สองวันต่อมา...
@ Dark Shadow Castle (JAPAN) “โห สวยมากกกก เจ๊คือสวยในสวย สวยโคตรๆ สวยแบบถ้าเลย์เห็นต้องยกเลิกงานแต่ง ลากไปขังไว้ในห้องไม่ให้ออกมาพบผู้คนแน่ๆ O[]O” เสียงนิลลาอวยฉันที่ยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกไปมาในชุดเจ้าสาวที่เคยใส่แล้ว แต่วันนี้มันดูแปลกตากว่าครั้งนั้น คงเพราะทรงผมที่ทำมันไม่เหมือนกันล่ะมั้ง “หรอ -/////- แต่นั่นน่าจะเป็นนิสัยดิบเถื่อนของพายุมากกว่า” “แหะๆ อย่าเปิดประเด็นนินทาพายสิคะ รายนั้นยิ่งชอบเจ้ากี้เจ้าการ บังคับให้แต่งๆอยู่ได้ ไม่สนใจคนรอบข้างเลยอ่ะ -*-” “อ้าวโรส เฮียพายมาหรอ” “เย้ยยย ไอ้ด้า! เดี๋ยวกูตบกบาล” อ๋อ! รู้ละอีกอย่างนึงที่มันต่าง คือความครื้นเครงในห้องแต่งตัวเจ้าสาวตอนนี้ ที่เต็มไปด้วยบรรดา Nightshade’s Lady มาช่วยตรวจความเรียบร้อยให้ แถมยังตื่นเต้นกว่าฉันที่สวมชุดเองซะอีก “ก็สวยจริงๆนั่นแหละนะ” โมเน่ต์พูดไปแล้วจัดระเบียบชุดเจ้าสาวของฉันไปด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นแบบเคลียร์ใจกันทั้งหมด แล้วก็นะ เพราะฉันกับติณณ์อายุห่างกันนิดหน่อย แถมยังเรียนมหาลัยปีเดียวกัน เราเลยคงสรรพนามเดิมคือเรียกชื่อกันเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องเรียกเจ๊หรืออะไรจริงจัง เพราะทั้งติณณ์และคิระ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรมันก็เรียกแค่ชื่อฉัน ไม่ก็...ยัยนี่ ยัยนั่น บางทีก็ยัยแม่มดพันปีด้วยซ้ำ -.- “อื้ม ขอบใจนะ” “แล้วนี่ป่านนี้...เจ้าบ่าวยังไม่แต่งตัวอีกหรอคะ?” “?” เสียงโรสดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งของห้อง และพอฉันหันไปก็เห็นเลย์ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในชุดเจ้าบ่าวที่ขาดแค่เสื้อสูทตัวนอกคลุมทับ “ขอแว๊บมาดูเจ้าสาวหน่อยค่ะ ทำไมต้องแต่งให้สวยขนาดนี้ด้วยคะเนี่ย ป่ะ! ไม่ต้องออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันละ -3-” หมับ! เลย์ตอบมาขำๆแล้วเดินเข้ามาแบบรีบร้อนทำท่าคว้ามือฉันจะลากไปขังจริงๆ เล่นเอาบรรดา Nightshade’s Lady วิ่งวุ่นเข้ามาขวางอย่างกับเป็นองครักษ์พิทักษ์เจ้าสาวซะงั้นอ่ะ “นั่นไง ว่าแล้วมั้ยยย ไปเลยนะเลย์ ไปๆ ชิ่ววว!” <<< นิลลา “ฮ่ะๆ เฮียใจเย็นก๊อนนน เอาเจ๊คืนม๊าาา” <<< เจด้า “ไม่ด้ายยยย แบบนี้ไม่ได้เฮีย ปล่อยยย” <<< โรเซ่ “เดี๋ยวสิเฟ้ยยย ไปเลยเราอ่ะ เค้าไม่ให้บ่าวสาวเจอกันก่อนพิธีนะ!!!” <<< โมเน่ต์ “โห่! ก็ผมคิดถึงเมียผมอ่ะ -3-!!!” ฉันยืนอยู่ท่ามกลางการฉุดกระชากกันไปมาของเลย์และเหล่า Lady ที่ไม่มีใครยอมใคร เล่นเอาขำออกมาเพราะแต่ละคนดูจริงจัง เลย์เองก็ทำหน้าอ้อนๆส่งให้ Lady ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง “โนวววว ไปๆ กลับไปซะ” “ใช่ ไปเลยป่ะ! อดทนรออีกนิดเดียวเองน่า” ทั้งโมเน่ต์และเจด้าเอาตัวเองเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างพวกฉัน แต่เลย์ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ แถมยังใช้มืออีกข้างดันหัวเจด้าออกไปให้พ้นทาง แล้วหันไปเจรจากับโมเน่ต์ด้วยสีหน้าออดอ้อนจริงจัง “ขอ 5 นาทีอยู่กับเมียแป๊บนึง นะเจ๊นะ” “ไอ้ขี้เห่อ!” “นะะะ Leader’s Wife นี่ผมเอง น้องเจ๊ไง ^^” แล้วโมเน่ต์ก็ทำหน้าเอือมๆหันมาหาฉัน ก่อนจะพยักหน้ายอมๆไป แต่ถึงจะเดินเลี่ยงออกไป แต่ก็ยังไม่มีใครเดินออกจากห้องจนเลย์ต้องหันไปเจรจาใหม่ “สาวๆคะ คือว่า... ขอ 5 นาทีไง 5 นาที แบบอยู่กันตามลำพังอ่ะ นะๆได้มั้ย ^_^” แล้วเลย์ก็โดนบรรดา Lady ถลึงตาใส่ แถมยังทำปากขมุบขมิบบ่นๆ แต่ก็ยอมเดินออกจากห้องไป ก่อนที่เลย์จะหันกลับมายิ้มร่า เลื่อนแขนมาโอบเอวฉันไว้ “ว่าไง แล้วนี่เสื้อสูทไปไหน?” “หน้าง่วงๆนะคะ แฟร์รี่เบอร์รี่หน่อยมั้ย” เลย์ใช้มือข้างหนึ่งเลื่อนมาตามกรอบหน้า แล้วมองฉันด้วยแววตาที่อบอุ่นมากจนฉันหลุดยิ้มออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ “อารมณ์ไหน?” พูดจบเลย์ก็หันไปหยิบแก้วกาแฟแก้วหนึ่งบนโต๊ะที่น่าจะถือมันเข้ามาด้วยมายื่นให้ฉัน ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่เช้า ได้จิบกาแฟสักหน่อยน่าจะตาสว่าง “ตัวเอง เค้ามีเรื่องจะสารภาพ” จังหวะที่ฉันดูดแฟร์รี่เบอร์รี่ในแก้ว เลย์ก็พูดขึ้นมา แต่อะไรกันน่ะ? ไอ้สีหน้าจริงจังจนเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนั้น “อื้ม ว่า? ไม่ได้ไปทำใครท้องมาใช่ป่ะ” “หึ...” ฉันพูดออกไปขำๆ แล้วเลย์ก็หลุดขำมานิดหน่อย ก่อนจะทำหน้าเข้มขึ้นอีกนิดและพูดต่อ “คือ...” “กี่เดือนแล้วอ่ะ? ลูกสาวหรือลูกชาย? ฝากครรภ์โรงบาลไหน? นี่ไม่ได้จะมาบอกเลิกกันใช่มั้.... ^_^?” “ที่จริง...เค้ายังไม่ได้หาซองจดหมายอีกครึ่งนึงเลย” เลย์พูดขัดฉันที่ยังติดตลกออกมา แต่ได้ฟังแบบนั้นฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอ่ะ “หรอ ก็ไปดูดิ เห็นท่านพ่อบอกว่าอยู่ข้างในเสื้อสู…” “เค้าไม่มีเสื้อนั่นด้วย” “ว่าไงนะ?” เดี๋ยวนะ เอาใหม่ ไอ้ซองจดหมายเนี่ยมันอยู่ในเสื้อ แต่เลย์บอกว่าเลย์ไม่มีเสื้อ คือยังไง? “ก็...