ในระหว่างที่ณิชชาอึ้งกับคำพูดของชายหนุ่ม ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ สามครั้งและเปิดเข้ามา เป็นยงธนัทที่พาเด็กหญิงรติชาขึ้นมาตามคำสั่งของอังกูรนั่นเอง
“มาแล้วครับเฮีย” ยงธนัทเตรียมล้างหูฟังอังกูรบ่นเต็มที่ หรือดีไม่ดีอาจจะด่าด้วยก็ได้แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อ...
“นายไปทำเรื่องย้ายตำแหน่งณิชขึ้นมาทำงานบนนี้ทีย้ง”
สองคนที่ได้ยินหน้าตาตื่น
“ไม่นะคะคุณต้น ณิชไม่ย้ายงานค่ะ”
“นั่นสิฮะ แล้วจะให้ณิชทำงานตำแหน่งอะไรละเฮีย บนนี้ไม่มีตำแหน่งว่างเลย” ยงธนัทถึงกับเกาศีรษะแกรก ในขณะที่เด็กหญิงวิ่งมาหามารดา
“แม่ขาเสร็จงานหรือยังคะ”
ณิชชาอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตัก “ค่ะ หนูจะกลับบ้านแล้วเหรอ”
อังกูรทำมือโบกไล่ให้ยงธนัทออกไปจากห้อง “นายออกไปก่อนย้ง มีไรเคลียร์กันวันหลัง”
ประโยคว่าเคลียร์กันวันหลังทำให้ยงธนัทรีบออกไปอย่างรวดเร็ว นึกขอบใจที่วันนี้มีเด็กหญิงรติชาอยู่ด้วยทำให้ทุกอย่างนุ่มนวลลงมาก เขาสังเกตสีหน้าของทั้งอังกูรและณิชชาพบว่าไม่ได้แย่มากนัก จึงปลีกตัวออกมาอย่างโล่งใจ
ยงธนัทออกไปแล้ว เหลือเพียงอังกูรที่จ้องสองแม่ลูก จนเด็กหญิงเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด ณิชชาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
“หวานหวานคะ วันก่อนหนูบอกว่าอยากเจอพ่อใช่ไหมคะ”
เด็กหญิงพยักหน้างงๆ “ค่ะแม่”
“คุณพ่อของหนูมาแล้วไงคะลูก”
เธอพยักหน้าไปทางอังกูรที่มองนิ่งมา เด็กหญิงหันมามองชายหนุ่ม
“นี่คุณลุงคนเมื่อกี้นี่คะแม่”
อังกูรลุกจากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ สองแม่ลูก “พ่อเองลูกไม่ใช่ลุงนะครับ”
“แล้วทำไมลุงเพิ่งมาหาหนูล่ะคะ” เธอยังติดเรียกเขาว่าลุง แต่คำถามนั้นก็ทำเอาชายหนุ่มไปไม่เป็น
“คุณพ่อไปทำงานมาค่ะลูก แม่ก็ช่วยพ่อทำงานที่นี่ไงคะ” ณิชชาช่วยพูด เด็กหญิงพยักหน้าทำเหมือนเข้าใจ แต่ที่จริงคือแม่เธอว่าแบบใดเธอก็เออออตามนั้นเพราะหวานหวานติดแม่มาก
“ขอพ่อกอดหน่อยได้ไหมคะลูก” อังกูรอ้าแขนออกรอรับ เด็กหญิงมองอย่างลังเลเธอหันไปมองมารดาอีกครั้ง เมื่อณิชชาพยักหน้าให้เด็กหญิงจึงโผเข้าหาอ้อมกอดที่รอรับอยู่
ชายหนุ่มกอดร่างเล็กๆ ด้วยความรู้สึกที่เต็มตื้นในหัวใจ นี่เป็นลูกอีกคนที่เขาไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้จึงเริ่มเข้าใจณิชชาว่าเธอเองก็คงอยากกอดลูกชายเช่นกัน
“พ่อรักน้องหวานหวานนะคะลูก”
เธอยอมให้กอดชั่วครู่ก่อนจะขยับตัวยุกยิก ชายหนุ่มจึงปล่อยลูกให้กลับไปหาแม่ของเธอ
