Mag-log inฟ้ายังคงมืดสนิทแม้ใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ตามธรรมดาของฤดูหนาวที่ช่วงเวลากลางคืนจะยาวนานกว่าเวลากลางวัน พระอาทิตย์วันนี้คงจะโผล่พ้นขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ผิดกับลินดาที่ตื่นขึ้นพร้อมรับวันใหม่ตั้งแต่ตีห้าเศษๆ เพื่อจะเริ่มงานวันแรกในที่ทำงานใหม่ซึ่งเธอดีใจเหลือเกิน
ลินดาเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาอะไรเบาๆ กินรองท้องก่อนออกจากบ้าน ถุงบะหมี่ที่ซื้อมาเมื่อวานซืนยังอยู่ดีไม่มีทีท่าว่าจะเน่าบูด แต่ลินดาก็เลือกที่จะทิ้งมันไป แล้วหยิบถ้วยโยเกิร์ตมาเปิดกินแทน เมื่อฟ้าข้างนอกเริ่มสว่างได้ที่ ลินดาจึงปิดไฟในห้องเมื่อเห็นว่าแสงเทียมๆ จากหลอดไฟนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เธอเดินไปที่ริมหน้าต่างพร้อมถ้วยโยเกิร์ตในมือแล้วนั่งลงที่ขอบหน้าต่าง มองลงมาที่ถนนในซอยห้องพักแล้วกินโยเกิร์ตต่อจนหมดถ้วยอย่างสบายใจ ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้ชอบที่นี่นัก มันเงียบสงบแบบไม่รู้จักเหงา ผู้คนบางตาแต่ก็มากพอให้รู้สึกถึงความเป็นชุมชน เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยเรียน รู้จักคุณเชอร์รีเจ้าของที่พักมาได้ก็หลายปีตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่ แต่ก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากไปกว่าชื่อและหน้าตาของเธอ ส่วนคุณเชอร์รีก็ไม่เคยถามอะไรซอกแซกเกี่ยวกับตัวลินดาเช่นกัน บรรยากาศนอกหน้าต่างที่เธอกำลังมองดูอยู่นั้นสวยงามตามความเป็นปกติธรรมดา ได้มองดูเมื่อใดก็รู้สึกอุ่นใจในความคุ้นเคยทุกครั้ง
เธอมองนาฬิกาแล้วเตรียมตัวออกจากบ้าน หยิบสมุดบันทึกพร้อมปากกามาด้ามหนึ่งเผื่อว่ามีอะไรต้องจดต้องจำ กระเป๋าสะพายใบที่เคยหิ้วไปทำงานที่โรงพยาบาลตอนนี้ถูกขว้างไว้มุมห้องอย่างไม่ใยดี เธอไม่เคยชอบกระเป๋าคล้องไหล่หนังเทียมทรงนั้นเลย มันดูพยายามจะโก้หรูซึ่งเธอไม่ได้พิสมัย แค่มันเข้ากันได้ดีกับชุดสูทซึ่งเป็นยูนิฟอร์มที่เธอต้องสวมใส่ก็เท่านั้น วันนี้ลินดาได้สะพายเป้แบบสบายๆ อย่างที่เธอชอบใจแล้ว และยังมีกระเป๋าย่ามทำจากผ้าแบบเรียบๆ แต่แลดูน่ารักที่เธอรอจะหยิบมาใช้อยู่ในตู้อีกถึงสามสี่ใบ ชีวิตเริ่มจะเข้าที่เข้าทาง ไม่ต้องเข้ากะ ไม่ต้องใส่สูท ไม่ต้องทนให้ใครดูถูกหรือพูดจาไม่ดีใส่อีก ไม่ว่างานใหม่จะยากสักขนาดไหน เธอจะพยายามทำออกมาให้ดีที่สุดให้ได้ ลินดาบอกกับตัวเอง
จวนจะเก้าโมง ลินดาก็มาถึงที่ทำงานแล้ว ที่บ้านหลังเดิมที่เธอมาด้อมๆ มองๆ หาชื่อบริษัทว่าอยู่ตรงไหนเมื่อสองวันก่อน เธอกดกริ่งหน้ารั้วบ้าน ไม่ถึงครึ่งนาทีโฟล์คก็มาเปิดประตูให้
“สวัสดีครับ มาสัมภาษณ์งานอีกรอบเหรอ” โฟล์คถามขึ้นเมื่อเจอหน้าลินดา
