“กูอยากจะทุบมือถือแม่งให้พัง เสียงดังน่ารำคาญ...ที่เดิมของเรา แหวะ”
ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี มันน้อยใจอย่างบอกไม่ถูกทั้งผมไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในตัวเคมีสักนิด จนมาถึงข้อความสุดท้ายที่มีคำว่า ที่เดิมของเรา ยิ่งสะกิดต่อความน้อยใจของผมหนักกว่าเดิม จนทนไม่ได้เลยบอกลาแบบห้วน ๆ แล้วเดินออกจากห้องหนีมา ไม่กล้าจะหันกลับไปมองซึ่งหน้าเพราะกลัวว่าความรู้สึกที่กำลังเป็นจะพานหัวร้อน จนเผลอเสียงดังใส่เจ้าของมือถือ เลยต้องข่มอารมณ์น้อยใจเดินจากมา
“รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ปะวะ น้อยใจฉิบหายเลยว่ะ หงุดหงิดรมณ์เสียโว้ย!”
ปัง!
“โอ๊ย ไอ้ประตูใจร้าย ขนาดมึงจะทำกูเจ็บได้เนอะ”
ความน้อยใจปนหงุดหงิดทำให้ผมเตะประตูห้องใครก็ไม่รู้จนเสียงดัง เจ็บตีนฉิบหายเลยครับจนร้องโอดโอย ยกเท้าขึ้นมาลูบ ๆ ถูก ๆ ให้มันบรรเทาความเจ็บลง
(ตัวเห้ที่ไหนมาก่อกวนวะ! คนจะหลับจะนอน)
“เวรแล้วไงกู เห้พ่องเด้หล่อขนาดนี้”
เสียงตะโกนจากด้านในทำให้ผมต้องรีบเผ่น แต่ปากก็ยังไม่วายอ้อนตีน ตะโกนด่าตอบ ถามว่ากลัวไหมก็กลัวครับ กลัวมันมีพวกมากกว่าผม มันติดเป็นสันดานไปแล้วล่ะครับ ขาก็รีบวิ่งกลัวว่าเจ้าของห้องจะออกมาเจอ แต่รอดครับผมใส่เกียร์หมาวิ่งอย่างไว ตามให้ตายก็ไม่มีทางทัน
“เสียใจแล้วยังต่อมาเจ็บตีนฟรี ๆ อีก เฮ้อ ไฟฟ้านะไฟฟ้ามึงมันหน้าตาดีแต่ไม่มีใครรัก”
ผมเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางอย่างคนไร้จุดหมาย ตอนนี้ทำแค่ต้องการผ่อนคลายจากความรู้สึกที่แสนหนักอึ้ง คิดไม่ถึงเลยว่าผมจะตกอยู่ในสภาพนี้
“สติเว้ยไฟฟ้า มึงต้องตั้งสติไอ้ฟาย ไม่ใช่ว่ามึงไม่เคยเสียใจสักหน่อย มึงก็เคยโดนทิ้งมาก่อนยังผ่านมาได้เลย แค่นี้เล็กน้อยปะวะ ยังไงมึงก็ยังได้เป็นเพื่อนกับเขา...เฮ้อ ใกล้บ้าหนักแล้วกู” ผมชี้หน้าว่าตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมายาว เสียงที่ดังพร้อมการสั่นถี่ของโทรศัพท์มือถือมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะแอบมอง ผมจ้องอ่านทีละข้อความที่แสดงบนหน้าจอมือถือของเคมี ชื่อที่ผมไม่รู้จักแต่ข้อความที่เห็นทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าเธอคนนี้เป็นใคร ผู้หญิงที่เคมีรักและคงลืมไม่ลง
ๆ
เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ทำให้สติที่กำลังล่องลอยไปกับสายลม ต้องย้อนกลับคืนมา ผมล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ามองดูตรงหน้าจอ เป็นไอ้ไม้ที่โทรเข้ามาจึงกดรับสาย
📳
“โทรมาหาแป๊ะมึงเหรอ กูไม่ว่างกำลังเสียใจอยู่ไม่รู้ไง”
(ไอ้งั่งกูจะรู้ไหมเล่า แค่จะชวนมาแดกเหล้าเฉย ๆ)
“ที่ไหน?”
