เมื่อถึงเวลามื้ออาหารคํ่า ทุกคนในบ้านก็มานั่งรวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่โต๊ะ อาหารร้อนๆถูกทยอยนำมาเสิร์ฟ บรรยากาศภายในห้องอาหารอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมและเสียงพูดคุย
“หนูเพนน่าจะอยู่ทานข้าวกับเราก่อนก็ยังดีเนาะคุณว่ามั้ยคุณศักดิ์” คุณหญิงกัลยาณีตัดพ้อถึงว่าที่ลูกสะใภ้ที่รีบกลับไปก่อนจะได้ทานมื้อคำ่ด้วยกัน พูดจบก็หันไปทางสามีหาเพื่อนสมทบความคิดตนเอง “ไม่รู้สิ” “เหอะ.. คุณมันเคยรู้อะไรบ้าง นอกจากเรื่องยัยนัญ” นํ้าเสียงของชายวัยกลางที่ตอบห้วนสั้นไม่ใส่ใจนัก ทำให้คุณหญิงกลยาณีเกิดขัดใจ แล้วหันเหความหงุดหงิดไปลงที่ลัญชนาที่นั่งเงียบ คำพูดนั้นประหนึ่งตบหน้าหน้าเธอเข้าเต็มแรง ลัญชนาได้แต่ก้มหน้าลงตํ่า จ้องมองข้าวในจานที่ดูน่ากลืนไม่ลง รสชาติทั้งหมดหายไปทันทีที่ได้ยินถ้อยคำจากคนที่เธอเฝ้าหวังจะได้รับความรักมาโดยตลอด… เธอนับถือคุณหญิงเหมือนมารดา… ทว่าคุณหญิงกลับมีแต่ปติกิริยาตอบกลับเธอด้วยความเกลียดชัง ซึ่งลัญชนาเองไม่เข้าใจถึงเหตุผลเหมือนกัน ทั้งที่เธอโตมาภายไต้สายตาของคุณหญิงแท้ๆ… ทว่ากลับไม่เคยได้รับแม้แต่คำพูดดีๆจากหญิงวัยกลางเลยด้วยซํ้า ในขณะที่คนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงครึ่งวันอย่างเพนน่า… กลับได้รับความเอ็นดูเต็มหัวใจ ลัญชนาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอเจ็บ… และอิจฉาผู้หญิงคนนั้นอยู่ไม่น้อย เพราะเธอเองมีความรู้สึกเหมือนกัน… “เพนเธอมีธุระทางบ้านน่ะครับม๊า เลยอยู่ค้างที่นี่ไม่ได้” เสียงทุ้มของเขาที่นั่งเงียบมานานเอ่ยตอบมารดาขึ้นมาเรียบๆแต่ชัดเจน พอให้คุณหญิงได้คลายความเสียดาย “เฮ้อ… ไว้วันอื่นก็พาหนูเพนมาหาม๊าบ่อยๆล่ะ ไม่รู้ทำไม ม๊ารู้สึกถูกชะตากับแม่หนูคนนี้มากเลย” “ครับม๊า” คำตอบสั้นๆของคิเลียนเหมือนประทับตอกซํ้ากลางอกเธออีกครั้ง ลัญชนาก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ ไม่ต่างจากที่เธอกำลังกลืนนํ้าตาลงไปพร้อมคำข้าวเลยสักนิด เพราะเธอไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะรู้สึก… ท่ามกลางความเงียบอึดอัดที่ปกคลุมโต๊ะอาหาร ชายวัยกลาง หรือ ‘ป๊า’ ที่เธอเคารพรักมาเสมอก็เอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงใจดี “ว่าแต่ยัยนัญล่ะลูก ตอนนี้ปิดเทอมใหญ่แล้วใช่มั้ย” ลัญชนาเงยหน้าขึ้นตอบเสียงเบาแผ่วอย่างนอบน้อม แววตาอ่อนลงเมื่อสบตาคนพูด “ใช่ค่ะป๊า…” เพียงแค่คำถามง่ายๆจากชายวัยกลางกลับทำให้ใจเธออุ่นวาบอย่างบอกไม่ถูก เขาคือคนเดียวในบ้านนี้ ที่ยังมองเธอด้วยความเมตตาเสมอมา “พอดีเลยนี่ หลังจากจัดงานเลี้ยงผู้บริหารคนใหม่เสร็จ หนูอยู่บ้านว่างๆก็ลองไปฝึกงานกับพี่เขาสิ จะได้มีประสบการณ์ติดตัวไว้บ้างนะลูก อีกเทอมเดียวก็จะจบแล้วนี่” คำพูดของชายวัยกลางนั้นเต็มไปด้วยความหวังดี แต่ก็ทำให้ลัญชนาถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ความเงียบปกคลุมตัวเธอเป็นวินาที เพราะกำลังนึกคิด… ฝึกงานกับเฮียคิลอย่างนั้นหรอ? ในสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขามันไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วอย่างนั้นหรอ…? ในขณะที่อีกคนนึกคิดด้วยความว้าวุ่นใจ ทว่าอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับเหยียดยิ้มด้วยความชอบใจ แม้เธอจะไม่หันไปมอง เธอก็รับรู้ได้ถึงสายตาของเขาที่ยังคงจ้องมาทางเธอ มัแสายตาที่คมลึกจนทำเอาหญิงสาวขนลุกซู่ ลัญชนาหลบสายตาลงตํ่าอีกครั้ง เธออยากจะปฏิเสธไป ทว่าป๊าเป็นคนเดียวในบ้านนี้ที่เธอไม่อยากทำให้ผิดหวัง หญิงสาวสูดลมหายใจเบาๆแล้วตอบออกไปด้วยเสียงอ่อนนุ่ม “นัญแล้วแต่ป๊าเลยค่ะ…” ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงประชดประชันจากคุณหญิงก็แทรกขึ้นมาทันควัน “เหอะ… ทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้างก็ดี ไม่ใช่เที่ยวเล่นเถลไถลไปวันๆเหมือนทุกที!” คำพูดนั้นเหมือนกระสุนที่พุ่งตรงสู่ใจเธออีกครั้ง แต่ลัญชนาก็ยังเลือกที่จะเงียบ ไม่มีคำโต้ตอบไดๆ เพราะรู้ดีว่าไม่มีคำไดจะแก้ความเกลียดชังที่คุณหญิงมีต่อตัวเองได้ แล้วชายวัยกลางก็หันไปกล่าวห้ามภรรยาเฉกเช่นทุกครั้งที่ลัญชนาโดนแขวะ “ไม่เอาน่าคุณหญิง ยัยนัญเป็นเด็กดีจะตายไป ยิ่งโตเป็นสาวยิ่งอ่อนน้อมน่ารัก” ชายวัยกลางพูดกับภรรยาเสร็จก็หันกลับมาหาลัญชนาด้วยแววตาเอ็นดู “ลูกสาวป๊าคงมีหนุ่มๆมาจีบเพียบเลยล่ะมั้ง” พูดจบก็ตามด้วยคำถามที่ทำเอาหนึ่งในคนบนโต๊ะชะงัก “เอ้อ… พูดถึงเรื่องนี้แล้ว หนูมีแฟนบ้างรึยังล่ะลูก? โตเป็นสาวสวยขนาดนี้ ถ้าจะมี ป๊าก็ไม่ห้ามหรอกนะนัญ” คำพูดของบิดาเหมือนเสียงกระทบผิวนํ้าที่ก่อให้เกิดคลื่นสะเทือนในใจใครบางคนอย่างคิเลียน… ลัญชนาสัมผัสได้ทันทีถึงสายตาคมกริบที่กำลังจ้องมาอย่างไม่ละไปจากเธอ แรงกดดันมหาศาลเสียดแทงเข้ามาเหมือนมีอะไรบางอย่างร้อนวาบอยู่บนต้นคอ คนตัวเล็กกลืนน้ำลายแทบไม่ลง สูดลมหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบเสียงเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ม…ไม่มีหรอกค่ะป๊า นัญยังไม่คิดเรื่องนั้นเลยค่ะ” ยังไม่ทันที่บรรยากาศจะผ่อนคลายลง เสียงทุ้มต่ำของใครอีกคนก็ดังแทรกขึ้นมาทันที “นั่นสิครับป๊า นัญยังเด็ก… ตามเล่ห์กลผู้ชายไม่ทันหรอกครับ ไม่มีนั่นแหละดีแล้ว” เขาวางช้อนลงอย่างใจเย็นก่อนจะหันไปยิ้มบางๆให้ป๊า แล้วหันกลับมามองน้องสาวต่างสายเลือดอีกครั้ง แต่มันกลับไม่ใช่สายตาของพี่ชายมองน้องสาว ไม่ใช่ความห่วงใยแบบพี่น้อง แต่มันคือสายตาของนักล่าที่กำลังมองเหยื่อที่หนีไม่พ้นเงื้อมมือ เพราะเธอคือลูกแมวในกำมือเขา… ชายไดคิดจะมาจับต้อง… มันต้องผ่านลูกปืนเขาไปก่อน“นั่นสิครับป๊า นัญยังเด็ก… ตามเล่ห์กลผู้ชายไม่ทันหรอกครับ ไม่มีนั่นแหละดีแล้ว” ชายวัยกลางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เกิดหัวเราะลั่นอย่างเอ็นดู “ฮะๆ พี่น้องคู่นี้ยังเป็นห่วงกันเหมือนเดิมเลยนะ ป๊าเห็นแบบนี้ก็หมดห่วงละ แกก็ดูแลน้องมันด้วยล่ะ เดี๋ยวจะเป็นแบบที่แกพูดเอา” คิเลียนหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงฟังดูสุภาพแต่เจืออะไรบางอย่างที่ทำให้ลัญชนาเสียววาบตั้งแต่สันหลังถึงต้นคอ “ป๊าไม่ต้องห่วงเลยครับ เพราะผมจะดูแลน้องแบบที่ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมแน่…” เสียงหัวเราะของผู้เป็นบิดาดังลั่นขึ้นอีกครั้งอย่างชอบใจจนไม่ทันได้สังเกตเลยว่า คำพูดของลูกชายมีน้ำเสียงและความหมายที่ลึกกว่านั้น… เจ้าเล่ห์และอันตราย… ลัญชนาเหลือบสายตาขึ้นไปสบกับสายตาคมโดยไม่ตั้งใจ รอยยิ้มมุมปากที่จางๆบนใบหน้าหล่อเหลาทำเอาเธอเย็นวาบ มันไม่ใช่แค่ยิ้ม แต่มันคือการขู่ในคราบความอ่อนโยน เธอก้มหน้านิ่ง รีบหลบสายตาอย่างเงียบงัน เพราะรู้ดี… ผู้ชายที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตเธอ อาจไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ คิเลียน ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายต่างสายเลือด และดูเหมือนป๊าจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ… ว่าเขากำลังโยนลูกสาวตัวเองเข้าไปในถํ้าของสัตว์ป่าอันตรา