“เดี๋ยวผมไปส่งบ้าน ณิชบอกทางด้วยนะ”
บนรถยนต์ที่วันนี้อังกูรเป็นคนขับเอง ชายหนุ่มเลี้ยวรถไปอีกทางที่ไม่ใช่เส้นทางที่หญิงสาวบอก
“ไปรับน้องวินก่อนครับ” เขาบอกสั้นๆ แต่นั่นก็ทำให้ณิชชาดีใจมาก ส่วนหวานหวานเริ่มสงสัยแต่หญิงสาวก็ได้แต่ยิ้มให้
“ณิชยังไม่มีรถใช่ไหม เดี๋ยวผมออกรถให้คันนึงเอาไว้ใช้ขับมาทำงานหรือรับส่งลูกดีไหม” เขาเสนอ
“ไม่ดีกว่าค่ะ แบบนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว” เธอไม่กล้ารับเงินเขามากกว่านี้ เพราะหกปีที่อังกูรส่งเรียนมันก็หมดเงินไปเยอะมากแล้ว เธอไม่กล้าคิดยอดรวมด้วยซ้ำว่าเขาจ่ายให้เธอไปเท่าไหร่
อังกูรเองก็คิดเรื่องเดียวกัน ยอมรับว่าเขาเองเคยแคลงใจเรื่องณิชชาอยากกลับมาหาลูกเพราะรักน้องวินหรือเป็นเพราะเรื่องเงินกันแน่ เพราะยอดค่าใช้จ่ายของเธอที่อยู่เมืองนอกซึ่งยงธนัทเป็นคนทำเรื่องโอนจ่ายนั้นค่อนข้างสูงทีเดียว เขาเคยเข้าใจว่าเธอเป็นพวกติดหรูอยู่สบายเกินตัว แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าเป็นเพราะเธอต้องเลี้ยงน้องหวานหวานด้วยอีกคน และถ้าต้องเลี้ยงเด็กเขามองว่าเงินรายเดือนนั่นน้อยไปด้วยซ้ำ
“แล้วณิชเลี้ยงลูกพอได้ยังไง เงินแค่นั้น”
“พอค่ะ ก็กินใช้ประหยัดได้แต่ของลูกณิชก็ไม่เคยประหยัดนะคะ คุณไม่ต้องห่วงว่าณิชเลี้ยงลูกไม่ดี”
“ผมไม่ได้ว่าแบบนั้น” เขาปรายตามองเด็กหญิงที่เคลิ้มหลับที่เบาะหลัง “แต่ผมรู้สึกผิดจริงๆ ถ้าผมใส่ใจมากกว่านี้ ก็คงไม่ต้องรอให้ลูกอายุแปดขวบค่อยเจอกัน”
“เรื่องมันผ่านมาแล้วค่ะ ณิชเองก็ผิดที่คิดไปเอง” เธอตอบเมื่อเขายอมรับผิดง่ายๆ ณิชชาเองก็เริ่มมองความผิดของตนเองเช่นกัน
เด็กชายรติวัชร์มองคนแปลกหน้าบนรถอย่างแปลกใจ แต่ก็ยอมยกมือไหว้หญิงสาวอย่างเด็กว่าง่าย
“สวัสดีครับ”
“น้องวิน สวัสดีครับลูก” ณิชชาแอบร้องไห้ ในขณะที่เด็กสองคนมองหน้ากันสักพัก ก่อนที่เด็กชายผู้ที่เป็นแฝดพี่จะเป็นคนยิ้มให้ก่อน
อังกูรจอดรถที่สวนสาธารณะใกล้โรงเรียนลูก ชายหนุ่มเรียกเด็กๆ ลงมาทั้งสองคนพร้อมกับณิชชาที่ลงมาด้วย
“น้องวินครับ อยากเจอแม่ใช่ไหมลูก” เขาถามเด็กชายหลังจากที่เราสี่คนนั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนกันแล้วเรียบร้อย
“ครับพ่อ” แววตาของเขาเต็มไปด้วยความดีใจ น้องวินมองไปที่ณิชชาหรือว่าน้าคนสวยๆ จะเป็นแม่ของเขา
“แม่ของลูก แม่ณิชไงครับลูก” อังกูรบอกลูกชายน้องวินมองเธออย่างลังเล
“แม่จริงๆ เลยเหรอครับ แม่เป็นแม่ของวินจริงๆ เลยใช่ไหม” เขาถามย้ำ เด็กแปดขวบค่อนข้างรู้ความมากแล้ว สามารถเข้าใจในเหตุและผลได้ในระดับหนึ่ง