(ทีงี้ตอบไวเชียวมึง ตะกี้ยังแหกปากด่ากูอยู่เลย)
“กูถามว่าที่ไหน?”
(จะมา?)
“เออ”
(เป็นไรวะทำไมถึงเสียใจ ปกติมึงออกจะเฮฮาบ้า ๆ บอ ๆ เหมือนคนไม่เต็มแถมเป็นประสาท)
“กูจะกระทืบมึงไม้ รอแป๊บเดี๋ยวกูไป”
(อย่างกับรู้ว่าพวกกูอยู่ที่ไหนงั้นแหละ)
“โต๊ะสนุ๊กเฮียปอนด์”
(โคตรเทพ)
“กูมันระดับปรมาจารย์เทพอีก แล้วเจอกัน”
พูดจบผมก็วางสายทันที ดีเหมือนกันอยากจะปลดปล่อยจากความรู้สึกหงอย ๆ นี้พอดี จังหวะเดียวกันกับที่วางสายจากไอ้ไม้ แชตไลน์ของเคมีก็เด้งมาพอดี ผมอ่านผ่านหน้าจอแจ้งเตือนเท่านั้น ยังไม่อยากจะเปิดเข้าไปแล้วกระแทกความรู้สึกให้เจ็บหน่วงหัวใจ
(มีอะไรหรือเปล่า เห็นรีบออกไปไหนบอกว่าหิว)
(ใกล้ถึงบ้านหรือยัง)
นี่แหละครับข้อความที่เคมีมันส่งมา แค่เพียงสองประโยคเท่านั้นที่ผมอ่าน จากนั้นก็เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง แล้วรีบบึ่งไปหาเพื่อนที่กำลังรอผมอย่างใจจดใจจ่อ
ไม่ถึงชั่วโมงผมก็ขับรถมาถึงที่หมาย เดินเข้าไปหาเพื่อนสายตามองไปที่โต๊ะประจำที่เคยมา เจอไอ้สามตัวโบกมือให้ จึงพยักหน้าตอบรับ
“ไงมึง” ไอ้ไม้ทักทายคนแรก
“ก็ไม่ไง” ผมตอบแบบขอทีไปที ก็ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับใคร
“ไหนบอกกูว่าเสียใจ เรื่องอะไรเล่ามาซิ” ไอ้ไม้ถามต่อ ไอ้ห่านี่ขี้เสือก
“.....” ผมเงียบไม่ตอบ กระดกเหล้าลงคอให้มันบาดลึกเข้าไป เผื่อว่าจะหายเศร้า
“เงียบอีกไอ้กูก็รอฟังด้วยความตั้งใจ” ไอ้กิตเพื่อนผู้แสนจัญไรพูดขึ้น
“มึงมันขี้เสือก” ไอ้กลาสที่เงียบอยู่นาน ก็พูดขึ้นตกหน้าไอ้ไม้ไปเต็ม ๆ
“ขอบคุณสำหรับคำชม” กิตมันย้อนด้วยหน้าด้าน ๆ ของมันที่ด้านพอกับผมนี่แหละ ก็เพื่อนกันไงศีลต้องเสมอ
“เล่าดิรอฟัง เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้” กลาสมันพูดนิ่ม ๆ ไอ้นี่พูดน่าฟังสุดในกลุ่มแล้วครับ
ผมฟังที่เพื่อนพูดคุย แต่มันไม่อยากจะอ้าปากพูด ได้แต่กระดกเหล้าลงคอแก้วต่อแก้วติดกัน เอาให้มันหนำใจเผื่อว่าอะไร ๆ มันจะดีขึ้นบ้าง
“แล้วแขนไปโดนอะไรมา” กิตถามนั่นจึงทำให้สายตาของเพื่อนเพ่งมาที่แขนของผม
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ” ตอบเพื่อนก่อนจะยกแก้วเหล้าดื่มต่อ
“เพิ่งเกิด?” กลาสถามอีกรอบ
“อืม”
“งั้นก็ไม่ควรดื่มเหล้า” กลาสบอกพร้อมกับสายตาที่จ้องผม ไอ้นี่มันกำลังข่มขู่ด้วยสายตา ถามว่ากลัวไหมไม่มีทางหรอกครับ