เห็นอดีตท่านผู้นำบอกว่า เจ้าบ่าวคนก่อนมันไม่ยอมคืนให้” ...ฮะ? ฉันเลิกคิ้วมองเลย์แบบงงๆ แม็คน่ะหรอไม่ยอมคืนให้ ไม่ใช่ละมั้ง รายนั้นแคร์ฟาเดียจะตาย ล่าสุดเคนชินบอกว่าหายเงียบไปทั้งคู่ด้วย นี่ท่านพ่อคิดจะปั่นกันอีกแล้วรึไง -.- “แล้วตอนที่ได้ชุดนี้มา?” “ก็...อย่างที่เห็นค่ะ ได้มาแค่นี้ ขาดเสื้อสูทไง ^^” “อื้อ งั้นก็ใส่แค่นี้แหละ แค่นี้ก็เท่จะตาย” พูดไป ฉันก็ดูดแฟรร์รี่เบอร์รี่ในแก้วต่อแบบชิลๆอย่างไม่ถืออะไร ก็ตามนั้นแหละ ไม่มีก็ไม่ต้องใส่ แค่เสื้อสูท...ไม่ได้จำเป็นอะไร เลย์ใส่แค่นี้ออร่าเจ้าบ่าวก็พุ่งกระจาย “ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะซองจดหมายอยู่ในนั้นไง” “ไม่เห็นต้องสนเลย แค่เศษกระดาษกิ๊กก๊อก ไม่เห็นสำคัญตรงหนะ...ไหน” แล้วจังหวะที่ฉันกำลังพูดอยู่ อยู่ๆภาพตรงหน้าฉันก็มันซ้อนกันขึ้นมา พร้อมกันกับที่ระบบประมวลผลของฉันมันช้าลงไปทันตา หืม? นี่ฉันตื่นเช้าเกินไปสินะ อยู่ๆถึงได้... “สำคัญสิคะ ทุกอย่างที่ต้องอยู่ในพิธีการ...มันสำคัญทั้งนั้น เค้าแวะมาบอกว่าจะไปเอาคืน เลยมาขอกำลังใจค่ะ” เลย์ใช้แขนที่โอบฉันอยู่รั้งตัวฉันเข้าไป ก่อนเอื้อมมือมาลูบหัวฉันเบาๆอย่างทะนุถนอม แต่เดี๋ยวนะ... “จะไปเอาคืน? ที่ไหน? เมื่อหระ...ไหร่” ฉันพยายามรวบรวมสติพูดออกไป แต่เลย์ก็แค่ส่งยิ้มบางๆออกมา และไม่ยอมพูดอะไร ไม่ใช่ละ กาแฟนี่... มันมีบางอย่างที่ทำให้ฉัน.... พรึ่บ! ถึงตรงนี้ร่างฉันเริ่มยืนไม่อยู่ ก่อนจะค่อยๆเซ และทรุดลงในอ้อมแขนเลย์ ที่รวบตัวฉันไปซบที่อกเบาๆ พร้อมกันกับภาพตรงหน้าที่ใกล้จะปิดลงแบบควบคุมไม่ได้เต็มที ...ยานอนหลับงั้นหรอ? “…ที่นี่ ตอนนี้” น้ำเสียงอบอุ่นแต่ก็ดูจริงจังมากของเลย์ดังขึ้นข้างหูฉันเบาๆ ก่อนริมฝีปากนุ่มนวลจะบรรจงจูบลงบนขมับของฉัน พร้อมกับกระซิบข้างหูอีกที “พักก่อนนะคะ...แล้วเจอกันที่ลานพิธี” “ไม่เลย์...อย่าทำแบบนิ....” พรึ่บบบ! แล้วความรู้สึกสุดท้ายของฉัน คือยังไม่ทันจะพูดจบด้วยซ้ำ ร่างฉันก็ทรุดฮวบลงในอ้อมแขนเลย์ ภาพตรงหน้าปกคลุมด้วยสีดำสนิท พร้อมกันกับที่แขนแกร่งของเลย์ช้อนร่างฉันขึ้น ส่งต่อให้ใครอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาทันที...ย้อนกลับไป 2 อาทิตย์ก่อน…