“ขา ยังไงนะคะ” ลินดาสับสน เธอยังไม่ได้งานหรอกหรือ
“ผมล้อเล่นน่ะ เข้ามาก่อนครับ เดี๋ยววันนี้น่าจะได้เจอเจ้านายเรา แต่ตอนนี้เขายังไม่มา เดี๋ยวผมอาสาพาทัวร์สถานที่ให้ก่อน” ลินดาค่อยโล่งใจ โฟล์คนี่น่าตีจริงๆ
เธอถอดรองเท้าไว้หน้าบ้านข้างกันกับรองเท้าของโฟล์คเหมือนคราวก่อน แล้วโฟล์คจึงเดินนำลินดาเข้าไปในห้องที่มีจอคอมพิวเตอร์หลายๆ จอที่วันก่อนเขานั่งทำงานอยู่ด้านใน
“ตรงนี้เป็นห้องตัดนะ ใช้ตัดต่องานและลงเสียง ครีเอทีฟก็มานั่งด้วยกันได้ถ้าอยู่ข้างนอกแล้วมันเบื่อหรือเหงา หรือคิดงานไม่ออกยังไงก็มานั่งเล่นที่โซฟาได้เลย” เขาชี้ไปที่โซฟาอีกตัวที่ตั้งอยู่ในห้องตัดต่อด้วย
“ปกติทีมตัดต่อเรามีกันสองคนแต่อีกคนออกไปแล้ว เขาไปเปิดโปรดักชันเฮาส์ของเขาเอง ก็เลยเหลือแต่ผมนี่ล่ะ” ลินดามองดูไมโครโฟนที่ยื่นเข้ามาอยู่ตรงหน้าจอ
“ไว้ใช้ลงเสียงพากษ์ครับ อยากลองไหม” โฟล์คถามเมื่อเห็นลินดาสนใจ
“ไม่ล่ะค่ะ” ลินดาปฏิเสธแล้วหัวเราะเบาๆ
“เอ้อ...” ลินดาเอ่ยขึ้น
“ครับ” โฟล์ครอให้เธอพูดต่อ
“เมื่อกี้เรียกฉันว่าครีเอทีฟเหรอ”
“ใช่ครับ ทำไมล่ะ”
“เมื่อวานคุณเบลโทรมาบอกว่าจะให้ฉันทำตำแหน่งประสานงานฝ่ายต่างประเทศ ตกลงยังไงแน่คะเนี่ย”
“อ๋อ อันนี้ผมเรียกตามความรู้สึกน่ะ คุณเบลก็คงเรียกตำแหน่งคุณตามความรู้สึกเหมือนกัน” ลินดายิ่งงงเข้าไปใหญ่
“เดี๋ยวนะ ที่นี่เรียกตำแหน่งงานกันตามความรู้สึกเหรอ” ลินดาถามโฟล์ค โฟล์คเกาศีรษะเบาๆ
“ไม่รู้สิ แต่ผมว่าตำแหน่งคุณมันเหมือนครีเอทีฟมากกว่านะ ต้องคิดงาน วางแผน แต่ภาษาคุณดี คุณก็ต้องทำพวกงานภาษาด้วย คุณเบลคงมองตรงนั้นมากกว่า เดี๋ยววันนี้ต้องคุยรายละเอียดงานกันอยู่แล้ว แล้วคุณจะเรียกตัวเองว่าอะไรก็เลือกเอา”
คุณพระ ลินดาอุทานอยู่ในใจ จะไหวไหมคะกับที่นี่ ทำไมอะไรๆ มันดูไม่เป็นระบบเอาเสียเลย
“อย่าเพิ่งกลัวไป ลองทำดูก่อน พวกพี่ๆ เขาใจดี ผมชอบนะ ได้ทำงานสายนี้ บันเทิงดีออก แต่ผมจะอยู่ออฟฟิศส่วนใหญ่ ส่วนคุณน่าจะต้องเดินทางไปด้วยเวลาออกทริปไปถ่ายงาน อันนี้ผมดูจากคนเก่าที่เขาทำๆ กันมา”
“คนก่อนที่ทำๆ กันมา ก่อนนี้มีคนทำตำแหน่งฉันหลายคนแล้วเหรอคะ”
“ถ้าตั้งแต่ผมมาอยู่ก็สองคน รวมคุณด้วยก็เป็นสามคน” โฟล์คตอบเธออย่างไม่มีอะไรปิดบัง
“พอรู้ไหมว่าทำไมเขาออกน่ะ”
“ไว้ว่างๆ ค่อยเล่าให้ฟังดีกว่า มาดูก่อนว่าห้องน้ำไปทางไหน เผื่อปวดฉี่จะขึ้นมาจะมานั่งพับเพียบแถวนี้ไม่ได้นะ ผมไม่อนุญาต” โฟล์คทำหน้ายิ้มร่าใส่ลินดา
“บ้าเหรอ” ลินดาสบถออกมาราวกับโฟล์คเป็นเพื่อนสนิทที่คุ้นเคยกัน เธอเดินตามโฟล์คอ้อมข้างตัวบ้านไปทางด้านหลัง มีห้องน้ำสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ถัดจากครัว อีกห้องอยู่ในตัวบ้านอีกโซนหนึ่ง