เมื่อถึงเวลามื้ออาหารคํ่า ทุกคนในบ้านก็มานั่งรวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่โต๊ะ อาหารร้อนๆถูกทยอยนำมาเสิร์ฟ บรรยากาศภายในห้องอาหารอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมและเสียงพูดคุย “หนูเพนน่าจะอยู่ทานข้าวกับเราก่อนก็ยังดีเนาะคุณว่ามั้ยคุณศักดิ์” คุณหญิงกัลยาณีตัดพ้อถึงว่าที่ลูกสะใภ้ที่รีบกลับไปก่อนจะได้ทานมื้อคำ่ด้วยกัน พูดจบก็หันไปทางสามีหาเพื่อนสมทบความคิดตนเอง “ไม่รู้สิ” “เหอะ.. คุณมันเคยรู้อะไรบ้าง นอกจากเรื่องยัยนัญ” นํ้าเสียงของชายวัยกลางที่ตอบห้วนสั้นไม่ใส่ใจนัก ทำให้คุณหญิงกลยาณีเกิดขัดใจ แล้วหันเหความหงุดหงิดไปลงที่ลัญชนาที่นั่งเงียบ คำพูดนั้นประหนึ่งตบหน้าหน้าเธอเข้าเต็มแรง ลัญชนาได้แต่ก้มหน้าลงตํ่า จ้องมองข้าวในจานที่ดูน่ากลืนไม่ลง รสชาติทั้งหมดหายไปทันทีที่ได้ยินถ้อยคำจากคนที่เธอเฝ้าหวังจะได้รับความรักมาโดยตลอด… เธอนับถือคุณหญิงเหมือนมารดา… ทว่าคุณหญิงกลับมีแต่ปติกิริยาตอบกลับเธอด้วยความเกลียดชัง ซึ่งลัญชนาเองไม่เข้าใจถึงเหตุผลเหมือนกัน ทั้งที่เธอโตมาภายไต้สายตาของคุณหญิงแท้ๆ… ทว่ากลับไม่เคยได้รับแม้แต่คำพูดดีๆจากหญิงวัยกลางเลยด้วยซํ้า ในขณะที่คนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงครึ่งว
หลังจากเข้ามาในห้อง หัวใจดวงเล็กยังวุ่นวายเต็มไปด้วยภาพของเขา หากเธอนึกคิดวิธีที่จะไม่ได้เจอหน้าเขาได้คงดี เพราะหากเจอกันขึ้นมา เธอก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงอยู่ดี ในขณะที่กำลังนั่งนึกคิดหาวิธี ก็เหมือนมีพระเจ้ามาโปรด เมื่อมีเสียงสตาร์ทกำลังจะขับเคลื่อนออกไปดังก้อนเข้ามาผ่านหน้าต่างห้อง ลัญชนารีบลุกขึ้นเดินไปดูก็พบกับรถคันหรูที่เขานั่งมาเมื่อครู่ได้ขับเคลื่อนกลับออกไป หากเธอเดาไม่ผิด เขาต้องไปส่งแฟนสาวคนนั้นแน่ๆ หากไปส่งแล้วไม่กลับมาสักคืนก็คงดีสิ ลัญชนาคิดแล้วก็โล่งใจ ก่อนเสียงเคาะประตูหน้าห้องจะดังขึ้น เรียกสติจากหญิงสาวให้รีบเดินไปเปิดโดยไม่ได้คำนึงถึงเลยว่าคนที่ยืนเคาะอยู่จะเป็น… เฮียคิเลียน! ลัญชนาตกใจรีบก้าวถอยหลังเมื่อเขาลอดตัวเข้ามาในห้องเธอ แกร๊ก… เสียงล็อคประตูดังขึ้นตามหลัง ทำเอาหัวใจดวงเล็กลุกขึ้นมาเต้นแรงตุบตับอย่างไม่มีเหตุผล “ฮ..เฮียคิล” ลัญชนาเอ่ยเรียกชื่อคนที่ย่างเข้ามาไกล้เธอเรื่อยๆเสียงตะกุกตะกักเหมือนกลัวอะไร ทำเอาคิเลียนลอบยิ้มมุมปากขึ้น “ไม่เจอกันแค่สามปี… ทำไมทำหน้าห่างเหินกับพี่ชายตัวเองขนาดนั้นล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามช้าๆ ในระยะไกล้ “น…นัญเปล่
