“นั่นสิครับป๊า นัญยังเด็ก… ตามเล่ห์กลผู้ชายไม่ทันหรอกครับ ไม่มีนั่นแหละดีแล้ว”
ชายวัยกลางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เกิดหัวเราะลั่นอย่างเอ็นดู “ฮะๆ พี่น้องคู่นี้ยังเป็นห่วงกันเหมือนเดิมเลยนะ ป๊าเห็นแบบนี้ก็หมดห่วงละ แกก็ดูแลน้องมันด้วยล่ะ เดี๋ยวจะเป็นแบบที่แกพูดเอา” คิเลียนหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงฟังดูสุภาพแต่เจืออะไรบางอย่างที่ทำให้ลัญชนาเสียววาบตั้งแต่สันหลังถึงต้นคอ “ป๊าไม่ต้องห่วงเลยครับ เพราะผมจะดูแลน้องแบบที่ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมแน่…” เสียงหัวเราะของผู้เป็นบิดาดังลั่นขึ้นอีกครั้งอย่างชอบใจจนไม่ทันได้สังเกตเลยว่า คำพูดของลูกชายมีน้ำเสียงและความหมายที่ลึกกว่านั้น… เจ้าเล่ห์และอันตราย… ลัญชนาเหลือบสายตาขึ้นไปสบกับสายตาคมโดยไม่ตั้งใจ รอยยิ้มมุมปากที่จางๆบนใบหน้าหล่อเหลาทำเอาเธอเย็นวาบ มันไม่ใช่แค่ยิ้ม แต่มันคือการขู่ในคราบความอ่อนโยน เธอก้มหน้านิ่ง รีบหลบสายตาอย่างเงียบงัน เพราะรู้ดี… ผู้ชายที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตเธอ อาจไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ คิเลียน ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายต่างสายเลือด และดูเหมือนป๊าจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ… ว่าเขากำลังโยนลูกสาวตัวเองเข้าไปในถํ้าของสัตว์ป่าอันตรายด้วยมือของตัวเอง แต่ในท่ามกลางบทสนทนาของทั้งสาม ก็ยังมีสายตาของคุณหญิงกลยาณีที่เอาแต่นั่งกรอกหูกรอกตา ก่อนจะเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยนํ้าเสียงเหยียดเย้ยในที่สุด “เหอะ… กลัวตามเล่ห์เหลี่ยมผู้ชายไม่ทัน? ตัวเองน่ะสิไม่ว่าที่จะไปยั่วหลอกผู้ชายให้วิ่งตามไปทั่ว!” คำพูดของคุณหญิงเหมือนปลายมีดแหลมคมที่กรีดลึกเข้ามาแล้วยังขยี้ซํ้าๆให้เหลวแหลก ลัญชนาก้มหน้าเงียบ ปลายตะเกียบในมือสั่นไหวเล็กน้อย เธอไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง แต่ไม่ได้แปลว่าเธอไม่รู้สึก นํ้าตาแทบหลั่งลงมาเป็นสายเกือบห้ามไม่อยู่เลยด้วยซํ้า คนพูดแทงใจคงไม่รู้หรอกว่าการที่เจ็บแล้วต้องนั่งกลั้นนํ้าตาไม่ให้มันหลั่งลงมาทรมานยิ่งกว่าอะไร “พอได้แล้วน่าคุณหญิง” เสียงชายวัยกลางแทรกขึ้น คล้ายคนที่เริ่มหมดความอดทน เมื่อภรรยาเขายิ่งอยู่ยิ่งจะเหิมเกริมขึ้นทุกที แม้ตัวเองจะรู้อยู่เต็มอกถึงเหตุผลก็ตาม… ทว่ามันไม่ใช่ความผิดของลัญชนานี่… ส่วนคนที่ปวดหนึบอยู่ลึกในใจ แม้จะมีเสียงของป๊าแทรกเข้ามาปกป้องเฉกเช่นทุกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถป้องกันความรู้สึกอ้างว้างที่กัดกินในใจเธอได้อยู่ดี “ชิ…” คุณหญิงแค่นเสียงอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมเงียบลงในที่สุด