“ใช้ห้องไหนก็ได้ ไม่ได้แยกชายหญิงหรอก แต่เผื่อใครปวดห้องน้ำพร้อมกันจะได้ไม่ต้องเคาะ เดี๋ยวคนในห้องน้ำที่ทำอะไรอยู่จะติดขัด เดี๋ยวจะหดเสียหมด” ลินดาขำอยู่ในลำคอ ได้ทำงานที่นี่เธอไม่เหงาแน่ๆ แล้ว โฟล์คนิสัยน่ารักมาก
“มีชั้นเดียวเหรอออฟฟิศเรา” ลินดาถามต่อ
“มีชั้นสองด้วย แต่ชั้นสองจะเป็นของคุณเบล กับคุณเบน คุณเบลก็คือคนที่คุณเจอวันก่อนตอนสัมภาษณ์งาน ส่วนคุณเบนเป็นเจ้าของบริษัท คนนี้ล่ะเจ้านายเรา แต่คุณเบลผมก็ถือว่าเป็นหัวหน้าคนหนึ่งนะ เขาเป็นคล้ายๆ ผู้จัดการน่ะ วันก่อนที่คุณถามว่าใช่ฝ่ายบุคคลไหม ผมถึงได้ตอบไม่ถูกไง บอกแล้วที่นี่เรียกตำแหน่งกันตามความรู้สึก”
“แล้วอย่างนี้เวลาทำเอกสารส่งข้างนอก เวลาต้องแจ้งว่าใครทำตำแหน่งอะไร จะระบุยังไงล่ะ” ลินดาถามต่อเผื่อว่าเธอต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องเอกสารภาษาอังกฤษด้วย
“ก็นั่นล่ะ อย่างที่บอก เอาตามความรู้สึก มันไม่ร้ายแรงอะไรหรอก ไม่ต้องกังวล ทำไมถึงถามล่ะครับ”
“ก็เผื่อว่าฉันต้องเป็นคนทำเอกสารด้วยไง”
“ถูกต้อง คุณต้องทำเอกสารด้วย แต่เรามีฟอร์แมทเดิมไว้ให้อ้างอิงนะ สบายๆ ผมได้ยินคุณเบลเขาชมคุณด้วยล่ะ” โฟล์คทิ้งท้ายให้เธออยากรู้ต่อ
“จริงเหรอ เขาชมว่าไงบ้าง” ลินดาตาเป็นประกาย
“เขาบอกว่าคุณโปรไฟล์ดี ภาษาก็ดี คุณคงมีผลสอบมาอวดเขาสินะ”
“ใช่ค่ะ ฉันก็มีอยู่แค่นั้นล่ะ เพิ่งทำงานมาแค่ที่เดียวเอง ที่นี่เป็นที่ที่สอง”
“อยู่ที่เก่ามากี่ปีแล้วล่ะ” โฟล์คถามต่อ
“สามเดือน”
“สามเดือน!” โฟล์คถามย้ำกับเธอเสียงดัง
“ใช่แล้ว ฟังไม่ผิด”
“ที่เก่ามันคงแย่มากสินะ อยู่ได้แค่สามเดือนก็หางานใหม่แล้วเนี่ย”
“ใช่เลย ไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟังนะ แลกกันกับเรื่องคนเก่าที่ออกไปในตำแหน่งฉัน” ลินดาย้อนเขา
โฟล์คกำลังจะถามต่อ แต่ทั้งคู่ก็ต้องหันกลับไปมองตามเสียงที่ดังแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาที่กำลังได้รสชาติ
“มายืนคุยอะไรหน้าห้องน้ำจ๊ะเด็กๆ” เสียงผู้หญิงแก่ๆ คนหนึ่งถามขึ้น ลินดาหันไปมองดู เธอยืนถือมีดห่างออกไปจากทั้งคู่ราวสี่เมตร
“สวัสดีครับ ผมแนะนำสถานที่ให้น้องใหม่อยู่ครับ เดินมาถึงตรงนี้พอดี” โฟล์คยกมือไหว้เธอ ลินดาทำตาม
“นี่คุณแม่ของคุณเบนกับคุณเบลครับ”
“หวัดดีจ้ะ” เธอกล่าวทักทายลินดาก่อน
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อลินดา เพิ่งมาทำงานวันแรกค่ะ”
“จ้ะ ตามสบายนะ ฉันไปทำกับข้าวก่อนละ จะต้มจับฉ่าย ทำไว้ตั้งแต่ตอนนี้ เดี๋ยวเย็นๆ จะได้กินกันอร่อยๆ” เธอหันหลังกลับไปที่หน้าเขียงในครัวซึ่งทั้งคู่เพิ่งเดินผ่านมา เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่มีใครเข้ามาทำอะไรในครัว
