให้มันยากนะเธอจ๋า” ลินดางงเล็กน้อยว่ามันยากยังไงกันแค่เธออยากจะไปส่งเพื่อนที่รถ ก็เจสซีอุตส่าห์มีน้ำใจมาหาตอนที่อะไรๆ มันไม่ได้อย่างใจเธอเลย
“ฉันคงซื้อบะหมี่ปากซอยมากิน”
“โอเค” เจสซีลุกขึ้นส่องกระจก จัดแต่งเสื้อผ้าบนตัวให้เรียบร้อยซึ่งก็ไม่ต่างอะไรมากมายกับตอนที่ยังไม่ได้จัด
ทั้งคู่เดินลงจากที่พักมาด้วยกัน ถึงราวกลางซอยเจสซีก็ลาลินดาแล้วเดินแยกไปตรงลานจอดรถที่เจ้าของร้านอาหารเวียดนามทำเอาไว้ให้ลูกค้าและคนทั่วไปให้เข้ามาจอดได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากจอดค้างคืนจึงจะเสียค่าปรับ ซึ่งหลายคนก็ทำกันแล้วยินดีจ่ายค่าปรับให้กับรปภ. ที่เฝ้าลานอยู่ที่ป้อม
หน้าหนาวปีนี้ก็ยังเย็นอยู่ดี แม้จะเทียบไม่ได้กับปีก่อนซึ่งหนาวจัดเป็นประวัติการณ์สำหรับที่นี่ หลายคนสวมเสื้อกันหนาวสีสันหลากหลาย ผ้าไหมพรมบ้าง ผ้าถักแบบคาร์ดิแกนบ้าง แต่ลินดาเดินออกมารับลมหนาวนี้อย่างสดชื่นด้วยเสื้อผ้าฝ้ายธรรมดา ตัวเดียวกับที่สวมไปสัมภาษณ์วันนี้
ร้านบะหมี่อยู่ที่ปากซอยริมถนนใหญ่ ดวงไฟตามเสาในซอยเริ่มเปิดส่องสว่างตลอดทางที่ลินดาเดินออกไปตั้งแต่ก่อนฟ้าจะมืด ทันทีที่ได้อยู่คนเดียว ใจของเธอก็ล่องลอยไปถึงเรื่องต่างๆ อย่างห้ามไม่ได้ เธอไม่ได้เหม่อลอย และไม่ใช่ว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะกำลังเครียดหรือเศร้าโศกอะไร
“ปิ๊นๆ” ลินดาหันมามองตามเสียงแตรรถที่ดังขึ้น รถของเจสซีแล่นชะลอเข้ามาจอดเทียบ เจสซีลดกระจกลงทักลินดาอีกหนหนึ่ง
“ฉันไปส่งปากซอยไหม” เจสซีถามเธอ
“ทีฉันจะไปส่งที่รถล่ะไม่ยอม ทีงี้จะมาขอไปส่งปากซอยเหรอ ฝันไปเถอะ อย่าทำอะไรให้มันยาก ฉันจะเดินตากลมเย็นๆ ไปคนเดียวย่ะ อย่ามาขัด” ทั้งคู่หัวเราะ
“งั้นไปก่อนนะ” เจสซีลาเธอ
“บายจ้ะหล่อน ไว้เจอกัน”
“ระวังโดนฉุดล่ะ!” เจสซียังทิ้งท้ายก่อนจะขับรถออกไป เธอหยอกลินดาเสียงดังลั่นจนอาม่าอากงที่นั่งกินเต้าฮวยอยู่ตรงร้านแถวนั้นต้องพลอยหัวเราะไปด้วย ลินดายิ้มให้ผู้เฒ่าผู้แก่อย่างเขินอาย เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมทั้งยิ้มอ่อนๆ ให้พวกเขาคล้ายจะขอโทษแทนเพื่อนที่ส่งเสียงดัง
ไม่อยากให้หน้าหนาวหมดไปเลย เธอพูดกับตัวเองในใจ ยิ่งหนาวก็ยิ่งดี เธอชอบทุกอย่างในช่วงฤดูนี้ ยิ่งลมพัดมา ยิ่งพาให้เธอคิดจินตนาการไปถึงเรื่องราวดีๆ ต่างๆ มากมายที่ล้วนแล้วแต่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ลินดาเดินเรื่อยเปื่อยโดยมีจุดหมายคือร้านบะหมี่ และจุดหมายถัดไปคือกลับที่พักหลังจากได้บะหมี่มาแล้ว วันพรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปทำงานที่เดิมแล้วสินะ เมื่อไหร่จะได้ไปให้มันพ้นๆ เสียที
ยิ่งอยู่คนเดียวลินดาก็ยิ่งคิดมาก หรือเธอจะทำอย่างเจสซีว่าดีล่ะ ลาออกมาตายเอาดาบหน้าเสียเลย มันจะได้มีแรงขับให้เธอขยันหางานอื่นมากกว่านี้ นี่ก็เพิ่งจ่ายค่าเช่าไป มีเวลาอีกตั้งเกือบเดือนให้หางานใหม่ ไม่แน่ว่าวันนี้เธออาจจะตอบคำถามตอนสัมภาษณ์ได้ไม่ค่อยดีเพราะนอนไม่เป็นเวลาก็ได้
