เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้ณิชชาชะงักมือจากการเตรียมทำอาหาร วันนี้เป็นวันหยุดทั้งเธอและลูกสาวต่างก็ตื่นสายกว่าทุกวันเป็นเรื่องปกติ และเธอเองก็ไม่ได้มีแพลนจะพาลูกไปไหนในวันนี้ด้วยจึงตั้งใจจะทำอะไรกินกันง่ายๆ ที่บ้านสองแม่ลูก
“หนูไปดูเองค่ะแม่”
เด็กหญิงรติชาหรือน้องหวานหวานวัยแปดขวบลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปดูยังหน้าบ้าน
“คุณพ่อ...” นาทีต่อมาเสียงของหวานหวานดังขึ้นลั่นบ้านทำให้ณิชชาขมวดคิ้ว อังกูรมาหรือ? แล้วเหตุใดไม่เห็นเขาบอกล่วงหน้าว่าจะมา
อังกูรจอดรถที่หน้าบ้านชายหนุ่มลงจากรถพอดีกับที่หวานหวานเดินไปถึงหน้าบ้านเพื่อเปิดประตูรั้วให้
“คุณพ่อสวัสดีค่ะ มาคนเดียวเหรอคะ” เด็กหญิงมองไปทางด้านหลังของเขา เผื่อว่าจะเห็นคู่แฝดของตัวเองมาด้วย
“วินไปเรียนพิเศษน่ะลูก พ่อไปส่งเขามาแล้วเลยมาหาลูกที่บ้าน หนูกับแม่กินอะไรหรือยังคะ” ชายหนุ่มลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเอ็นดูพลางถามถึงมารดาของแก
“แม่ทำกับข้าวอยู่ค่ะ”
หวานหวานเข้าไปในครัวบอกมารดาว่าคุณพ่อมา เด็กหญิงรินน้ำใส่แก้วจะยกไปให้คุณพ่อแต่อังกูรตามเข้ามาพอดี
“ไม่ต้องยกไปให้พ่อหรอกลูก เดี๋ยวพ่อช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่า หนูออกไปดูทีวีข้างนอกก่อนไหม”
หวานหวานพยักหน้า “ได้ค่ะ งั้นหนูไปดูการ์ตูนก่อนนะคะ”
หลังจากที่ลูกออกไปแล้วณิชชาหันมามองคนที่บอกว่าจะช่วยเธอทำกับข้าวแล้วถามเขาตรงๆ “คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ หรือแค่มาหาลูกเฉยๆ อย่างเดียว”
“ผมมีธุระกับณิชด้วย จะชวนณิชกับลูกไปดูบ้านใหม่”
หญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดชะงักทันที “ดูบ้าน คุณจะซื้อบ้านให้ลูกเหรอคะ” เธอทำสีหน้าครุ่นคิดคิ้วขมวดเหมือนจะไม่เห็นด้วย
“ซื้อให้ณิชนั่นล่ะ บ้านนี้ก็บ้านเช่าไม่ใช่เหรอ”
เขามองไปรอบๆ บริเวณที่พักของสองแม่ลูกซึ่งมีลักษณะเป็นบ้านแฝดชั้นเดียว มีพื้นที่ไม่ถึงสามสิบตารางวา มันอาจจะเหมาะหากเธออยู่ตามลำพังกับหวานหวานสองคน ซึ่งก็ดูไม่ได้แคบจนเกินไปแต่หากว่าเขาพาน้องวินมาค้างที่นี่ตามที่ตกลงกันไว้ มันก็คงไม่เหมาะสมอีกแล้ว
“ค่ะ แต่ณิชกำลังจะทำเรื่องซื้อกับเจ้าของ”
หญิงสาวกัดริมฝีปากเมื่อพูดเรื่องนี้ เข้าใจว่าเขาอาจจะคิดว่าบ้านหลังนี้มันเล็กเกินไป