“ใช่ลูก ส่วนนี่หวานหวานก็เป็นน้องสาวของลูก ลูกมีฝาแฝดนะ” อังกูรแนะนำเด็กหญิงและหันไปคุยกับเจ้าตัว
“น้องหวานหวานคะ นี่พี่วินพี่ชายของหนูไงลูก หนูสองคนเป็นพี่น้องเป็นฝาแฝดกันนะคะลูก”
“ฝาแฝดคืออะไรครับ” น้องวินถาม
“ฝาแฝดก็คือคนที่เกิดพร้อมกันค่ะ น้องวินกับหวานหวานอยู่ในท้องแม่พร้อมกัน เกิดมาไล่ๆ กันห่างกันไม่กี่นาทีเองลูก” ณิชชาตอบแทน
น้องวินทำท่าตื่นเต้น “ดีจังเลยครับ วินชอบมีฝาแฝด” เขาเดินไปหาหวานหวานยื่นมือให้เด็กหญิงจับ
“ฝาแฝดมีไว้ทำไมคะแม่” หวานหวานถามบ้างทำให้ทั้งพ่อและแม่หัวเราะ
“ฝาแฝดมีไว้เป็นเพื่อนกันไงลูก ในอนาคตลูกก็จะมีเพื่อนคู่คิด ช่วยดูแลกัน รักกัน ก็เหมือนมีพี่มีน้องแต่ฝาแฝดเราอาจจะสนิทกันมากกว่าพี่น้องทั่วไป” ณิชชาตอบ
“งั้นมีก็ได้” หวานหวานยื่นมือให้น้องวินจับ
“แม่เป็นแม่วินจริงๆ ใช่ไหมครับ” เด็กชายยังคงถาม
“ครับลูก แม่ไปเรียนต่อกับหวานหวาน เลยไม่ได้เจอลูก แม่ขอโทษนะคะ” ณิชชาตอบลูกชายเสียงอ่อน
“แม่ไม่ไปไหนแล้วแน่นะ หวานหวานด้วยใช่ไหม” น้องวินถามย้ำ
“แม่กับน้องจะไม่ไปแล้วลูก เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะครับ” อังกูรตอบแทน ทำให้ณิชชาสะดุดหู
“หมายความว่ายังไงคะ ที่คุณบอกน้องวินแบบนั้น” เย็นนั้นหลังจากที่พวกเขารับประทานอาหารที่บ้านของณิชชาเสร็จแล้ว เด็กๆ เล่นเกมตัวต่อกันในห้องนั่งเล่น ณิชชากับอังกูรช่วยกันเก็บโต๊ะเธอจึงได้โอกาสคุยกับเขาตามลำพัง
“แล้วณิชจะให้ผมตอบลูกแบบไหนล่ะ จริงๆ ผมก็หมายความตามที่พูด เราเป็นพ่อแม่ที่ดีของลูกได้ไหมช่วยกันเลี้ยงลูก”
“ค่ะก็เห็นด้วย” ณิชชาตอบ
“งั้นต่อไปเดี๋ยวเราตกลงกันเรื่องดูแลลูก ผมอาจจะพาน้องวินมาค้างที่บ้านคุณ หรือบางทีอาจจะพาน้องหวานไปบ้านผมบ้าง”
“ก็ดีค่ะ” เธอคิดตาม “ก็โอนะคะ ถ้าวันไหนคุณต้นมีงานพาน้องวินมาที่นี่ก็ได้ ณิชดูแลลูกได้”
“ดีล” เขาตอบสั้นๆ “แล้วเรื่องของเราล่ะณิช จะให้ผมบอกพ่อแม่ว่ายังไง” เขาถามต่อ
“เราก็เป็นพ่อเป็นแม่ของลูกไงคะ ณิชว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้วนะ หรือคุณต้นคิดว่ายังไง” เธอเลิกคิ้ว
“ผมก็ว่างั้นเหมือนกัน” เขาหันไปมองเด็กๆ
“เราจะช่วยกันเลี้ยงลูก ถ้าวันไหนณิชอยากมีครอบครัวใหม่ หรือมีแฟนที่จริงจังขึ้นมา บอกผมนะ ผมโอเค” เขาตอบยิ้มๆ
“เช่นกันค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณต้น ถ้าคุณเองจะมีใครก็บอกณิชได้เหมือนกัน ณิชจะช่วยดูแลลูกเอง”
สองคนมองตรงไปที่เด็กๆ และหันมายิ้มให้กัน วันนี้เป็นวันที่ณิชชาปลอดโปร่งใจมาก ในที่สุดคนที่เธอรอเจอมานานหลายปี ก็กลับเข้ามาในวงโคจรของกันและกันจนได้ในที่สุด