ลินดาเดินมาจนถึงหน้าตึกที่พัก แสงไฟในร้านหนังสือสว่างโดดเด่นขึ้นมาเหมือนอย่างทุกคืนเมื่อเริ่มจะตกค่ำ อีกเดี๋ยวเดียวคุณเชอร์รีก็คงปิดร้านเข้านอน ก่อนจะเริ่มวันใหม่ด้วยการแต่งตัวน่ารักๆ มาเปิดร้าน แล้วก็นั่งเฝ้าร้าน อ่านหนังสือในร้านตัวเองอย่างสุขใจจนผ่านพ้นไปอีกวัน ลินดาแอบมองเข้าไปในร้านก่อนเธอจะขึ้นบันไดที่พัก คุณเชอร์รีเงยหน้าจากหนังสือเล่มที่กำลังอ่านอยู่ เธอยิ้มให้ลินดาเหมือนอยากจะถามว่ามีอะไรรึเปล่า ลินดาโบกมือให้เธอแล้วเอาสองฝ่ามือประกบกันไว้เหนือบ่าตรงข้างๆ หู เธอเอียงคอลงมาสร้างภาษากายเพื่อจะบอกกับคุณเชอร์รีว่าจะเข้านอนแล้ว คุณเชอร์รีทำสัญลักษณ์โอเคตอบกลับมา ลินดายิ้มให้เธออีกครั้งแล้วเดินขึ้นห้องมา
รีบนอนดีกว่า ยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานก่อน เธอไม่ได้มีร้านอย่างคุณเชอร์รี ไม่มีรถขับอย่างเจสซี จะมีก็แต่ร่างกายและความรู้ความสามารถที่ติดตัวมาเพื่อใช้ประกอบอาชีพได้เท่านั้น ลินดาพยายามคิดหาข้อดีของงานปัจจุบันเพื่อไม่ให้คิดมากเกินไปในคืนนี้ อย่างน้อยมันก็เงินดีกว่าอีกหลายๆ งาน มีค่าภาษาให้ต่างหากนอกเหนือจากเงินเดือน ซึ่งก็ต้องแลกด้วยการอยู่เวรดึกๆ ดื่นๆ เฮ้อ...
ราวห้านาทีต่อมาลินดาจึงรู้สึกได้ว่าคุณเบนกำลังลุกขึ้น แม้แต่ชายเสื้อของเขาก็ยังอยู่ในความสนใจของเธอตอนนี้ หน้าตาของเบนก็ละม้ายคล้ายกับเบลอยู่มาก วันก่อนตอนสัมภาษณ์งานกับเบล เธอยังจับจ้องทุกอย่างของเบลได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรู้ตัว ลินดายังจำได้ว่าเธอสังเกตเห็นนิ้วมือของเบลที่เรียวยาวสวย ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเบนด้วยความเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่มันมีอะไรสักอย่างในตัวเบนที่ต่างออกไป ใจเธอจึงได้เต้นแรงอย่างนี้เมื่อได้อยู่ใกล้เขา แม้แต่เสียงลมหายใจของเขาก็ยังทำให้เธอว้าวุ่น ตอนนี้เบนลุกออกจากห้องไปแล้ว แล้วเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้ล่ะ เขายังนั่งทำอะไรต่อหลังจากคุยกับเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลินดาไม่กล้าหันกลับไปมองในระหว่างนั้นเพราะกลัวว่าจะต้องสบตากัน เธอกลัวว่าเจ้านายจะรู้ว่าใจเธอคิดอะไรอยู่ ห้านาทีก่อนหน้านี้ที่เธอกลับมาดูรายละเอียดในหนังสือเล่มเดิมนั้น มันยังไม่มีอะไรผ่านหัวสมองของเธอเลย นอกจากเสียงของคุณเบนเวลาที่เขาขยับตัวอยู่บนโซฟาแม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ลินดากลับมาตั้งสติและมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้อีกครั้ง เธอนำเอารายละเอียดที่โน้ตไว้ในสมุดมาเริ่มเรียบเร