“ถ้าณิชอยากซื้อก็ซื้อผมไม่ได้ห้ามอะไร ซื้อแล้วปล่อยเช่าก็ได้บ้านนี้มันก็น่ารักดี ส่วนบ้านใหม่ผมว่ามันเหมาะกับเด็กๆ มากกว่า น้องวินเองปกติก็มีห้องส่วนตัว เวลาแกมาค้างกับแม่กับน้องถ้าเป็นบ้านนี้ณิชจะมีห้องให้ลูกรึเปล่า”
หญิงสาวนิ่งไม่ตอบ อังกูรจึงเปลี่ยนเรื่อง “ณิชจะทำอะไร ให้ผมช่วยก็ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ณิชทำเองน่าจะดีกว่าคุณออกไปนั่งกับลูกข้างนอกเถอะ” เธอไม่คิดว่าผู้บริหารระดับสูงอย่างเขาจะทำงานครัวเป็น เอาแค่ว่าการที่เขาเข้ามาถึงในครัวก็เกินความคาดหมายของเธอแล้ว
“ผมก็ทำอาหารเป็นเหมือนกัน บอกมาเถอะว่าต้องทำอะไรบ้าง”
ชายหนุ่มพับแขนเสื้อขึ้นให้ดูทะมัดทะแมงพลางสบตาณิชชาที่มองแบบไม่อยากเชื่อ
“เอ้า... ทำไมมองแบบนั้น สมัยไปเรียนต่อผมก็ทำอะไรเองหมดละ เมืองนอกไม่ได้หาแม่บ้านง่ายเหมือนที่ไทยเมื่อไหร่”
“อ๋อ.. ค่ะ” ณิชชาพยักหน้าเมื่อคิดตามแล้วก็เห็นจริง “กะว่าวันนี้จะทำไข่ตุ๋นให้ลูกค่ะ กับผัดผักรวมหมูกรอบเมื่อวานณิชทำหมูกรอบไว้แล้ว คุณจะทานด้วยไหมคะ”
“ก็ดีครับ หิวแล้วเหมือนกัน งั้นให้ผมช่วยอะไรบ้างล่ะ”
“งั้นคุณช่วยหั่นผักก็ได้ค่ะ เดี๋ยวณิชจะทำไข่ตุ๋นก่อน”
หญิงสาวชี้ไปที่ผักหลายชนิดที่วางบนโต๊ะเตรียมอาหาร ส่วนตนเองหยิบหอมแขกมาสองสามหัว ปอกเปลือกออกล้างน้ำผึ่งให้สะเด็ดแล้วนำมาหั่นเป็นแฉกๆ แบบไม่ให้ขาดจากกัน เมื่อวางเรียงลงไปในถ้วยแก้วก็บานออกคล้ายดอกบัว ณิชชาทำแบบเดียวกันกับหอมทั้งหมด จากนั้นนำไข่ไก่มาตอกใส่ถ้วยผสม ใส่นมสดลงไปกะปริมาณให้พอดีตามความเคยชิน เติมเครื่องปรุงรสอย่างน้ำปลาและซอสถั่วเหลืองแล้วใช้ส้อมตีให้เข้ากัน จากนั้นโรยหอมเจียวหั่นฝอยลงไปแล้วเทไข่ที่ปรุงแล้วลงไปในถ้วยแก้วสำหรับนึ่ง
อังกูรมองท่าทางของเธอที่ทำงานในครัวอย่างคล่องแคล่ว เขาเชื่อสนิทใจว่าณิชชาเลี้ยงลูกมาเองตามลำพังที่เมืองนอกได้จริง โดยฝากเดย์แคร์เฉพาะในช่วงที่เธอไปเรียน
“ณิชพาลูกขึ้นเครื่องไปได้ยังไง ในเมื่อผมไม่เคยเซ็นยินยอมตอนหวานหวานทำพาสปอร์ต” จู่ๆ เขาก็โพล่งเรื่องที่คาใจมานานแม้ว่าจะพอเดาคำตอบที่แท้จริงได้อยู่แล้ว แต่ก็อยากฟังให้ชัดเจนจากเธอเอง
“เอ่อ...” ณิชชาอ้ำอึ้ง เธอคิดว่าหากอังกูรรู้เรื่องหวานหวานประเด็นนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เขาต้องไม่พอใจ
“คือว่าในใบเกิดของหวานหวาน ณิชให้ระบุว่าไม่ใส่ชื่อบิดาน่ะค่ะ” เธอตอบเสียงอ่อย แต่ในขณะนั้นมันจำเป็นมากเพราะถ้าให้อังกูรรับรองบุตรมีชื่อบิดาในใบเกิด เธอเกรงว่าอาจจะไม่สามารถเดินเรื่องทำพาสปอร์ตให้ลูกได้โดยที่เขาไม่ต้องมารับรู้