“คุณเลโอมาแล้วครับท่าน” เสียงเคนชินดังขึ้นทันทีที่เลโอก้าวขาเข้ามาในห้องทำงานของผู้นำแห่ง Dark Shadow ณ ขณะนั้น ที่กำลังนั่งหันหลังจิบชา มองวิวจากหน้าต่างของห้องทำงานด้วยท่าทางสุขุม... เลโอเองก็ไม่ต่างกัน เขานิ่งเงียบ ปรับเปลี่ยนอารมณ์อย่างรู้กาลเทศะ แม้จะเพิ่งปั่นประสาทฟาเดียจนกรี๊ดลั่นและโวยวายอยู่ในลานกว้าง หลังพาดพิงถึงเฟรย่าและแสดงความมั่นใจอย่างโจ่งแจ้งมาก ว่าสภากฎอยู่เหนือทุกอย่าง “สวัสดีครับ ท่านผู้นำ” ถึงในใจจะคิดแบบติดตลกว่าจะเรียกท่านปู่ขา หรือท่านพ่อขา แบบที่ทำเฟรย่าหลุดขำ แต่สภาพความเป็นจริงไม่เอื้ออำนวยขนาดนั้น เพราะชายชุดดำนับสิบที่ยืนเรียงกันต่างก็จ้องมาที่เขาราวกับรอคำสั่งให้จัดการ ในขณะที่ท่านผู้นำยังคงนั่งหันหลัง ไม่ต้องพูดถึงเคนชินที่เคยคุยเล่นกับเขา เพราะทันทีที่ก้าวขาพ้นประตูเข้ามา หมอนั่น...ก็เลิกสนิทกันชั่วคราว สรุปง่ายๆตอนนี้เขา...ตัวคนเดียว ไม่มีใครให้พึ่งได้ และเอาแน่เอานอนอะไรกับใครในห้องนี้ไม่ได้เลย แม้แต่ประตูทางออกหรือหน้าต่างทุกบาน ก็ยังมีคนของท่านผู้นำประจำการอยู่ แบบไม่เปิดโอกาสให้หนีได้สักทาง “……” และแม้จะเอ่ยคำทักทายออกไป แต่ความเงียบก็ยังคงปกคลุมไปทั่วทั้งห้องเพราะไม่มีใครพูดอะไร แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเลโอก็ไม่ได้มีท่าทีประหม่า เขายืนนิ่งรอจนท่านผู้นำหันมา และทำใจเย็นแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมด้วยการยกมือไหว้คนที่โตกว่าอย่างตั้งใจ แต่... หมับ! พรึ่บ! ทันทีที่ท่านผู้นำหันมา บ่าของเลโอก็ถูกกดอย่างแรงด้วยฝีมือเคนชินจนร่างของเขาทรุดลงไปนั่งคุกเข่าในพริบตา ก่อนที่ชายชุดดำนับสิบจะเปลี่ยนตำแหน่งมายืนล้อมด้านหลังเลโอเอาไว้ ท่ามกลางสายตาของท่านผู้นำที่ยกแก้วชาขึ้นมาจิบชิลๆ มองเขาแบบคาดเดาอะไรไม่ได้ ‘นี่สินะ...บุคลิกเฉพาะตัวที่ยากจะอธิบายของท่านผู้นำที่เตโชเคยว่าไว้’ นั่นคือสิ่งเดียวที่เลโอคิดได้ พอได้มาเผชิญหน้าเขาอย่างจริงจัง “รฐนนท์ ธีระธาดา…” น้ำเสียงทรงพลังเอ่ยชื่อเลโอออกมา ในขณะที่ท่านผู้นำใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่หยิบเอกสารต่างๆที่เป็นข้อมูลของเลโอขึ้นมาดูช้าๆอย่างใจเย็นจนน่ากลัว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เลโอที่ดูแน่วแน่ รู้สึกสั่นคลอนขึ้นมาเลยสักนิด เพราะถ้าจะกลัวแค่โทนเสียงแค่นั้น เขาคงไม่มาถึงที่นี่... อยากได้ลูกเสือ ก็ต้องถ้ำเสือสิ เขาเคยคิดว่าบุคลิกของเฟรย่าถอดแบบเตโชมาเป๊ะๆ แต่พอได้มาเจอท่านผู้นำก็เล่นเอาเปลี่ยนความคิด นี่ต่างหาก...คือต้นแบบที่แท้จริง สองคนนั้นต่างหาก...