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ลินดาใช้ช้อนตักน้ำซุปที่เหลือในชามซดเข้าปากจดหมด โฟล์คยิ้มกว้างเมื่อเห็นลินดากินก๋วยเตี๋ยวร้านที่เขาแนะนำอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่เหลืออะไรเลยนอกจากตะเกียบและช้อนในชาม “บอกแล้ว อร่อยเด็ด” โฟล์คพูดพลางดูดน้ำจากแก้วที่จวนจะเหลือแต่น้ำแข็งแล้ว “เด็ดจริง ฉันยอมเลย” ลินดาดูนาฬิกาที่ข้อมือ “กลับเลยไหม ไว้ว่างๆ หลังเลิกงาน คุณค่อยมาเซอร์เวย์ดูของกินอย่างอื่น นี่วันแรก อย่าให้เลยเวลาพักเที่ยงเลย” “ก็ไหนคุณบอกว่าไม่ซีเรียสเรื่องเวลาเพราะเป็นโฮมออฟฟิศไง” ลินดาท้วง “ผมหมายถึงผม แต่ถ้าคุณจะทำเหมือนที่ผมทำ ผมไม่รับรองนะว่าจะไม่โดนใครดุว่าอะไร” “โอเค งั้นกลับกันเลยดีกว่า โธ่ แล้วมาหลอกให้ดีใจ” ลินดาลุกขึ้นไปจ่ายเงิน “ก็บอกแล้วว่าตำแหน่งคุณมันต้องรับโทรศัพท์” โฟล์คบ่นพึมพำระหว่างที่เดินตามมาจ่ายเงินพร้อมกัน ลินดาหันมาเห็นสีหน้ารู้สึกผิดจากโฟล์คแล้วก็ต้องรีบอธิบาย “เฮ้ย ฉันไม่ได้ว่าอะไร แค่เข้าใจผิดไปเองน่ะ” “อื้อ” โฟล์คตอบเธอด้วยการส่งเสียงออกมาสั้นๆ ลินดาคิดอยู่ในใจว่าโฟล์คดูเป็นคนจ
“หวัดดีครับ เป็นไงบ้าง น้องใหม่ โดนโฟล์คแกล้งรึเปล่า” เบนโผล่หน้าเข้ามาถามไถ่ทั้งคู่อย่างเป็นกันเอง โฟล์คทักทายคุณเบนกลับไปอย่างอ่อนน้อม ลินดาได้แต่พนมมือไหว้เขา “แคปฟุตที่มาเลย์อยู่ใช่ไหม” คุณเบนเดินเข้ามาในห้องโดยเปิดประตูคาไว้ เป็นสัญญาณบอกว่าเขาคงจะไม่อยู่ในห้องนี้นานนัก เขายืนดูฟุตเทจปัจจุบันจากเทปเบต้าม้วนที่กำลังเล่นอยู่โดยใช้สองฝ่ามือเท้าลงบนโต๊ะตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ลินดามองดูเขาจากด้านหลัง “ครับคุณเบน อีกไม่กี่ม้วนก็หมดแล้ว” โฟล์คตอบ “อื้ม ดีละ” คุณเบนยืดตัวขึ้นยืนตรง แล้วหันหน้ามาทางลินดา “เบลบอกรายละเอียดงานให้บ้างแล้วใช่ไหมครับ เช่นว่าบริษัทเราทำอะไร แล้วหน้าที่คุณคืออะไร” เบนถามกับลินดา “เอ่อ... บอกแล้วค่ะ” ลินดาไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ เบนก็เล่นหันมาหาเธออย่างกะทันหันในระหว่างที่เธอกำลังมองดูไรจอนผมของเขา เนื้อเสียงคุณเบนนุ่ม หวาน และน่าฟังมาก ถึงแม้โทนเสียงจะฟังดูจริงจังอยู่ในทีแต่ลินดาฟังแล้วก็ไม่รู้สึกไม่ติดขัดตรงไหนเลย “ดีครับ แล้วนั่นอ่านอะไรอยู่” “หนังสือเกี่ยวกับประเภทจอร์แดนค่ะ คุณเบลให้ทำส
ลินดานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเบลอธิบายถึงเนื้องานที่เธอต้องรับผิดชอบ ทำเอกสารอะไรน่ะไม่มีปัญหา แต่ต้องไปต่างประเทศเนี่ยสิ ไปประสานงานกองเชียวเหรอ มันฟังดูสลักสำคัญเกินไปไหมสำหรับเด็กใหม่อย่างเธอ “ได้ค่ะ” เธอตอบไปอย่างมั่นใจแม้ข้างในจะเป็นตรงกันข้าม “ไม่ทราบมีพาสปอร์ตรึยังครับ” เบลถามต่อ “ยังเลยค่ะ” “งั้นวันสองวันนี้ไปทำไว้เลยนะ” ลินดาพยักหน้า เธอเริ่มหวั่นๆ อยู่ในใจ แม้จะเชื่อมั่นว่าตัวเธอมีศักยภาพเพียงพอ แต่ดูอะไรๆ มันดำเนินไปไวเหลือเกินสำหรับวันแรกในที่ทำงาน นี่ก็ต้องไปทำพาสปอร์ตรอไว้แล้ว “ได้ค่ะ ไปในเวลางานเลยเหรอคะ” ลินดาถามเบล “ใช่ครับ ไปได้ ไม่มีปัญหา ผมเป็นคนอนุญาต” “ค่ะ” “วันนั้นตอนเห็นหน้าผม คุณดูชะงักไป มีอะไรรึเปล่า” เบลถามเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เปล่าหรอกค่ะ พอดีวันนั้นโฟล์คบอกว่าคุณเบลจะเป็นคนสัมภาษณ์ เห็นว่าชื่อเบลฉันก็นึกว่าคุณจะเป็นผู้หญิง พอเจอตัวจริงก็เลยแปลกใจนิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ ค่ะ” ลินดากางนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้อยู่ห่างกันให้น้อยที่สุดเพื่อประกอบการอธิบาย “ชื่