อังกูรพยักหน้า เรื่องนี้เขาเดาไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ชายหนุ่มเลื่อนตะกร้าผักที่หั่นแล้วส่งคืนให้ณิชชา
“งั้นผมจะให้ทนายจัดการเรื่องนี้ คุณไม่มีปัญหาใช่ไหมณิช”
“เรื่องอะไรนะคะ ใบเกิดลูกเหรอ”
“ใช่ ผมคงต้องขอพาหวานหวานไปตรวจดีเอ็นเอเพื่อใช้ยื่นต่อศาลใส่ชื่อพ่อในใบเกิดลูก แล้วไปรับรองบุตรอีกที”
“อ๋อ ค่ะจะไปวันไหนก็บอกนะคะจะได้ลาโรงเรียนให้ลูก”
ณิชชาหันไปสนใจหน้าเตาต่อ อังกูรเก็บขยะที่เป็นเศษผักและอื่นๆ ใส่ถุงเพราะไม่รู้จะทำอะไร จนชายหนุ่มนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
“เรื่องโรงเรียนลูก ผมว่าณิชให้หวานหวานย้ายมาเรียนที่เดียวกับวินได้ไหม ผมไม่อยากให้ลูกรู้สึกแตกต่างกันมากเกินไป”
เรื่องนี้หญิงสาวก็เห็นด้วย แต่ว่าน้องวินเรียนที่โรงเรียนนานาชาติค่าเทอมแพงหูฉี่ ณิชชาคิดว่าตนเองอาจจะไม่ไหว
“โรงเรียนน้องวินก็ดีค่ะ แต่ณิชส่งลูกเรียนไม่ไหว” เธอบอกตามตรง ไหนไหนก็มาถึงจุดนี้แล้ว
“ผมส่งลูกเรียนได้ ทำไมณิชถึงคิดว่าผมจะไม่ส่งเสียล่ะ” แม่ของลูกเขาก็ส่งเรียนมาจนจบโทมาแล้ว ทำไมเธอจึงคิดว่าค่าเทอมลูกเขาจะเกี่ยงให้เธอจ่าย
“ไม่ใช่ค่ะ ณิชไม่ได้ว่าแบบนั้น แต่ว่าเรื่องหวานหวานเป็นหน้าที่ของณิชที่ต้องเลี้ยงดูลูกเอง”
“เรื่องหวานหวานณิชเองก็ใช้เงินของผมดูแลลูกมาตลอดไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าณิชหาเองได้เมื่อไหร่ อย่าลืมสิ”
ชายหนุ่มหลุดปากพูดไปแล้วและคนฟังถึงกับอึ้ง เธอรู้สึกเหมือนถูกตบจนชาไปทั้งหน้า ความเงียบเข้ามาแทนที่บทสนทนาอยู่พักใหญ่กว่าที่ณิชชาจะหาเสียงเจอ
“ขอโทษค่ะ ณิชลืมตัวไปว่าพึ่งพาคุณมาตลอด ขอโทษนะคะ” จากนั้นหญิงสาวยกจานกับข้าวออกไปจัดโต๊ะอาหารด้านนอกเงียบๆ อังกูรจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองพูดในสิ่งที่ไม่สมควรแต่จะให้ขอโทษเขาเองก็ปากหนักจนทำไม่ได้เช่นกัน
‘ทำเฉยๆ เปลี่ยนเรื่องคุยคงไม่เป็นไรมั้ง เดี๋ยวณิชก็หายโกรธไปเอง’ เขาคิดในใจก่อนจะเดินตามออกไปสมทบกับสองแม่ลูกด้านนอก