ณิชชาคลอดลูกท้องที่สองแต่เป็นคนที่สี่ของบ้าน คราวนี้เป็นเด็กผู้หญิงสมใจคุณพ่อที่อยากเลี้ยงลูกสาววัยแบเบาะสักครั้ง “ดีจังเลยนะคะ บ้านเราจะได้ครึกครื้น” คุณนายอิสรีย์พูดกับสามี ขณะที่อุ้มทารกวัยแรกเกิดในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง “จริง ป๊าว่ามีอีกสักคนสองคนก็ดีนะอาตี๋ อั๊วมีสมบัติเยอะแยะแต่ลูกหลานรอรับสมบัติมีน้อยจัง ตอนนี้มีหลานแค่อาเพียง อาชมพู อาวิน หวานหวาน อาคีน แล้วก็เจ้าตัวเล็กคนนี้ส่วนอาแบมจะแต่งงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” พ่อสามีพูดไปด้วยก็มองหลานสาวคนใหม่ไปด้วยสายตาแห่งความรัก เป็นความรักที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เด็กน้อยเกิดมาในฐานะหลานของครอบครัวอีกคน“ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยครับป๊า กลัวจะไม่มีเวลาให้ลูกมากพอจะดูแลไม่ทั่วถึง” อังกูรเลี่ยงไปก่อน ตัวเขาและภรรยาเคยคุยกันเรื่องนี้ว่าเธอจะทำหมันเลยหรือไม่ในตอนที่คลอดลูกคนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะณิชชาลังเล ส่วนอังกูรเองก็เห็นว่าเธอยังอยู่ในวัยสาวจึงตกลงใจว่าหลังคลอดจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นไปก่อนเด็กหญิงพุดพิชชาหรือ “น้องวุ้น” มีสุขภาพแข็งแรงดี เธอมีอาการร้องไห้ในช่วงดึกหรือโคลิกอยู่สามเดือนเต็ม ทำเ
วันนั้นทั้งอังกูรและณิชชาเหมือนได้ย้อนกลับไปเติมเต็มความสัมพันธ์ส่วนที่ขาดหายไประหว่างเขาสองคน นั่นคือการ ‘จีบ’ กันนั่นเอง ชายหนุ่มพาเธอไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ จากนั้นก็เป็นการไปใช้เวลาละเลียดอาหารและขนมอร่อยในร้านที่ณิชชาเป็นฝ่ายเลือกและปิดท้ายด้วยการไปช็อปปิง“เอาเสื้อแบบนี้ไปบ้างไหมคะ สดใสดี” ณิชชาทาบเสื้อฮาวายพื้นขาวมีลายสีน้ำทะเลลงบนไหล่สามี เหตุเพราะว่าอังกูรมีแต่เสื้อผ้าสีพื้นในตู้ ไม่ว่าจะเป็นสีขาวล้วน เทาล้วน น้ำเงินล้วน หรือดำสนิทก็ตามและสูทหรือเนกไทก็มักจะเป็นไปในทางเดียวกัน“ถ้าณิชว่าดีก็เลือกมาให้เฮียหน่อย” ปีนี้เขาอายุสามสิบเจ็ดย่างสามสิบแปดอยู่แล้วในขณะที่ณิชชาอ่อนวัยกว่าถึงสิบปีเต็ม อังกูรจึงเริ่มอยากหันมาดูแลตัวเองเพราะไม่อยากให้ดูว่าอายุมาก ในขณะที่ณิชชากำลังเป็นสาวสะพรั่งเต็มเนื้อเต็มตัวณิชชาเลือกเสื้อผ้าให้เขาใหม่หนึ่งเซตใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุดลำลองสำหรับวันพักผ่อนหรือไปเที่ยวไหนกับครอบครัว ส่วนเสื้อผ้าทำงานของเขาเธอมองว่าเหมาะสมดีอยู่แล้วจากนั้นอังกูรพาณิชชาไปร้านจิวเวลลี่เพื่อหาแหวนเพชรวงเล็กๆ สำหรับให้เธอใส่ได้ทุกวัน เพราะว่าหญิงสาวเคยบอกว