“พวกเราเรียกเธอว่าคุณยายครับ เธอไม่ค่อยชอบหรอก เธอบอกเรียกคุณป้าก็พอ แต่ผมเรียกไปแล้วก็เลยตามเลย เธอก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ บางทีเราก็อยู่กินข้าวกับคุณยายถ้าต้องอยู่ตัดงานจนมืด คุณยายเขาใจดี” ลินดาพยักหน้าแล้วเดินตามโฟล์คที่กำลังเลี้ยวขึ้นบันไดไปชั้นสอง
ราวห้านาทีต่อมาลินดาจึงรู้สึกได้ว่าคุณเบนกำลังลุกขึ้น แม้แต่ชายเสื้อของเขาก็ยังอยู่ในความสนใจของเธอตอนนี้ หน้าตาของเบนก็ละม้ายคล้ายกับเบลอยู่มาก วันก่อนตอนสัมภาษณ์งานกับเบล เธอยังจับจ้องทุกอย่างของเบลได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรู้ตัว ลินดายังจำได้ว่าเธอสังเกตเห็นนิ้วมือของเบลที่เรียวยาวสวย ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเบนด้วยความเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่มันมีอะไรสักอย่างในตัวเบนที่ต่างออกไป ใจเธอจึงได้เต้นแรงอย่างนี้เมื่อได้อยู่ใกล้เขา แม้แต่เสียงลมหายใจของเขาก็ยังทำให้เธอว้าวุ่น ตอนนี้เบนลุกออกจากห้องไปแล้ว แล้วเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้ล่ะ เขายังนั่งทำอะไรต่อหลังจากคุยกับเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลินดาไม่กล้าหันกลับไปมองในระหว่างนั้นเพราะกลัวว่าจะต้องสบตากัน เธอกลัวว่าเจ้านายจะรู้ว่าใจเธอคิดอะไรอยู่ ห้านาทีก่อนหน้านี้ที่เธอกลับมาดูรายละเอียดในหนังสือเล่มเดิมนั้น มันยังไม่มีอะไรผ่านหัวสมองของเธอเลย นอกจากเสียงของคุณเบนเวลาที่เขาขยับตัวอยู่บนโซฟาแม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ลินดากลับมาตั้งสติและมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้อีกครั้ง เธอนำเอารายละเอียดที่โน้ตไว้ในสมุดมาเริ่มเรียบเร
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ลินดาใช้ช้อนตักน้ำซุปที่เหลือในชามซดเข้าปากจดหมด โฟล์คยิ้มกว้างเมื่อเห็นลินดากินก๋วยเตี๋ยวร้านที่เขาแนะนำอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่เหลืออะไรเลยนอกจากตะเกียบและช้อนในชาม “บอกแล้ว อร่อยเด็ด” โฟล์คพูดพลางดูดน้ำจากแก้วที่จวนจะเหลือแต่น้ำแข็งแล้ว “เด็ดจริง ฉันยอมเลย” ลินดาดูนาฬิกาที่ข้อมือ “กลับเลยไหม ไว้ว่างๆ หลังเลิกงาน คุณค่อยมาเซอร์เวย์ดูของกินอย่างอื่น นี่วันแรก อย่าให้เลยเวลาพักเที่ยงเลย” “ก็ไหนคุณบอกว่าไม่ซีเรียสเรื่องเวลาเพราะเป็นโฮมออฟฟิศไง” ลินดาท้วง “ผมหมายถึงผม แต่ถ้าคุณจะทำเหมือนที่ผมทำ ผมไม่รับรองนะว่าจะไม่โดนใครดุว่าอะไร” “โอเค งั้นกลับกันเลยดีกว่า โธ่ แล้วมาหลอกให้ดีใจ” ลินดาลุกขึ้นไปจ่ายเงิน “ก็บอกแล้วว่าตำแหน่งคุณมันต้องรับโทรศัพท์” โฟล์คบ่นพึมพำระหว่างที่เดินตามมาจ่ายเงินพร้อมกัน ลินดาหันมาเห็นสีหน้ารู้สึกผิดจากโฟล์คแล้วก็ต้องรีบอธิบาย “เฮ้ย ฉันไม่ได้ว่าอะไร แค่เข้าใจผิดไปเองน่ะ” “อื้อ” โฟล์คตอบเธอด้วยการส่งเสียงออกมาสั้นๆ ลินดาคิดอยู่ในใจว่าโฟล์คดูเป็นคนจ