อันธิกาหยิบโบชัวร์โครงการบ้านหรูที่วางบนโต๊ะทำงานของยงธนัทมาดูอย่างแปลกใจ เขาจะซื้อบ้านหรืออย่างไร เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมเธอจึงไม่เคยรู้มาก่อน หญิงสาวถือวิสาสะหยิบแฟ้มเอกสารที่วางด้วยกันขึ้นมาดู เห็นว่าคนรักเตรียมเอกสารสำหรับการซื้อและโอนบ้านเป็นชื่อของหญิงสาวที่เธอไม่รู้จักก็เริ่มขมวดคิ้ว“ณิชชา...ใครน่ะ ใครคือณิชชา แล้วทำไมเฮียย้งต้องซื้อบ้านให้ผู้หญิงคนนี้ หรือว่าแอบซุกเมียน้อยเมียเก็บไว้” หญิงสาวยิงคำถามใส่ยงธนัททันทีเพราะเจ้าตัวเข้ามาในห้องพอดี ชายหนุ่มหน้าซีดเมื่อประมวลผลคำถามออกว่าคนรักกำลังเข้าใจผิดไปใหญ่โต“เดี๋ยวๆ แบมจ๋า ใจเย็นนะคะ คือว่าเฮียไม่ได้ซื้อบ้านให้ผู้หญิงที่ไหนเลย” “อย่ามาตอแหล แล้วนี่อะไร” แฟ้มบินเฉียดหูเขาไปนิดเดียวเพราะยงธนัทหลบทัน“แบมใจเย็น เฮียอธิบายได้” เขารีบยกมือเป็นเชิงยอมแพ้“ต้องอธิบายอะไรอีก ชัดขนาดนี้” อันธิกาหันรีหันขวางแต่ไม่รู้จะโยนอะไรที่มีน้ำหนักพอใส่หัวคนเจ้าชู้อีก“แบมๆๆ เฮียไม่ได้ซื้อ บ้านนี่เฮียต้นเป็นคนซื้อต่างหากไม่เชื่อแบมดูบนโต๊ะมีเช็คที่เฮียต้นเซ็นไว้เป็นค่าบ้านสิ” ยงธนัทรีบพูดเมื่อเห็นสาวเจ้าหยิบที่ทับกระดาษที่
หลังจากที่ณิชชากลับลงไปทำงานแล้ว บรรดาทีมผู้ช่วยเลขาของอังกูรก็เกิดเสียงซุบซิบว่าอังกูรเรียกหญิงสาวขึ้นมาทำไมเป็นนานสองนาน“ทำงานกันได้แล้วจ้ะพวกเธอ ถ้าคุณย้งหรือบอสมาเจอระวังจะเป็นเรื่อง” สุพรรษาเดินมาปรามเมื่อมองมายังเห็นสาวๆ สามสี่คนจับกลุ่มคุยกันไม่เริ่มทำงานสักที“คุณสุคะ เมื่อกี้ณิชขึ้นมาทำอะไรเหรอคะ” เมลินดาเป็นตัวแทนหมู่บ้านถามเรื่องที่อยากรู้ สรรพนามที่หล่อนใช้เรียกณิชชาทำให้สุพรรษาชะงักมองหน้าเจ้าตัว“ทำไมเรียกคุณณิชชาเขาสั้นๆ แบบนั้น รู้จักกันเหรอจ๊ะ” “ใช่ค่ะ เมลกับณิชเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ก็คนที่ตอนนั้นเมลบอกคุณสุว่ามีเพื่อนทำงานอยู่ที่ออฟฟิศข้างล่างไงคะ ที่ว่าจะชวนมาสมัครงานข้างบนแต่ว่าณิชเขาบอกว่าไม่ถนัด” “อ้อ คุณณิชเองหรอกเหรอที่เราบอกพี่ตอนนั้น” “ค่ะคนนี้ละ เมลเลยไม่เซ้าซี้เพราะว่าณิชอาจจะมีวุฒิไม่ถึงก็ได้ เจ้าตัวเขาคงรู้เลยบอกว่าไม่ถนัด” เมลินดาพูดต่อสุพรรษาขมวดคิ้ว “คุณณิชเนี่ยนะ วุฒิไม่ถึง” เท่าที่เธอรู้ข้อมูลมาคือณิชชาจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารองค์กรจากต่างประเทศด้วยซ้ำแล้วจะเอาอะไรมาบอกว่าวุฒิไม่ถึง เธอคิดว่าตำแหน่งปัจจุบันท