“อย่าห่วงเลยน่าไม่เป็นอะไรหรอกแค่นี้เอง” ผมพูดปัดเพราะขี้เกียจฟังกลาสบ่น
“พูดไม่ยอมฟัง” แต่มันก็บ่นอยู่ดี บ่นด้วยท่าทางนิ่งขรึมเย็นชาตามประสามันนั่นแหละ
“กลาสมันเป็นห่วงมึงไงไฟฟ้า มึงก็ฟัง ๆ มันบ้าง” กิตมันตบบ่าผมแล้วพูด
“นั่นดิ เดี๋ยวแผลไม่หายสักที มึงไปเสียใจอะไรนักหนาอย่างกับโดนทิ้งมางั้นแหละ” ไม้ก็พูดต่อ แถมยังกระแทกใจผมอีก
ซึ่งผมก็เข้าใจแหละว่าเพื่อนห่วง แต่ตอนนี้ผมอยากคลายความเสียใจที่ไม่มีสิทธิ์นั้นให้มันหายไป ไม่อยากเป็นแบบนี้แต่นึกทีไรก็น้อยใจไม่หาย บอกตัวเองนะว่าไม่มีสิทธิ์อะไรกับเคมี นอกจากคำว่าเพื่อนเท่านั้น แต่ความรู้สึกของผมมันถลำลึกจนห้ามไม่ได้ไง ผมคิดเกินกว่าคำว่าเพื่อนไปไกลแล้ว เพียงแต่ต้องรักษาสถานะเอาไว้
“จะว่างั้นก็ใช่ จะไม่ใช่ก็ไม่ใช่” ผมตอบ
“อะไรของมึงเนี่ยไฟฟ้า” ไอ้ไม้พูดขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ช่างหัวกูเหอะ...มาดื่มเป็นเพื่อนกูนี่มา” ผมเลยพูดต่อไม่อยากให้เสียบรรยากาศไปมากกว่านี้
“กูล่ะปวดหัวกับมึงมากไอ้ไฟ” กิตมันพูดต่อ ไอ้นี่ก็คงเอือมระอาผมเกินต้าน
“อย่าว่าแต่มึงเลยขนาดกูยังปวดหัวกับตัวเองฉิบหาย” อย่าว่าแต่เพื่อนปวดหัวกับผม ขนาดตัวผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน โคตรเก่งทำให้ตัวเองปวดประสาทได้เอง นักเลงไหมล่ะครับ...เริ่มจะอึนมองไปเห็นโต๊ะสนุ๊กแยกร่างได้อีกต่างหาก
//วันถัดมา//เคมี“พี่พร้อมไหม?” ผมจับมือพี่ไฟฟ้า พร้อมกับเอ่ยถาม เมื่อเห็นพี่เขายืนกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยสีหน้าคิ้วขมวด เพราะพวกเราสองคนนั่งอยู่ในรถราวสิบห้านาที“พะ พร้อม” ตอบตะกุกตะกัก ดูน่าสงสารมากเลยครับ“ถ้าพี่ไม่ไหว วันหลังเราค่อยมาใหม่ก็ได้นะ” เห็นสีหน้าเขาแล้วผมรู้สึกเป็นห่วง“ยังไงก็มาแล้ว เป็นไงเป็นกัน” พี่ไฟฟ้าสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ถ้าพี่โอเค เราเข้าไปกันเลยไหม?”“อืม”ตกลงกันได้ผมกับพี่ไฟฟ้าจึงพากันเดินมุ่งตรงเข้าไปในบ้าน การมาครั้งนี้ผมได้ส่งข้อความบอกพ่อกับแม่ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะพาเพื่อนสนิทมาทำความรู้จัก ซึ่งแม่ก็ตอบกลับมาว่ายินดี และตามด้วยข้อความของพ่อ บอกจะรออยู่ที่บ้าน ซึ่งดูท่านก็ตอบปกติ ไม่ได้ถามต่อให้มากความ“แม่ครับ พ่อครับ ผมมาแล้ว” ผมพูดเมื่อเดินมาในบ้าน ตรงโซนรับแขก“สวัสดีครับ” พี่ไฟฟ้ายกมือไหว้พ่อกับแม่ของผม และฉีกยิ้มอ่อนเบา ๆ“มากันแล้วเหรอ เดี๋ยวแม่เอาน้ำมาให้ คุยเล่นกับพ่อไปก่อนนะ” แม่เงยหน้าจากจอทีวีแล้วทักทายพวกผมด้วยรอยยิ้ม แม่ของผมเป็นคนใจดีครับ“นั่งสิ” เป็นเสียงพ่อที่บอกกล่าว แล้วพวกเราก็นั่งลงเก้าอี้ข้างกัน“ขอ