ก่อนจะหันไปตักกับข้าวลงจานตัวเองอีกครั้ง นำพาทั้งโต๊ะกลับเข้าสู่ความเงียบอึดอัด แต่สำหรับลัญชนา เธอกลืนสิ่งตรงหน้าไม่ลงตั้งแต่คำพูดก่อนหน้าของหญิงวัยกลางแล้ว แถมตอนนี้ยังมีสายตาคู่คมลึกของเขาที่นั่งเงียบอยู่ฝั่งตรงข้าม ยังคงเอาแต่จับจ้องมาทางเธอเป็นระยะ มันทั้งหนักแน่นและกดดัน… ราวกับเขามองทะลุเข้าไปในทุกความคิดของเธอที่พยายามซ่อนเอาไว้ . . . . . เสียงเบสจากลำโพงดังกระหึ่มไปทั่วผับหรูกลางเมือง ไฟสลัวปนแสงแฟลชสีสันวูบวาบจับไปทั่วบาร์ ร่างสูงของ คิเลียน เพิ่งเดินเข้ามาได้ไม่ถึงนาทีก็เป็นที่สะดุดตาทันที ไม่ใช่แค่เพราะใบหน้าหล่อเหลาแบบเทพจีนที่มองแล้วต้องเหลียวมอง แต่ยังเป็นเพราะพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวเขา… สายตาคมกริบที่ลึกหนักแน่น เจ้าอารมณ์ และอันตราย สองเพื่อนหนุ่มที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าที่โต๊ะประจำ VIP เงยหน้าขึ้นทันทีที่เห็นเขา “โห้ ในที่สุดก็เจอตัวว่ะ นึกว่าไปติดสาวฝรั่งจนลืมทางกลับไทยแล้วซะอีก!” นาวิน เอ่ยแซวเสียงดัง คิเลียนไม่สนใจที่จะตอบ นั่งปักลงบนโซฟาหนังแทบจะทันทีที่ถึง แล้วเอื้อมมือไปคว้าขวดเหล้ากระดกเข้าปากแบบไม่คิดชีวิต “เอ้าๆ ไอ้ควาย เป็นไรวะ มาถึงก็กระดกขวดเหมือนจะตายพรุ่งนี้เลยเรอะ!” วรัทย์ เบิกตาแล้วด่าทอเพื่อนเสียงดัง มาถึงก็กระดกอย่างกับชาตินี้จะไม่ได้แดกอีก เป็นอะไรของมัน? “เออ… แม่ง…” เสียงสบถต่ำในลำคอไม่บอกอารมณ์ชัดเจน แต่สีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เขาโน้มตัวท้าวศอกลงบนเข่า มือยังจับขวดเหล้าแน่น เขาไม่ได้หงุดหงิดเพราะงาน ไม่ใช่เพราะครอบครัว หรือปัญหาอะไรใหญ่โต แต่เพราะใบหน้าใสซื่อแต่ยั่วไปถึงกระดูกของยัยนั่นต่างหาก ยัยน้องสาวบุญธรรมที่เหมือนจะไม่รู้อะไรเลย แต่แม่งกลับตามหลอกหลอนเขาได้ตลอดทุกท่วงท่า คิดแล้วก็อยากจะจับกดจนร้องไม่เป็นเสียง อยากจะขย้ำให้แม่งแหลกคามือ แต่แม่งดันเป็น “น้องสาว” “หงุดหงิดอะไรมาวะ?” นาวินขมวดคิ้วเข้มเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “เพิ่งกลับมาไม่ทันไร หน้าบึ้งเป็นตูดเชียว” “เปล่า…” ปากบอกเปล่าแต่ขวดเหล้าในมือถูกยกขึ้นกระดกซํ้าสอง ขนาดหลับตากระดกเหล้า ภาพใบหน้าไร้เดียงสาของน้องสาวยังโผล่ออกมาซํ้าเติมหลอกหลอนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ยัยนั่นไปทำเสน่ห์มนต์ดำอะไรกับเขาไว้หรือยังไงกันวะแม่ง “กูว่ามันแปลกๆ ว่ะ” วรัทย์เอ่ยพลางเหล่มองเพื่อนที่เหมือนจะหลุดออกจากโลกไปอีกมิติ “ให้กูเดานะ คนอย่างไอ้คิลคงไม่มีเรื่องอะไรให้เครียดแล้วแหละ เงินทองก็มีมหาศาลใช้ทั้งชาติยังไม่หมด ส่วนคุณลุงคุณน้าก็รักมันจะตาย คุณน้านี่ยิ่งแล้วใหญ่ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกับมันมายังไม่เคยเห็นขัดใจมันเลยสักครั้ง