“…เฮียช่วยเล่นเพลง A Thousand Years ให้หน่อยได้มั้ยคะ” ฉันเอ่ยขึ้นแผ่วๆโดยไม่ได้ตอบคำถามของเขา และเฮียคิเลียนก็เพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเริ่มดีดกีตาร์บรรเลงเพลงที่ฉันขอ ตลอดเวลานั้น สายตาของเราสองคนก็ยังคงประสานกันอยู่ ไม่ละแม้แต่วินาทีเดียว เสมือนว่าต่างคนต่างอยากจดจำทุกภาพ ทุกความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกันเอาไว้ให้ชัดเจนที่สุด “Darling, don’t be afraid I have loved you…” (ที่รัก ไม่ต้องกลัว ฉันน่ะรักเธอ) “For a thousand years…” (มาเป็นพันปีแล้ว) “I’ll love you for a thousand more…” (และฉันจะรักเธอไปอีกพันกว่าปีเลย) เสียงเพลงยังคงไหลเวียน พร้อมหัวใจของเราสองคนที่เหมือนจะเชื่อมถึงกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆเป็นสิ่งประสาน ฉันร้องเพลงคลอตามท่วงทำนองของดนตรีอย่างแผ่วเบา จนกระทั่งเสียงดีดกีตาร์สุดท้ายของเขาจางหายไปในความเงียบ “นัญก็รักเฮียนะคะ… แล้วก็อยากขอร้องเฮียเหมือนกัน ขอร้องให้เฮียรักตัวเองให้มากๆ ในทุกๆวัน…” เสียงของฉันเอ่ยออกมาแผ่วเบา พร้อมแววตาที่เว้าวอนอย่างจริงใจ ขอเพียงแค่เขาดูแลและรักตัวเองให้มากขึ้นในทุกๆวัน ไม่ว่าในท้ายที่สุด เราจะยังคงได้ยืนเคียงข้างกันอยู
“เอามือมาค่ะ” ฉันแบมือข้างหนึ่งออกไป แล้วเขาก็ยื่นมือมาให้ทันที พูดตรงๆตอนนี้เฮียคิลเหมือนลูกหมาเลยล่ะ ฉันเองก็เพิ่งเคยเห็นมุมแบบนี้ของเขาเป็นครั้งแรกในชีวิตเหมือนกัน ฉันละสายตาจากเขา แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำแผลให้เบามือที่สุด ท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงสายตาเฮียคิล ที่จ้องฉันไม่วางตาแม้แต่วินาทีเดียว จ้องจนฉันสัมผัสได้ แม้จะก้มหน้าก้มตาอยู่ก็ตาม หมับ! พอทำแผลเสร็จ ฉันก็ทำท่าจะลุกกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง มือหนาของเขากลับรีบคว้าเอวบางฉันไว้แน่น แล้วดึงให้นั่งลงที่เดิม แถมเขายังขยับเก้าอี้ของตัวเองเข้ามาแนบชิดจนเกือบจะสิงร่างฉันได้อยู่แล้ว แล้วกระชับกอดเอวฉันไว้แน่นขึ้น ไม่ยอมปล่อยให้ฉันได้ขยับไปไหน “เฮียปล่อย นัญอึดอัด” ฉันบอกเสียงแข็ง พอพูดแบบนั้นเขาก็ยอมคลายกอดลงนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่ปล่อยมือลงอยู่ดี พอฉันชำเลืองมองหน้าเขา สายตาเขาเหมือนจะแอบน้อยใจ สีหน้าเศร้าสร้อยจนฉันแทบจะสำนึกผิดไม่ทัน จากคุณชายอารมณ์ร้อน กลายเป็นคุณชายที่มีหัวใจอ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน… “มาครับ เฮียป้อน” “นัญกินเองได้ค่ะ” ฉันทำท่าจะตักข้าวในชามกินเอง แล้วเมินเฮียที่ตอนนี้กำลังตักกับข้าวขึ้นมาเตรียมจะป