เนื่องจากณิชชาตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่จึงแนะนำให้ทั้งสองจัดพิธีแต่งงานก่อนที่จะคลอด เพราะเกรงว่าหากเวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้ พวกเขาจะต้องยุ่งกับภารกิจเลี้ยงลูกอ่อนไปอีกยาวเป็นปีแน่นอน ดังนั้นพิธีมงคลสมรสจึงถูกจัดขึ้นในอีกสองเดือนต่อมา"เหนื่อยไหมณิช นั่งก่อนเฮียให้คนจัดโต๊ะกินข้าวแล้ว รอสักเดี๋ยว” อังกูรถามหลังจากที่จบพิธีช่วงครึ่งวันเช้าซึ่งเป็นพิธียกน้ำชาแบบธรรมเนียมจีน บ่าวสาวจะมีเวลาพักผ่อนส่วนตัวในช่วงบ่ายประมาณสามชั่วโมง ก่อนที่จะต้องไปแต่งตัวสำหรับงานเลี้ยงช่วงค่ำชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองว่า “เฮีย” ตามธรรมเนียมของครอบครัว ตั้งแต่ที่ตกลงใจเรื่องจัดงานแต่งเป็นเรื่องเป็นราวและพาเธอเดินสายแจกการ์ดให้กับญาติๆ และผู้ใหญ่ที่นับถือ ณิชชาเองแรกๆ ไม่ชินปากแต่นานไปเธอก็เรียกเขาว่าเฮียได้แบบเคยชินไปเอง“หิวค่ะแต่ไม่มาก...รอได้ เด็กๆ จะขึ้นมากันหรือยังคะเฮีย”“กำลังมาน่ะเฮียโทรลงไปตามแล้ว เล่นกันอยู่ที่ห้องป๊าม้าถามแล้วว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกัน เฮียก็เลยบอกให้พี่เลี้ยงพาขึ้นมาให้หมดทั้งสามคน” ทั้งสองอยู่ในห้องพักชั้นสามที่บ้านใหญ่ซึ่งเป็นโซนส่วนตัวของอังกูรทั้งชั้น เดิมป
เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามพิกัดที่ได้จากคนร้ายส่งมา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบที่แฝงตัวเป็นคนเก็บขยะได้จับกุมกำพลและเมลินดาอย่างง่ายดาย เพราะกำพลไม่สู้อยู่แล้วเนื่องจากกลัวถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนเมลินดาก็แพ้พิษมดแดงจนเกาไม่หยุดทำให้หลบหนีไม่รอด“แล้วเด็กสองคนอยู่ไหน” “ฉันจะไปรู้ได้ไง พวกมันหนีไปตั้งนานแล้ว” เมลินดาปฏิเสธว่าไม่รู้ ทำให้เธอถูกสอบสวนเพิ่มอย่างหนัก“ลูกหายไปที่ไหนคะ” ณิชชาร้องไห้เมื่อไม่พบว่าลูกสองคนอยู่ในบ้านเมลินดา“ใจเย็นๆ นะณิช ลูกอาจจะหลบอยู่แถวนี้” อังกูรปลอบใจหญิงสาวทั้งที่ตัวเองก็หนักใจ “ณิชเกิดอะไรขึ้นลูก” ป้าน้อยที่ได้ยินเสียงและผู้คนมากมายในย่านละแวกบ้านก็อดไม่ได้ที่จะมาดู มีชาวบ้านคนหนึ่งเล่าเรื่องให้แกฟัง รู้รายละเอียดประดุจป้าข้างบ้านทั้งที่ก็เพิ่งมาก่อนแกไม่นาน ป้าน้อยจึงตกใจมาก “เออ แล้วคีนก็หายไปนานละด้วยนะ บอกป้าว่าจะไปจับหิ่งห้อยในสวนน่ะ” แกตบเข่าฉาด“คีนหายไปตอนไหนคะป้าน้อย” ณิชชารีบถาม“น่าจะสักทุ่มนึงนะ เขาบอกว่าจะไปดูหิ่งห้อยในสวน ละเด็กมันไปประจำป้าเห็นว่าเขาไม่ได้ออกนอกเขตบ้านก็เลยไม่ได้ว่าอะไร” แกฉุกใจคิดว่าตอนแกเด