“จริงๆ ชั้นสองนี้เราไม่ค่อยได้ขึ้นมาใช้งานเท่าไรหรอก แต่ผมพามาดูจะได้รู้เผื่อเจ้านายให้ขึ้นมาหยิบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ บางทีเขาลืมเอกสารไว้บนโต๊ะแล้วเผอิญติดสายอยู่อะไรทำนองนั้น” โฟล์คอธิบายระหว่างที่ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาชั้นสองด้วยกัน “แล้วปกติคุณเบนกับคุณเบลเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ” ลินดาถามเมื่อเห็นว่าคราวก่อนคุณเบลมาถึงทีหลังเธอและยังต้องเอารถไปจอด ส่วนคุณเบน โฟล์คก็บอกว่าวันนี้เขายังไม่มา “ครับ พอเริ่มโต เริ่มทำงาน เขาก็ออกไปอยู่คอนโดกัน สไตล์คนหนุ่มน่ะ ต้นตระกูลคุณพ่อของเจ้านายเราเป็นมหาดเล็กเก่าในวังตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ คงมีเงินทุนเตรียมไว้ให้ลูกๆ ทำธุรกิจตอนเรียนจบ อันนี้คุณยายเคยเล่าให้ฟังตอนทานข้าวด้วยกัน แต่ผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้” ลินดาฟังเขาเล่าเรื่องราวของบ้านเจ้านายเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ โฟล์คอมยิ้มเมื่อเห็นเธอยืนฟังตาแป๋ว เขาพาเธอเดินไปดูห้องทำงานของคุณเบนซึ่งอยู่ด้านในสุด ถัดมาจึงเป็นห้องของคุณเบล “มันเคยเป็นห้องนอนเขานั่นล่ะครับ พอย้ายไปอยู่คอนโด ก็ใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงานแทน” โฟล์คเปิดประตูให้เธอได้เห็นข้าง
ฟ้ายังคงมืดสนิทแม้ใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ตามธรรมดาของฤดูหนาวที่ช่วงเวลากลางคืนจะยาวนานกว่าเวลากลางวัน พระอาทิตย์วันนี้คงจะโผล่พ้นขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ผิดกับลินดาที่ตื่นขึ้นพร้อมรับวันใหม่ตั้งแต่ตีห้าเศษๆ เพื่อจะเริ่มงานวันแรกในที่ทำงานใหม่ซึ่งเธอดีใจเหลือเกิน ลินดาเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาอะไรเบาๆ กินรองท้องก่อนออกจากบ้าน ถุงบะหมี่ที่ซื้อมาเมื่อวานซืนยังอยู่ดีไม่มีทีท่าว่าจะเน่าบูด แต่ลินดาก็เลือกที่จะทิ้งมันไป แล้วหยิบถ้วยโยเกิร์ตมาเปิดกินแทน เมื่อฟ้าข้างนอกเริ่มสว่างได้ที่ ลินดาจึงปิดไฟในห้องเมื่อเห็นว่าแสงเทียมๆ จากหลอดไฟนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เธอเดินไปที่ริมหน้าต่างพร้อมถ้วยโยเกิร์ตในมือแล้วนั่งลงที่ขอบหน้าต่าง มองลงมาที่ถนนในซอยห้องพักแล้วกินโยเกิร์ตต่อจนหมดถ้วยอย่างสบายใจ ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้ชอบที่นี่นัก มันเงียบสงบแบบไม่รู้จักเหงา ผู้คนบางตาแต่ก็มากพอให้รู้สึกถึงความเป็นชุมชน เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยเรียน รู้จักคุณเชอร์รีเจ้าของที่พักมาได้ก็หลายปีตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่ แต่ก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากไปกว่าชื่อและหน้าตาของเธอ ส่วนคุณเชอร์รีก็ไม่เคยถามอะไรซอกแซกเกี่