“เฮียจะพูดกับนัญเป็นครั้งสุดท้าย กลับไปกับเฮีย!” คิเลียนยื่นคำขาดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด เมื่อเห็นว่าลัญชนาเอาแต่เงียบและไม่ยินยอมสักที บอกตามตรงว่าเขาไม่ได้มีความอดทนมากพอจะยืดยื้อได้นานนัก ที่ยืนต่อรองอยู่ตอนนี้ก็แค่อยากโน้มน้าวให้เธอยอมกลับไปด้วยแต่โดยดี แต่ในเมื่อคนตัวเล็กยังดื้อด้าน เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากใช้วิธีของตัวเอง เพราะเขามาที่นี่ ไม่ใช่เพื่อพูดคุยแล้วกลับไปมือเปล่า ทว่ากลับดูเหมือนลัญชนายังไม่มีท่าทีว่าจะยอมตามใจเขาแม้แต่น้อย “ขอร้องล่ะเฮีย ช่วยกลับไป แล้วทำเป็นว่าทุกอย่างระหว่างเราไม่เคยเกิดขึ้นเถอะนะคะ” “ดูเหมือนนัญจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เฮียพูดสินะ” เขาพยักหน้าเบาๆ อย่างคนที่พยายามเข้าใจ ก่อนอารมณ์อดทนจะค่อยๆ ลดลงจนแทบไม่เหลือ เมื่อเห็นว่าเธอยังตั้งท่าจะพูดอะไรไร้สาระออกมาอีก คิเลียนไม่รอช้า มือหนาช้อนเข้าใต้ก้นงอนก่อนจะยกร่างเล็กขึ้นพาดบ่าแล้วหมุนตัวพาเธอเดินออกไปทันที ฟึ่บ! “ว้าย!! เฮีย!!” “ไอ้เอม ขับรถ” พอลงมาถึงลานจอดรถ เขาโยนกุญแจรถให้กับเอมที่ยืนเก้ๆกังๆ อยู่ไม่ไกล ก่อนจะก้าวฉับๆ เดินตรงไปยังรถโดยไม่สนใจว่าคนตัวเล็กบนบ่าจะดิ้นดุกดิกแค่ไหน “เฮีย!! ปล่อย
เกร๊ก… “เชี่ย อะไรกันวะเนี่ย…” เอมที่เปิดประตูเข้ามาในคอนโดถึงกับยืนค้างไปหลายวินาทีกับสภาพคนในห้อง ออกไปตามเบาะแสไม่ถึงสองชั่วโมง กลับมาคิดว่านาวินกับวรัทย์จะมาห้ามปรามเจ้านาย ให้ลุกขึ้นเป็นผู้เป็นคนมาบ้าง แต่กลับตรงกันข้ามซะงั้น หนําซํ้ายังกอดคอกันเมาไม่รู้เรื่อง สภาพแย่กว่าคิเลียนอีก พื้นห้องเต็มไปด้วยเศษขวด และกลิ่นเหล้าแรงจนแทบเวียนหัว เอมถอนหายใจหนักๆ พลางเดินเข้าไปใกล้คนทั้งสามแล้วเอ่ยเสียงเรียบแต่ปนรำคาญ “นาย… คุณนาวิน… คุณวริทย์… ยังมีสติกันอยู่มั้ยครับเนี่ย?” เขาสะกิดเบาๆ ตรงบ่าของเพื่อนเจ้านายที่เมาหนัก ในขณะที่คิเลียนยังคงนั่งนิ่ง แววตาเหมือนคนตายทั้งเป็น กำขวดเหล้าแน่นในมือ กระดกขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่สนใจโลก “เฮ้อ… ผมอุตส่าห์วิ่งหอบหาทุกวิธีทาง จนได้เบาะแสที่อยู่ของคุณนัญมาแล้วนะครับ แต่ในเมื่อนายไม่มีสติ ก็คงต้องเอาไว้ก่อนแล้วกัน” เอมแสร้งทำเป็นพึมพำเสียงเหนื่อย ตั้งใจให้บางคนได้ยิน ทันใดนั้นเสียงทุ้มแหบพร่าก็พุ่งสวนกลับมาทันที “มึงว่าอะไรนะ!?” คิเลียนผงะตัวลุกขึ้นพรวดจนเซไปมาด้วยฤทธิ์เหล้า ทว่าไม่นานก็ทรงตัวได้ ความรวดเร็วของเขาทำเอาเอมสะดุ้ง เพื่อนทั