เด็กชายเขมินท์มองภาพที่วินและหวานหวานถูกพาเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้านอีกคนอย่างไม่เข้าใจ ตอนนั้นเขากำลังเดินมาหาหิ่งห้อยในสวนหลังบ้านของนางน้อย จึงทันได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวพอดี“ไม่เห็นอาณิชบอกเลยว่าพี่วินกับพี่หวานจะมา แล้วพี่วินมากับป้าเมลได้ยังไง” เด็กชายไม่เข้าใจเลย แต่ความที่เมลินดาเสียงดังและหงุดหงิดทำให้เขาเข้าใจว่านี่อาจจะไม่ใช่สภาวะปกติ ทำให้เขาแอบดูด้วยความกลัวและระวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นเด็กชายวัยเจ็ดขวบลัดเลาะผ่านเข้าไปในเขตบ้านของเมลินดา ที่มีเพียงแนวกอกล้วยห่างๆ เป็นรั้วธรรมชาติ เขาแอบฟังเมลินดาและกำพลพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งจึงได้คำตอบให้ตัวเอง“พี่วินกับพี่หวานถูกป้าเมลจับตัวมาแบบในหนังเลย” ทันทีที่เห็นกำพลขับรถออกไป ซึ่งเขาได้ยินว่าเมลินดาสั่งให้ไปซื้ออะไรมาให้คู่แฝดกิน เด็กชายจึงหาทางแอบเข้าไปในตัวบ้านอย่างมุ่งมั่นว่าจะไปช่วยญาติทั้งสอง เขาเปิดประตูหลังบ้านที่ไม่เคยมีกลอนล็อกดังนั้นเขาจึงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย“คีนมาช่วยแล้วพี่แฝด” “หวานหวานใจเย็นนะ ไม่ต้องกลัว” วินปลอบน้องสาว“วินไม่กลัวเหรอ” หวานหวานย้อนถามเด็กชายส่ายหน้าทันที “ไม่กลัว”“ทำไมล่ะ ไม่กล
“นี่เราต้องเอาไอ้เด็กเวรสองคนนี่ไปด้วยจริงๆ เหรอเมล” กำพลแฟนหนุ่มของเมลินดาเริ่มทนไม่ไหว หลังจากที่ต้องรับมือกับคู่แฝดมานานเกินห้าชั่วโมง“พี่ว่าเราเอาสมบัติที่ติดตัวมันมาไปขายแล้วปล่อยมันไว้ตรงไหนสักที่ก็พอมั้ง” “โอ๊ย มันจะมีอะไรติดตัวมาสักเท่าไหร่ ไอ้สร้อยทองจี้เล็กๆ ไม่น่าจะเกินบาทนึง สองเส้นก็สองบาทได้ยังไม่ถึงแสนเอาไปทำอะไรได้ อย่าโง่สิพี่” เนื่องจากวันนี้เด็กๆ ใส่ชุดไทย อันธิกาจึงเลือกสร้อยคอทองคำเส้นเล็กๆ มาให้หลานใส่เป็นเครื่องประดับ และมันก็มีมูลค่าไม่มากหากจะนำไปขาย และยังเสี่ยงกับการถูกจับอีกด้วย “แต่พี่กลัวถูกจับ กลัวติดคุกนี่มันคดีอาญาเลยนะเมล” กำพลเริ่มใจคอไม่ดี“ปล่อยมันไปตอนนี้คิดเหรอว่าจะไม่โดนคดี โดนตั้งแต่ตีหัวนังเอมี่ละจับมันไปขังในห้องเก็บของหลังห้างแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เลือดไหลหมดตัวตายไปหรือยัง สาระแนดีนัก” เมลินดาพูดต่อด้วยความฉุนเฉียว “ละไอ้นาฬิกาของอีเด็กนี่ที่โยนทิ้งไป ก็ไม่รู้ว่าตำรวจตามเจอหรือยังเถอะ”“หนูหิวข้าว I'm hungry ” หวานหวานตะโกนขึ้นมาจากเบาะหลัง “เงียบ” เมลินดาหันไปตวาดใส่“ก็หนูหิว นี่มันเย็นแล้วนะคะคุณป้า”