ที่ถอดแบบมาจากท่านผู้นำแห่ง Dark Shadow ตรงหน้าเขาตอนนี้ ตึงงงง! ทิ้งระยะไปไม่นาน ลูกน้องของท่านผู้นำก็เดินเอาเอกสารหนาเป็นปึกชุดหนึ่งมาวางลงบนโต๊ะกลางโซฟา ตรงหน้าเลโอที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น หน้าปกของเอกสารระบุชัด ว่ามันเป็นข้อมูลของใครคนหนึ่งที่เคยอยู่ในสถานะสำคัญอย่างอดีตว่าที่เจ้าบ่าวของเฟรย่า คนที่เคยลอบทำร้ายเขาราวกับ...หมั่นไส้และอยากได้เธอคืนอย่างไอ้หมอนี่ ‘มควินทร์ ภัทรเดชา’ ไอ้มาโคร... แต่เลโอก็ยังไม่เข้าใจเจตนาของท่านผู้นำอยู่ดี จนท่านพูดคำหนึ่งออกมาด้วยท่าทางเรียบเฉย แต่ก็แฝงไปด้วยสงครามประสาทเล็กๆ ที่ตั้งใจปั่นประสาทเขาอย่าง.... “ทฤษฎีของเก่าของใหม่ มันใช้ตรรกะง่ายๆ... ถ้าของเก่าดีกว่า จะต้องมีของใหม่ไปทำไม” “……” สีหน้าที่ดูภาคภูมิใจในคำเปรียบเปรยนั้นบอกชัด ว่าท่านผู้นำกำลังเปรียบเทียบเขากับมาโคร สังเกตได้จากเอกสารเกี่ยวกับมันที่หนาเป็นปึก ส่วนของเขา มีแค่ไม่ถึงสิบแผ่นด้วยซ้ำ พรึ่บ! หมับ! “ดีกว่า...วัดจากอะไรหรอครับ?” ได้ฟังแบบนั้นเลโอก็ออกอาการฉุนนิดหน่อย เขาสะบัดไหล่ที่ถูกเคนชินกดไว้ แล้วลุกขึ้นเอื้อมมือไปหยิบเอกสารเกี่ยวกับมาโครตรงหน้ามาเปิดดูคร่าวๆ ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากส่งคำพูดยียวนแบบไม่เกรงกลัวออกไป “จากพื้นฐานครอบครัวที่ใช้นามสกุลภัทรเดชา?” พรึ่บ! “ตราประทับของ Dark Shadow?” พรึ่บ! “ประวัติการศึกษา?” พรึ่บ! “สกิลการต่อสู้ในแต่ละด้าน?” พรึ่บ! “หรือว่า... ความสามารถในการสวมเขาให้ลูกสาวท่าน?!” พรึ่บบบบ! เลโอไม่พูดเปล่า ในทุกถ้อยคำที่กล่าวถึงข้อมูลต่างๆของมาโครในมือ เขาก็โยนกระดาษพวกนั้นทิ้งลงพื้นไปพร้อมกัน โดยเฉพาะตอนที่พูดประโยคสุดท้าย เลโอตั้งใจเขวี้ยงเอกสารทั้งปึกที่เหลือทิ้งจนเสียงดังสนั่น ...แค่นึกถึงก็หงุดหงิดละ น้ำตาของเฟรย่าที่เขาเห็นมันในห้อง 4214 วันนั้น! และการกระทำของเลโอก็ทำให้เอกสารปึกใหญ่ในตอนนี้ กลายเป็นเพียงเศษขยะที่กองเกลื่อนอยู่บนพื้นห้องเท่านั้น เรียกสายตาจากชายชุดดำที่ยืนล้อมอยู่รอบด้านให้จับจ้องพฤติกรรมที่แสดงออกมาราวกับเขาไม่เคารพท่านผู้นำ ในขณะที่ท่าน... กึก! กลับวางถ้วยชานิ่งๆ และหันมาพูดสั้นๆแค่... “เก็บมัน” “……” แต่เลโอก็ยังนิ่งเฉยไม่ได้ทำตามคำสั่งนั้น เพราะเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อต้องการรู้ว่าอดีตว่าที่ลูกเขยของท่านผู้นำมันดียังไง แต่มาเพราะต้องการจะลบออกไป... ไอ้ความทรงจำของ DS Member ที่เคยจำ... ว่า ‘คนรักของรักษาการเป็นใคร’ “เก็บเถอะครับ” เคนชินส่งเสียงกระซิบที่แผ่วเบามาจากด้านหลัง แต่เลโอก็ไม่ได้สนใจจะฟังมัน ยิ่งไปกว่านั้น... “ถ้าไอ้เวรนั่นมันดีมาก ผมคงไม่ได้รับโอกาสให้มาถึงนี่มั้งครับ เพราะงั้น...