“ป๊าเอานัญไปไว้ไหน?” เสียงห้วนต่ำของคิเลียนเอ่ยขึ้นกลางบ้านที่เงียบงัน เขากลับมาในยามค่ำ หลังจากดิ้นรนวิ่งวุ่นตามหาลัญชนาทั่วทุกหนแห่งที่พอจะเป็นไปได้ แต่ก็ไร้ร่องรอย จนในที่สุดก็ต้องกลับมาทวงคำตอบกับคนที่รู้ดีที่สุดด้วยตัวเอง และสิ่งที่ได้รับตอบกลับ ก็ยังคงเป็นความเงียบ “……” บรรยากาศทั่วบ้านอึมครึม คุณอดิศักดิ์นั่งนิ่งไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองลูกชาย ส่วนคุณหญิงกลยาณีที่นั่งอยู่อีกฟาก ก็ได้แต่มองลูกด้วยแววตาหนักใจเต็มเปี่ยม ท่านรู้ดีว่าคิเลียนในตอนนี้ พร้อมจะ คลั่งตายได้ทุกเมื่อ เมื่อไม่ได้คำตอบ คิเลียนจึงล้วงมือถือขึ้นมากดโทรหาลัญชนาอีกครั้ง เป็นรอบที่ร้อยหรือพันแล้วก็ไม่รู้ ทว่าทุกช่างทางกลับถูกปิดกั้นเหมือนคนตัวเล็กได้เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นความพยายามของเขาไม่เคยสิ้นสุด กดโทรหาเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก คล้ายคนเสียสติ แม้จะต้องทำแบบนั้นจนถึงหมื่นถึงพันรอบ เขาก็จะทำจนกว่าจะได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ “เลิกพยายามเถอะ…” เสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นจากผู้เป็นพ่อ ทำให้คิเลียนต้องชะงัก หันกลับไปสบตากับท่านด้วยแววตาแดงก่ำ “ป๊าจะไม่ยอมบอกผมใช่มั้ย…” เสียงทุ้มแผ่วเจือความปวดหน่วง เหมือนหัวใจกำ
“คิเลียน!! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ฉันต้องการคำอธิบายเดี๋ยวนี้!!” นํ้าเสียงห้วนของชายวัยกลางดังกระหึ่มขึ้น แววตาคมรุ่งโรจน์เต็มไปด้วยความดุดัน เมื่อสภาพของทั้งสองบ่งบอกว่าเพนน่าไม่ได้โกหก มือที่เริ่มเหี่ยวย่นสั่นสะท้ายด้วยความโมโห “ผม… ผมขอโทษครับป๊า…แต่ผมรักนัญ” !!!!! เสียงนั้น แม้จะเบา แต่กลับดังสะท้อนก้องอยู่ในหัวของทุกคน อดิศักดิ์ยกมือขึ้นชี้หน้าลูกชายอย่างสั่นระริก ดวงตาสั่นไหวไม่ต่างจากหัวใจที่แทบแตกเป็นเสี่ยง “ก…แก…!! ยัยนัญคือน้องแกนะ!! แกกล้าทำเรื่องต่ำช้าแบบนี้ได้ยังไง!?” อดิศักดิ์ตวาดลั่น สีหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ มือกำแน่นจนเส้นเลือดปูด ลัญชนาที่ก้มหน้านํ้าตาคลออยู่ด้านหลัง ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างเล็กค่อยๆก้าวฝีเท้าออกมาคุกเข่าทรุดลงเบื้องหน้าผู้เป็นพ่อ “ฮึก… ป๊า… นัญขอโทษค่ะ…” เธอพนมมือไหว้ ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความรู้สึกผิดที่แผ่ซ่านไปทั้งตัว ร่างเล็กสั่นสะท้านเหมือนจะขาดใจ “นัญผิดเอง ฮึกก นัญมันลูกอกตัญญู… นัญขอโทษ… ฮึกกป๊า…นัญขอโทษ…” “นัญ…” คิเลียนมองภาพนั้นด้วยหัวใจแหลกสลาย ทั้งรู้สึกผิดและแทบขาดใจไม่ต่างจากเธอเลยสักนิด เขาอยากดึงเธอมากอด อยากปกป้องเธอจากโลก