ส่วนถ้าจะให้เครียดเรื่องงาน มันก็ยังไม่ได้รับช่วงต่อ เหลืออยู่อย่างเดียว…” เขาลากเสียงยาวเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่— “นกเขาไม่ขันหรอวะ?” นาวินเอ่ยแทรกขึ้นปนเสียงขำหยอกล้อ “พ่องดิ” พอโดนคำพูดนี้ คิเลียนสบถกลับทันควัน น้ำเสียงห้วนจัดก่อนที่จะกลับมาก้มหน้าหงุดหงิดพร้อมคิ้วที่ขมวดจนเป็นปม ขวดเหล้าในมือถูกกำแน่นเหมือนจะบีบให้แตกคามือ “คนอย่างไอ้คิลหรอวะนกเขาไม่ขัน? บ้าแล้ว กูว่าแม่งต้องเรื่องสาวชัวร์ ไม่งั้นแม่งไม่หงุดหงิดเป็นหมาบ้าแบบนี้หรอก” ทันทีที่วรัทย์พูดจบ คิเลียนชำเลืองหางตาจ้องหน้าเพื่อนนิ่งๆชั่วครู่ สายตาคมเข้มแฝงไปด้วยแรงกดดันอย่างชัดเจน แค่แววตา ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า “เดาถูก” “นั่นไง กูว่าแล้ว!” วรัทย์ตบโต๊ะดังป้าบ เหมือนได้รางวัลเดาใจเพื่อนถูก ขำจนปากแทบฉีก คิเลียนถอนหายใจหนัก ก่อนยกขวดเหล้าขึ้นกรอกปากอีกครั้ง คราวนี้เขาดื่มรวดเดียวจนหมดเกลี้ยง “เชี่ย! มึงเพิ่งมาถึงนะเว้ย ยังไม่สิบนาทีเลย ควาย…” วรัทย์มองขวดในมือเพื่อนแล้วส่ายหัว ตกใจแต่ก็อดขำมันไม่ได้เลยจริงๆ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น เสียงส้นสูงกระแทกพื้นผับก็ดังใกล้เข้ามาก่อนเรียวขาขาวในชุดเดรสสั้นจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าคิเลียน คิเลียนเงยหน้ามองคนตรงหน้าพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนที่หันตามอย่างงุนงง ใครวะ…? “เพนน่า?”“นั่นสิครับป๊า นัญยังเด็ก… ตามเล่ห์กลผู้ชายไม่ทันหรอกครับ ไม่มีนั่นแหละดีแล้ว” ชายวัยกลางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เกิดหัวเราะลั่นอย่างเอ็นดู “ฮะๆ พี่น้องคู่นี้ยังเป็นห่วงกันเหมือนเดิมเลยนะ ป๊าเห็นแบบนี้ก็หมดห่วงละ แกก็ดูแลน้องมันด้วยล่ะ เดี๋ยวจะเป็นแบบที่แกพูดเอา” คิเลียนหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงฟังดูสุภาพแต่เจืออะไรบางอย่างที่ทำให้ลัญชนาเสียววาบตั้งแต่สันหลังถึงต้นคอ “ป๊าไม่ต้องห่วงเลยครับ เพราะผมจะดูแลน้องแบบที่ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมแน่…” เสียงหัวเราะของผู้เป็นบิดาดังลั่นขึ้นอีกครั้งอย่างชอบใจจนไม่ทันได้สังเกตเลยว่า คำพูดของลูกชายมีน้ำเสียงและความหมายที่ลึกกว่านั้น… เจ้าเล่ห์และอันตราย… ลัญชนาเหลือบสายตาขึ้นไปสบกับสายตาคมโดยไม่ตั้งใจ รอยยิ้มมุมปากที่จางๆบนใบหน้าหล่อเหลาทำเอาเธอเย็นวาบ มันไม่ใช่แค่ยิ้ม แต่มันคือการขู่ในคราบความอ่อนโยน เธอก้มหน้านิ่ง รีบหลบสายตาอย่างเงียบงัน เพราะรู้ดี… ผู้ชายที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตเธอ อาจไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ คิเลียน ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายต่างสายเลือด และดูเหมือนป๊าจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ… ว่าเขากำลังโยนลูกสาวตัวเองเข้าไปในถํ้าของสัตว์ป่าอันตรา