รถคันสีเทาจอดเทียบหน้าบ้านอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับที่ลัญชนาเปิดประตูลงมา ก่อนเพื่อนชายที่มาส่งรีบยื่นหน้าออกมาเอ่ยลา “ขอบคุณที่มาส่งนะกันต์” “นัญพูดอย่างกับนี่เป็นครั้งแรกที่กันต์มาส่งอย่างนั้นแหละ” “ฮะๆ งั้นเราเข้าบ้านก่อนนะ” “อื้ม เดินดูทางดีๆด้วยล่ะ นัญยิ่งซุ่มซ่ามอยู่” ลัญชนายิ้มพรางพยักหน้าเข้าใจ ชนกันต์มักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอจนเธอชินแล้วแหละ พอลากันเสร็จก็ไม่ลืมที่จะยกมือโบกบ๊ายบายอย่างกับจะไม่ได้เจอกันอีกเป็นชาติ ก่อนชายรูปหล่อจะขับเคลื่อนรถออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงหญิงสาวที่ยืนปรับลมหายใจหน้าบ้านหลังเดิม ด้วยหัวใจที่วุ่นวายกว่าที่เคย เมื่ออีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้เธอก็กำลังจะได้เจอคิเลียนอีกครั้ง… ลัญชนาชั่งใจเสร็จก็เดินเข้าบ้านโดยไม่ทันสังเกตเลยว่า ในรถ SUV สีดำคันใหญ่ที่จอดถัดไปห่างออกไปเพียงเล็กน้อย มีสายตาคมเข้มคู่หนึ่งจับจ้องทุกท่วงท่าของเธออย่างเงียบงัน เขานั่งอยู่เบาะหลัง ร่างสูงในชุดเรียบหรูเพิ่งลงจากเครื่องบินต่างประเทศ ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็มาเจอภาพที่ไม่ควรเจอเสียก่อน ผู้ชายคนนั้นคือใคร? แววตาเขาเงียบงัน…แต่ภายในเต็มไปด้วยคำถามปะทุขึ้นไม่หยุด เธอเ
แสงไฟสีส้มหรี่สลัวจากหัวเตียงกระทบผิวเนื้อที่ชื้นเหงื่อ เสียงหอบหายใจดังสลับกับเสียงเตียงโยกเบาๆ ราวกับบอกเล่าความผิดพลาดของสองคนที่ไม่อาจหักห้ามใจตัวเองได้ ลัญชนานอนนิ่ง ใบหน้าเปื้อนน้ำตา ผมเธอสยายกระจายบนหมอนขาวสะอาดจนดูผิดแปลกกับสภาพร่างกายที่เปลือยเปล่าอยู่ใต้ร่างของคนที่เธอเรียกว่า พี่ชาย มาตลอด เขาไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ ไม่แม้แต่จะเรียกชื่อเธอ กลิ่นเหล้าฉุนราวกับซึมอยู่ในลมหายใจของเขา มือหนาข้างหนึ่งวางทาบที่เอวบางราวกับไร้สติ ปั่ก ปั่ก ปั่ก! “ฮึก… อ๊าา เฮียคิล…ย…หยุดอื้ออ…” เสียงเธอแผ่วสั่นไม่เป็นคำ แทบไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ร่างสูงด้านบนไม่ตอบอะไร หนําซํ้ายังกระชับวงแขนแน่นขึ้น ก่อนจะฝังใบหน้าคมลงซอกคอระหง สูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นของเธอที่ทำเขาครั่งแทบบ้า ลมหายใจร้อนกระทบผิวจนร่างเล็กสะดุ้ง มือเล็กผลักเขาออกเบาๆแทบจะไม่มีแรงสะท้านถึงเขาเลย ไม่รู้ว่าเป็นร่างกายทรยศที่ตอบสนองทุกสัมผัสเขา หรือเพราะเรี่ยวแรงเธอหมดถึงขั้นไม่เหลือให้ต่อต้านเขากันแน่ ลัญชนาหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาหยดสุดท้ายไหลรินลงข้างแก้ม ขณะที่เสียงหอบของเขาเริ่มถี่ขึ้น จังหวะเคลื่อนไหวรุนแรงเต็มไปด้วยความอัดอั้