ณิชชาไปทำงานในเช้าวันต่อมา เธอได้รับคำสั่งจากหัวหน้าฝ่ายว่าให้ขึ้นไปที่ฝ่ายบริหารชั้นเก้า ซึ่งเป็นชั้นที่พนักงานรู้กันดีว่าเป็นพื้นที่ของประธานกรรมการบริหารคืออังกูรและทีมผู้ช่วย เลขานุการของเขาทำงานที่ชั้นนั้น“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะพี่หยง” “พี่ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ คุณสุเลขาของคุณอังกูรโทรลงมาเองเลย บอกว่าถ้าณิชมาแล้วให้ขึ้นไปพบท่านข้างบน” ตันหยงหัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของณิชชาแจ้ง เธอมองลูกน้องสาวอย่างเป็นห่วงเพราะว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครในแผนกที่ถูกอังกูรเรียกขึ้นไปเช่นนี้ณิชชาตรงไปยังลิฟต์ตัวพิเศษที่เป็นตัวเดียวที่จะขึ้นไปได้ถึงชั้นเก้า พนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้ารีบกดลิฟต์ให้เธอทันทีเมื่อหญิงสาวแจ้งชื่อตัวเอง“สวัสดีค่ะ” สุพรรษารีบลุกขึ้นเมื่อเห็นเธอก้าวออกจากลิฟต์“ดิฉันมาพบคุณอังกูรตามที่มีแจ้งลงไปน่ะค่ะ” ณิชชาบอกจุดประสงค์ที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้อยู่แล้ว“บอสรอคุณณิชอยู่ค่ะ เชิญทางนี้เลย” เลขานุการสาวรีบเปิดประตูห้องทำงานของเจ้านายหลังจากที่เคาะให้สัญญาณแล้ว จากนั้นเธอปิดประตูให้ความเป็นส่วนตัวกับคนในห้องเต็มที่ณิชชาเดินเข้าไ
รับประทานอาหารแล้วอังกูรพาหวานหวานกับณิชชาออกไปข้างนอก โดยที่แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้อยากไปแต่ก็ขัดไม่ได้ เมื่อเขาบอกว่าจะพาไปรับน้องวินที่โรงเรียนเรียนพิเศษแล้วเลยไปดูบ้านใหม่ ท่าทางดีอกดีใจของลูกที่จะได้ไปไหนมาไหนกับพ่อทำให้หญิงสาวอดทนเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ “สวัสดีฮะพ่อ แม่ หวานหวานด้วย” เด็กชายรติวัชร์เปิดประตูรถด้านหลังขึ้นนั่งหลังจากที่สวัสดีบิดามารดาและทักทายน้องสาวฝาแฝดแล้ว หวานหวานจึงยุกยิกเดินข้ามจากเบาะหน้าจะนั่งกับคู่แฝด“ณิชมานั่งหน้าดีกว่าครับ ข้างหลังให้เด็กๆ นั่งด้วยกัน” ณิชชาถอนใจ ไม่อยากโต้เถียงกับเขาต่อหน้าลูกจึงทำตามเงียบๆ โดยที่ไม่ได้ตอบอะไร แต่อาการถอนใจแรงก็ทำให้อังกูรรู้ว่าเธอไม่พอใจ หรือว่าเธออาจจะยังโกรธเรื่องที่เขาพูดไม่ดีตอนก่อนกินข้าวก็ได้“เรื่องโรงเรียนลูก ผมว่าถามลูกก่อนก็ได้ว่าอยากย้ายไหม ลูกว่ายังไงเราก็ค่อยว่ากันมันยังมีเวลากว่าจะปิดเทอม” ณิชชาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเป็นคำพูด หญิงสาวหันหน้ามองไปทางนอกตัวรถสนทนาโต้ตอบกับเด็กๆ บ้างเวลาคู่แฝดมีคำถามอะไร อังกูรเห็นอาการนั้นก็ถอนใจแต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีกจนไป
เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้ณิชชาชะงักมือจากการเตรียมทำอาหาร วันนี้เป็นวันหยุดทั้งเธอและลูกสาวต่างก็ตื่นสายกว่าทุกวันเป็นเรื่องปกติ และเธอเองก็ไม่ได้มีแพลนจะพาลูกไปไหนในวันนี้ด้วยจึงตั้งใจจะทำอะไรกินกันง่ายๆ ที่บ้านสองแม่ลูก“หนูไปดูเองค่ะแม่” เด็กหญิงรติชาหรือน้องหวานหวานวัยแปดขวบลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปดูยังหน้าบ้าน“คุณพ่อ...” นาทีต่อมาเสียงของหวานหวานดังขึ้นลั่นบ้านทำให้ณิชชาขมวดคิ้ว อังกูรมาหรือ? แล้วเหตุใดไม่เห็นเขาบอกล่วงหน้าว่าจะมาอังกูรจอดรถที่หน้าบ้านชายหนุ่มลงจากรถพอดีกับที่หวานหวานเดินไปถึงหน้าบ้านเพื่อเปิดประตูรั้วให้ “คุณพ่อสวัสดีค่ะ มาคนเดียวเหรอคะ” เด็กหญิงมองไปทางด้านหลังของเขา เผื่อว่าจะเห็นคู่แฝดของตัวเองมาด้วย“วินไปเรียนพิเศษน่ะลูก พ่อไปส่งเขามาแล้วเลยมาหาลูกที่บ้าน หนูกับแม่กินอะไรหรือยังคะ” ชายหนุ่มลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเอ็นดูพลางถามถึงมารดาของแก“แม่ทำกับข้าวอยู่ค่ะ” หวานหวานเข้าไปในครัวบอกมารดาว่าคุณพ่อมา เด็กหญิงรินน้ำใส่แก้วจะยกไปให้คุณพ่อแต่อังกูรตามเข้ามาพอดี “ไม่ต้องยกไปให้พ่อหรอกลูก เดี๋ยวพ่อช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่า หนูออกไปดูทีวีข้างนอ
ในระหว่างที่ณิชชาอึ้งกับคำพูดของชายหนุ่ม ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ สามครั้งและเปิดเข้ามา เป็นยงธนัทที่พาเด็กหญิงรติชาขึ้นมาตามคำสั่งของอังกูรนั่นเอง “มาแล้วครับเฮีย” ยงธนัทเตรียมล้างหูฟังอังกูรบ่นเต็มที่ หรือดีไม่ดีอาจจะด่าด้วยก็ได้แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อ... “นายไปทำเรื่องย้ายตำแหน่งณิชขึ้นมาทำงานบนนี้ทีย้ง” สองคนที่ได้ยินหน้าตาตื่น “ไม่นะคะคุณต้น ณิชไม่ย้ายงานค่ะ” “นั่นสิฮะ แล้วจะให้ณิชทำงานตำแหน่งอะไรละเฮีย บนนี้ไม่มีตำแหน่งว่างเลย” ยงธนัทถึงกับเกาศีรษะแกรก ในขณะที่เด็กหญิงวิ่งมาหามารดา“แม่ขาเสร็จงานหรือยังคะ” ณิชชาอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตัก “ค่ะ หนูจะกลับบ้านแล้วเหรอ” อังกูรทำมือโบกไล่ให้ยงธนัทออกไปจากห้อง “นายออกไปก่อนย้ง มีไรเคลียร์กันวันหลัง” ประโยคว่าเคลียร์กันวันหลังทำให้ยงธนัทรีบออกไปอย่างรวดเร็ว นึกขอบใจที่วันนี้มีเด็กหญิงรติชาอยู่ด้วยทำให้ทุกอย่างนุ่มนวลลงมาก เขาสังเกตสีหน้าของทั้งอังกูรและณิชชาพบว่าไม่ได้แย่มากนัก จึงปลีกตัวออกมาอย่างโล่งใจ ยงธนัทออกไปแล้ว เหลือเพียงอังกูรที่จ้องสองแม่ลูก จนเด็กหญิงเริ่มขยับตัวอย่างอึ