เมื่อถึงเวลามื้ออาหารคํ่า ทุกคนในบ้านก็มานั่งรวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่โต๊ะ อาหารร้อนๆถูกทยอยนำมาเสิร์ฟ บรรยากาศภายในห้องอาหารอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมและเสียงพูดคุย “หนูเพนน่าจะอยู่ทานข้าวกับเราก่อนก็ยังดีเนาะคุณว่ามั้ยคุณศักดิ์” คุณหญิงกัลยาณีตัดพ้อถึงว่าที่ลูกสะใภ้ที่รีบกลับไปก่อนจะได้ทานมื้อคำ่ด้วยกัน พูดจบก็หันไปทางสามีหาเพื่อนสมทบความคิดตนเอง “ไม่รู้สิ” “เหอะ.. คุณมันเคยรู้อะไรบ้าง นอกจากเรื่องยัยนัญ” นํ้าเสียงของชายวัยกลางที่ตอบห้วนสั้นไม่ใส่ใจนัก ทำให้คุณหญิงกลยาณีเกิดขัดใจ แล้วหันเหความหงุดหงิดไปลงที่ลัญชนาที่นั่งเงียบ คำพูดนั้นประหนึ่งตบหน้าหน้าเธอเข้าเต็มแรง ลัญชนาได้แต่ก้มหน้าลงตํ่า จ้องมองข้าวในจานที่ดูน่ากลืนไม่ลง รสชาติทั้งหมดหายไปทันทีที่ได้ยินถ้อยคำจากคนที่เธอเฝ้าหวังจะได้รับความรักมาโดยตลอด… เธอนับถือคุณหญิงเหมือนมารดา… ทว่าคุณหญิงกลับมีแต่ปติกิริยาตอบกลับเธอด้วยความเกลียดชัง ซึ่งลัญชนาเองไม่เข้าใจถึงเหตุผลเหมือนกัน ทั้งที่เธอโตมาภายไต้สายตาของคุณหญิงแท้ๆ… ทว่ากลับไม่เคยได้รับแม้แต่คำพูดดีๆจากหญิงวัยกลางเลยด้วยซํ้า ในขณะที่คนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงครึ่งว
หลังจากเข้ามาในห้อง หัวใจดวงเล็กยังวุ่นวายเต็มไปด้วยภาพของเขา หากเธอนึกคิดวิธีที่จะไม่ได้เจอหน้าเขาได้คงดี เพราะหากเจอกันขึ้นมา เธอก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงอยู่ดี ในขณะที่กำลังนั่งนึกคิดหาวิธี ก็เหมือนมีพระเจ้ามาโปรด เมื่อมีเสียงสตาร์ทกำลังจะขับเคลื่อนออกไปดังก้อนเข้ามาผ่านหน้าต่างห้อง ลัญชนารีบลุกขึ้นเดินไปดูก็พบกับรถคันหรูที่เขานั่งมาเมื่อครู่ได้ขับเคลื่อนกลับออกไป หากเธอเดาไม่ผิด เขาต้องไปส่งแฟนสาวคนนั้นแน่ๆ หากไปส่งแล้วไม่กลับมาสักคืนก็คงดีสิ ลัญชนาคิดแล้วก็โล่งใจ ก่อนเสียงเคาะประตูหน้าห้องจะดังขึ้น เรียกสติจากหญิงสาวให้รีบเดินไปเปิดโดยไม่ได้คำนึงถึงเลยว่าคนที่ยืนเคาะอยู่จะเป็น… เฮียคิเลียน! ลัญชนาตกใจรีบก้าวถอยหลังเมื่อเขาลอดตัวเข้ามาในห้องเธอ แกร๊ก… เสียงล็อคประตูดังขึ้นตามหลัง ทำเอาหัวใจดวงเล็กลุกขึ้นมาเต้นแรงตุบตับอย่างไม่มีเหตุผล “ฮ..เฮียคิล” ลัญชนาเอ่ยเรียกชื่อคนที่ย่างเข้ามาไกล้เธอเรื่อยๆเสียงตะกุกตะกักเหมือนกลัวอะไร ทำเอาคิเลียนลอบยิ้มมุมปากขึ้น “ไม่เจอกันแค่สามปี… ทำไมทำหน้าห่างเหินกับพี่ชายตัวเองขนาดนั้นล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามช้าๆ ในระยะไกล้ “น…นัญเปล่