“หวัดดีครับ เป็นไงบ้าง น้องใหม่ โดนโฟล์คแกล้งรึเปล่า” เบนโผล่หน้าเข้ามาถามไถ่ทั้งคู่อย่างเป็นกันเอง โฟล์คทักทายคุณเบนกลับไปอย่างอ่อนน้อม ลินดาได้แต่พนมมือไหว้เขา “แคปฟุตที่มาเลย์อยู่ใช่ไหม” คุณเบนเดินเข้ามาในห้องโดยเปิดประตูคาไว้ เป็นสัญญาณบอกว่าเขาคงจะไม่อยู่ในห้องนี้นานนัก เขายืนดูฟุตเทจปัจจุบันจากเทปเบต้าม้วนที่กำลังเล่นอยู่โดยใช้สองฝ่ามือเท้าลงบนโต๊ะตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ลินดามองดูเขาจากด้านหลัง “ครับคุณเบน อีกไม่กี่ม้วนก็หมดแล้ว” โฟล์คตอบ “อื้ม ดีละ” คุณเบนยืดตัวขึ้นยืนตรง แล้วหันหน้ามาทางลินดา “เบลบอกรายละเอียดงานให้บ้างแล้วใช่ไหมครับ เช่นว่าบริษัทเราทำอะไร แล้วหน้าที่คุณคืออะไร” เบนถามกับลินดา “เอ่อ... บอกแล้วค่ะ” ลินดาไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ เบนก็เล่นหันมาหาเธออย่างกะทันหันในระหว่างที่เธอกำลังมองดูไรจอนผมของเขา เนื้อเสียงคุณเบนนุ่ม หวาน และน่าฟังมาก ถึงแม้โทนเสียงจะฟังดูจริงจังอยู่ในทีแต่ลินดาฟังแล้วก็ไม่รู้สึกไม่ติดขัดตรงไหนเลย “ดีครับ แล้วนั่นอ่านอะไรอยู่” “หนังสือเกี่ยวกับประเภทจอร์แดนค่ะ คุณเบลให้ทำส
ลินดานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเบลอธิบายถึงเนื้องานที่เธอต้องรับผิดชอบ ทำเอกสารอะไรน่ะไม่มีปัญหา แต่ต้องไปต่างประเทศเนี่ยสิ ไปประสานงานกองเชียวเหรอ มันฟังดูสลักสำคัญเกินไปไหมสำหรับเด็กใหม่อย่างเธอ “ได้ค่ะ” เธอตอบไปอย่างมั่นใจแม้ข้างในจะเป็นตรงกันข้าม “ไม่ทราบมีพาสปอร์ตรึยังครับ” เบลถามต่อ “ยังเลยค่ะ” “งั้นวันสองวันนี้ไปทำไว้เลยนะ” ลินดาพยักหน้า เธอเริ่มหวั่นๆ อยู่ในใจ แม้จะเชื่อมั่นว่าตัวเธอมีศักยภาพเพียงพอ แต่ดูอะไรๆ มันดำเนินไปไวเหลือเกินสำหรับวันแรกในที่ทำงาน นี่ก็ต้องไปทำพาสปอร์ตรอไว้แล้ว “ได้ค่ะ ไปในเวลางานเลยเหรอคะ” ลินดาถามเบล “ใช่ครับ ไปได้ ไม่มีปัญหา ผมเป็นคนอนุญาต” “ค่ะ” “วันนั้นตอนเห็นหน้าผม คุณดูชะงักไป มีอะไรรึเปล่า” เบลถามเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เปล่าหรอกค่ะ พอดีวันนั้นโฟล์คบอกว่าคุณเบลจะเป็นคนสัมภาษณ์ เห็นว่าชื่อเบลฉันก็นึกว่าคุณจะเป็นผู้หญิง พอเจอตัวจริงก็เลยแปลกใจนิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ ค่ะ” ลินดากางนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้อยู่ห่างกันให้น้อยที่สุดเพื่อประกอบการอธิบาย “ชื่