เหมือนลมหายใจเดียวกันเคมี“คืนนี้พี่จะค้างที่นี่ใช่ไหม?” ผมถามพร้อมด้วยน้ำเสียงเว้าวอน หลังจากรถยนต์จอดสนิท“ก็ว่าจะไม่...”“พี่ไฟฟ้า” ผมเรียกเสียงอ่อนเหมือนอ้อนวอนตัดบท“แต่ทำงานเหนื่อยขี้เกียจขับรถกลับ” ประโยคตอบรับทำให้ผมฉีกยิ้มทันที“งั้นรีบขึ้นไปกันเถอะ พี่จะได้อาบน้ำแล้วพักผ่อน”“อืม”จากนั้นผมและพี่ไฟฟ้าก็ขึ้นมายังหอพัก เขาวางสีหน้าบึ้งตลอดตั้งแต่เดินทางมา แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมากมาย เพราะกลัวว่าพี่เขาจะเปลี่ยนใจ เห็นโหด ๆ แต่บางทีก็อ่อนไหวง่ายเหลือเกินผมเข้าใจในความโกรธที่พี่ไฟฟ้าเป็นดี หลังจากที่พี่ไฟฟ้าหนีออกมาในวันนั้น ก็นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์อยู่หลายหน จนผมตระหนักได้ และรู้นิสัยของพี่ไฟฟ้าว่าเป็นคนยังไง เขาเป็นคนคิดมากและขี้หวง แม้นิสัยที่แสดงออกมานั้นจะห่าม แต่ลึกแล้วเขามีใจเปราะบางแต่แสร้งเข้มแข็ง ผมไม่น่าจะใส่อารมณ์กับพี่ไฟฟ้าไปแบบนั้น ทั้งที่รู้นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างดี ผมรู้สึกผิดและเสียใจมาก เมื่อย้อนคิดในเรื่องราวเหตุการณ์ใต้ตึกคณะในวันนั้นผมไม่ได้คิดอะไรกับรุ่นพี่ แต่ใจผมรู้ดีว่ารุ่นพี่คิดยังไงกับผม ซึ่งเป็นอย่างที่พี่ไฟฟ้าคาดเดา เขาชอบผม แต่ผมปฏิเสธไปแล้ว การที่รุ่
วันต่อมาผมเข้าบริษัทตามปกติ เพราะวันนี้มีนัดประชุมเรื่องโครงการใหม่ หลังจากที่เมื่อเช้าไปเยี่ยมไอ้กลาส ตอนนี้กลาสรู้สึกตัวแล้ว และมีน้องเพชรพลอยคอยดูแลไม่ห่าง ผมยืนสังเกตท่าทีของกลาสและน้องเพชรพลอยอยู่ด้านนอกผ่านช่องกระจกเล็ก ๆ เลยไม่อยากเข้าไปขัด ทำให้เสียบรรยากาศ กลาสมันดูปฏิบัติกับน้องเพชรพลอยแตกต่างจากแต่ก่อน เห็นแล้วทำให้ผมยิ้มตามและรู้สึกยินดี บางทีการที่บอกว่ากลบข่าวเรื่องเกย์ อาจจะทำให้ทั้งสองคนมีการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างไม่รู้ตัวก็ได้“ทำไมพี่ไม่อ่านข้อความหรือรับสายผมบ้าง” ระหว่างที่ผมจอดรถสนิทและกำลังจะปิดประตู เสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น จึงทำให้ผมนิ่งและหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบ“ไม่ค่อยว่าง พอดีช่วงนี้มีโครงการใหม่เลยยุ่ง ๆ” ผมตอบแล้วเดินเลี่ยงออกมาจะเข้าไปในตึกสำนักงาน“พี่หลบหน้าผม”“เปล่า...แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนหรือไง?”“คุยกันก่อนพี่ไฟฟ้า” เคมีมันคว้าแขนของผมไว้ ทำให้ผมหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง น้องมันเลยขยับมายืนตรงหน้าของผม“วันนี้กูมีประชุม”“พี่โกรธผมใช่ไหม?”“ไม่ได้โกรธ...จะให้โกรธเรื่องอะไรล่ะ”“ก็เรื่องเมื่อสามวันก่อนที่เราทะเลาะกัน”“กูผิดก็ขอโทษ
ผมขับรถออกมาอย่างคนไร้จุดหมาย ตอนนี้หัวสมองมันเริ่มจะประมวลภาพพวกนั้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ผมอยากจะเชื่อคำพูดของเคมี แต่อดที่จะคิดไม่ได้...เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากความคิดเรื่อยเปื่อย“อืม...ว่าไงไม้?”“อยู่ไหนวะไฟฟ้า”“ขับรถอยู่”“มึงเห็นข่าวไอ้กลาสหรือยัง?...ด่วน ๆ เลยตอนนี้”เมื่อไม้บอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วร้อนรน ผมเลยรีบจอดรถข้างถนนทันที แล้วเปิดดูหน้าข่าวตามลิงก์ที่ไม้มันส่งมาให้ในแชต“เกิดอะไรขึ้นกับไอ้กลาสกันแน่”“กูก็ไม่รู้ ตอนนี้ไอ้กิตอยู่กับไอ้กลาส ติดต่อไปก็ไม่มีใครรับสาย”“กูจะไปโรงพยาบาลตอนนี้แหละ”“อืม ๆ เดี๋ยวกูจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”“เจอกัน”“อืม”ทันทีที่ผมเห็นข่าวก็ตกใจจนมือสั่น เพียงแค่เห็นภาพของไอ้กลาสที่โชกเลือด แม้ภาพข่าวจะมีการเซ็นเซอร์เอาไว้ ผมก็รู้ว่านั่นคือกลาสเพื่อนสนิทของกลุ่มผม พวกเราเพิ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งรับไม่ทัน ห่วงว่ากลาสจะเป็นอันตราย แม้ผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่กลาสเจอ ว่าต้นตอเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ผมรู้ว่ากลาสไม่มีศัตรูที่ไหนเลย นอกจากวงการธุรกิจของครอบครัวมัน//โรงพยาบาล//ผมมาถึงในเวล