รถคันสีเทาจอดเทียบหน้าบ้านอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับที่ลัญชนาเปิดประตูลงมา ก่อนเพื่อนชายที่มาส่งรีบยื่นหน้าออกมาเอ่ยลา “ขอบคุณที่มาส่งนะกันต์” “นัญพูดอย่างกับนี่เป็นครั้งแรกที่กันต์มาส่งอย่างนั้นแหละ” “ฮะๆ งั้นเราเข้าบ้านก่อนนะ” “อื้ม เดินดูทางดีๆด้วยล่ะ นัญยิ่งซุ่มซ่ามอยู่” ลัญชนายิ้มพรางพยักหน้าเข้าใจ ชนกันต์มักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอจนเธอชินแล้วแหละ พอลากันเสร็จก็ไม่ลืมที่จะยกมือโบกบ๊ายบายอย่างกับจะไม่ได้เจอกันอีกเป็นชาติ ก่อนชายรูปหล่อจะขับเคลื่อนรถออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงหญิงสาวที่ยืนปรับลมหายใจหน้าบ้านหลังเดิม ด้วยหัวใจที่วุ่นวายกว่าที่เคย เมื่ออีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้เธอก็กำลังจะได้เจอคิเลียนอีกครั้ง… ลัญชนาชั่งใจเสร็จก็เดินเข้าบ้านโดยไม่ทันสังเกตเลยว่า ในรถ SUV สีดำคันใหญ่ที่จอดถัดไปห่างออกไปเพียงเล็กน้อย มีสายตาคมเข้มคู่หนึ่งจับจ้องทุกท่วงท่าของเธออย่างเงียบงัน เขานั่งอยู่เบาะหลัง ร่างสูงในชุดเรียบหรูเพิ่งลงจากเครื่องบินต่างประเทศ ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็มาเจอภาพที่ไม่ควรเจอเสียก่อน ผู้ชายคนนั้นคือใคร? แววตาเขาเงียบงัน…แต่ภายในเต็มไปด้วยคำถามปะทุขึ้นไม่หยุด เธอเ
แสงไฟสีส้มหรี่สลัวจากหัวเตียงกระทบผิวเนื้อที่ชื้นเหงื่อ เสียงหอบหายใจดังสลับกับเสียงเตียงโยกเบาๆ ราวกับบอกเล่าความผิดพลาดของสองคนที่ไม่อาจหักห้ามใจตัวเองได้ ลัญชนานอนนิ่ง ใบหน้าเปื้อนน้ำตา ผมเธอสยายกระจายบนหมอนขาวสะอาดจนดูผิดแปลกกับสภาพร่างกายที่เปลือยเปล่าอยู่ใต้ร่างของคนที่เธอเรียกว่า พี่ชาย มาตลอด เขาไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ ไม่แม้แต่จะเรียกชื่อเธอ กลิ่นเหล้าฉุนราวกับซึมอยู่ในลมหายใจของเขา มือหนาข้างหนึ่งวางทาบที่เอวบางราวกับไร้สติ ปั่ก ปั่ก ปั่ก! “ฮึก… อ๊าา เฮียคิล…ย…หยุดอื้ออ…” เสียงเธอแผ่วสั่นไม่เป็นคำ แทบไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ร่างสูงด้านบนไม่ตอบอะไร หนําซํ้ายังกระชับวงแขนแน่นขึ้น ก่อนจะฝังใบหน้าคมลงซอกคอระหง สูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นของเธอที่ทำเขาครั่งแทบบ้า ลมหายใจร้อนกระทบผิวจนร่างเล็กสะดุ้ง มือเล็กผลักเขาออกเบาๆแทบจะไม่มีแรงสะท้านถึงเขาเลย ไม่รู้ว่าเป็นร่างกายทรยศที่ตอบสนองทุกสัมผัสเขา หรือเพราะเรี่ยวแรงเธอหมดถึงขั้นไม่เหลือให้ต่อต้านเขากันแน่ ลัญชนาหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาหยดสุดท้ายไหลรินลงข้างแก้ม ขณะที่เสียงหอบของเขาเริ่มถี่ขึ้น จังหวะเคลื่อนไหวรุนแรงเต็มไปด้วยความอัดอั้