“จริงๆ ชั้นสองนี้เราไม่ค่อยได้ขึ้นมาใช้งานเท่าไรหรอก แต่ผมพามาดูจะได้รู้เผื่อเจ้านายให้ขึ้นมาหยิบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ บางทีเขาลืมเอกสารไว้บนโต๊ะแล้วเผอิญติดสายอยู่อะไรทำนองนั้น” โฟล์คอธิบายระหว่างที่ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาชั้นสองด้วยกัน “แล้วปกติคุณเบนกับคุณเบลเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ” ลินดาถามเมื่อเห็นว่าคราวก่อนคุณเบลมาถึงทีหลังเธอและยังต้องเอารถไปจอด ส่วนคุณเบน โฟล์คก็บอกว่าวันนี้เขายังไม่มา “ครับ พอเริ่มโต เริ่มทำงาน เขาก็ออกไปอยู่คอนโดกัน สไตล์คนหนุ่มน่ะ ต้นตระกูลคุณพ่อของเจ้านายเราเป็นมหาดเล็กเก่าในวังตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ คงมีเงินทุนเตรียมไว้ให้ลูกๆ ทำธุรกิจตอนเรียนจบ อันนี้คุณยายเคยเล่าให้ฟังตอนทานข้าวด้วยกัน แต่ผมก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้” ลินดาฟังเขาเล่าเรื่องราวของบ้านเจ้านายเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ โฟล์คอมยิ้มเมื่อเห็นเธอยืนฟังตาแป๋ว เขาพาเธอเดินไปดูห้องทำงานของคุณเบนซึ่งอยู่ด้านในสุด ถัดมาจึงเป็นห้องของคุณเบล “มันเคยเป็นห้องนอนเขานั่นล่ะครับ พอย้ายไปอยู่คอนโด ก็ใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงานแทน” โฟล์คเปิดประตูให้เธอได้เห็นข้าง
ฟ้ายังคงมืดสนิทแม้ใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ตามธรรมดาของฤดูหนาวที่ช่วงเวลากลางคืนจะยาวนานกว่าเวลากลางวัน พระอาทิตย์วันนี้คงจะโผล่พ้นขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ผิดกับลินดาที่ตื่นขึ้นพร้อมรับวันใหม่ตั้งแต่ตีห้าเศษๆ เพื่อจะเริ่มงานวันแรกในที่ทำงานใหม่ซึ่งเธอดีใจเหลือเกิน ลินดาเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาอะไรเบาๆ กินรองท้องก่อนออกจากบ้าน ถุงบะหมี่ที่ซื้อมาเมื่อวานซืนยังอยู่ดีไม่มีทีท่าว่าจะเน่าบูด แต่ลินดาก็เลือกที่จะทิ้งมันไป แล้วหยิบถ้วยโยเกิร์ตมาเปิดกินแทน เมื่อฟ้าข้างนอกเริ่มสว่างได้ที่ ลินดาจึงปิดไฟในห้องเมื่อเห็นว่าแสงเทียมๆ จากหลอดไฟนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เธอเดินไปที่ริมหน้าต่างพร้อมถ้วยโยเกิร์ตในมือแล้วนั่งลงที่ขอบหน้าต่าง มองลงมาที่ถนนในซอยห้องพักแล้วกินโยเกิร์ตต่อจนหมดถ้วยอย่างสบายใจ ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้ชอบที่นี่นัก มันเงียบสงบแบบไม่รู้จักเหงา ผู้คนบางตาแต่ก็มากพอให้รู้สึกถึงความเป็นชุมชน เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยเรียน รู้จักคุณเชอร์รีเจ้าของที่พักมาได้ก็หลายปีตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่ แต่ก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากไปกว่าชื่อและหน้าตาของเธอ ส่วนคุณเชอร์รีก็ไม่เคยถามอะไรซอกแซกเกี่