(ไฟฟ้า)“เบื่อว่ะ”“เบื่อไรของมึงอีกครับพี่ไฟฟ้า”“บางครั้งกูก็รักอิสระ แต่กูก็อยากมีโมเม้นมีแฟน แต่กูก็ยังรักอิสระ แต่กูก็อยากมีแฟน แต่บางครั้งกูก็อยากอยู่คนเดียว แต่กูก็อยากมีแฟนอะ”“แต่ตอนนี้กูอยากถีบมึงมากครับพี่ เพราะกูรำคาญมึง และกูก็อยากอยู่คนเดียว”“โอ๊ย!...ใจร้าย หยอกเล่นหรอก ก็มึงไม่สนใจกูเลยไง เอาแต่สนใจหนังนี่หว่า”ผมพูดขึ้นระหว่างที่เราสองคนกำลังนั่งดูหนังด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ อาการไหนก็ไม่รู้ครับ แต่ผมอยากจะกวนตีนไอ้ดื้อที่มันไม่สนใจผมสักนิด เอาแต่นั่งดูหนังอย่างใจจดจ่อ เลยอยากจะเรียกร้องความสนใจ แต่เหมือนน้องมันจะไม่ค่อยแคร์แถมยกเท้าถีบผมจนตกโซฟาก้นกระแทกพื้นอีก“สมน้ำหน้า”“มึงจำไว้เลยเคมี อย่าให้ถึงทีกูนะ ถีบมาได้ไอ้บ้านี่”“กวนอยู่ได้คนกำลังดูหนังสนุก ๆ กลับบ้านไปเลยไป”“ไม่กลับ...กูไม่กลับ”“ลูกดี ๆ ที่ไหนปล่อยให้พ่อแม่อยู่บ้านลำพังวันสุดสัปดาห์”“ลูกดี ๆ แบบกูนี่แหละ”“ทำตัวเหมือนไม่มีที่นอนเป็นของตัวเอง”“ทุกที่คือที่นอนของกูไงครับ”“ต่อปากต่อคำเก่งเหลือเกิน”“ต่อปาก...มึงกล้าปะทะกับกูปะล่ะ”“วุ้ย! วนมาเรื่องลามกอีกละ”กวนกันไปกันมาด้วยความมีไหวพริบแบบผม เลยท
“พี่ใจเย็นก่อนสิครับ”“เห็นหน้ามึงแล้วกูอดใจไม่ไหวเคมี”เพียงผมเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก ก็ถูกลุกล้ำด้วยการไล่จูบ ถูกพี่ไฟฟ้าดันแผ่นหลังแนบชิดกับผนังห้อง สองมือของเขาถอดเสื้อของผมอย่างคนรีบร้อน ตอนนี้ทุกอย่างล่อแหลมแม้เราสองคนจะยังไม่ถึงเตียงนอน เขาปลุกปั่นอารมณ์ของผมจนยากที่จะหักห้าม“พี่ครับ”“กูต้องการมึงเคมี รักมึงมากนะ”เขาบอกรักผมทั้งที่ยังดอมดมตามซอกคอ นั่นยิ่งสร้างความปั่นป่วนภายในร่างกายของผมให้ร้อนรุ่ม“เรายังไม่ได้ทำความสะอาด”“ช่างแม่ง แข็งจนจะระเบิดแล้ว”“อื้ม พี่ครับ”ผมดันอกของพี่ไฟฟ้าไว้ แล้วเตือนในเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับก่อนทำกิจกรรมบนเตียง แต่พี่ไฟฟ้าไม่ได้สนใจสักนิด เขายังเล้าโลมตามร่างกายของผมไม่หยุดหย่อน เขาบดจูบปากของผมด้วยความช่ำชอง จูบอย่างดูดวิญญาณผมก้าวขาเดินตามแรงของพี่ไฟฟ้าอย่างไม่รู้ทิศทางด้วยความเคลิบเคลิ้มจากรสจูบที่พี่เขาปรนเปรอ รู้สึกวาบหวามจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวตอนนี้เสื้อผ้าของเราสองคนหลุดออกจากตัวด้วยความรวดเร็ว จนเผยให้เห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของกันและกัน ผมเริ่มทัดทานแรงเร้าของพี่ไฟฟ้าไม่ไหว ดันเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ ตัวตนที่ขึงขังชี้หน้าผมอย่