บอกความต้องการของท่านมาตรงๆดีกว่า ผมไม่อยากอยู่ห่างลูกสาวท่านนานๆ ท่านก็น่าจะรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มัน…” “นั่นเป็นข้อมูลสำคัญ” “หึ...ไม่งี่เง่าไปหรอครับ ให้มาที่นี่เพื่ออ่านประวัติอดีตว่าที่ลูกเขยคนโปรดของทะ...” ปังงงง! “รฐนนท์! เก็บ! มัน!” พรึ่บ! แกร๊ก! ไม่ทันที่เลโอจะพูดจบ ท่านผู้นำก็ทุบโต๊ะและตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงทรงพลัง เป็นสัญญาณให้ชายชุดดำตรงเข้ามากดไหล่เลโอให้ทรุดลงกับพื้นอย่างแรงอีกครั้ง ก่อนจะชักปืนนับสิบกระบอกจ่อไปที่เลโอ ท่ามกลางเสียงตวาดของท่านผู้นำที่ดังขึ้นในหลังจากนั้น “อย่างแรกที่แกต้องรู้! สิ่งที่มควินทร์ต่างจากแก คือไม่ว่าจะเป็นอะไร... เพื่อฟาริดาแล้ว หมอนั่นก็เต็มใจที่จะทำมัน!” “…..” ได้ฟังแบบนั้นเลโอก็ถึงกับชะงัก ก่อนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าอาจจะก้าวร้าวเกินไป เลยพยายามลดโทสะที่มี ก้มหน้าลงและเอื้อมมือไปเก็บเอกสารบนพื้นอย่างว่าง่าย แต่เขาก็ไม่วาย...พูดยียวนใส่ท่านผู้นำออกไป เพราะในความรู้สึกลึกๆคิดว่าอีกฝ่ายเลือกข้างไอ้มาโครไปแล้ว “อาจเพราะผมไม่ใช่ Dark Shadow มั้งครับ เลยไม่ชินกับธรรมเนียมที่ต้องฟังคำสั่งใครเท่าหระ...” พรึ่บ! หมับ! “งั้นก็เป็นซะ!” เลโอยังไม่พูดไม่ทันจบ ท่านผู้นำก็พูดออกมาห้วนๆ และเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มตัดขอบทองบนโต๊ะโยนมาให้เขาที่รับมันไว้ได้แบบบังเอิญ ก่อนที่เลโอจะเลิกคิ้วกับสิ่งที่ได้ฟัง “...ครับ?” “ไปเปลี่ยนชุด แล้วมาประทับตรา” ท่านผู้นำตอบกลับสีหน้างงๆของเลโอเสียงเรียบ แล้วลุกเดินออกจากห้องไปแบบไม่รอให้เสียเวลา บรรดาชายชุดดำก็เดินตามหลังท่านไปทั้งหมด เลโอเลยหันไปหาเคนชินด้วยสีหน้าที่งงหนักยิ่งกว่า “กูไม่ได้หูฝาดใช่ป่ะวะ?” “ครับ ก็น่าจะไม่แหละฮะ =_=^” ไม่กี่นาทีต่อมา ร่างสูงของเลโอในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มก็มาอยู่ในห้องประทับตรา แม้จะดูงงๆ แต่จากอุปกรณ์ต่างๆที่เตรียมไว้พร้อมมาก ก็ดูเหมือนท่านผู้นำจะพูดจริง ยิ่งทำให้เลโอไม่ลังเลที่จะตั้งคำถามออกไป ในห้องที่มีแค่เขากับท่านแค่สองคนเท่านั้น “ท่านเรียกผมมาที่นี่ เพื่อประทับตรา?” “คิดว่าไงล่ะ” เสียงเรียบตอบกลับมา แต่การคาดดาอะไรจากการกระทำของท่านผู้นำไม่ได้เลยกลับยิ่งทำให้เลโอสับสน “ถอดเสื้อออกซะ” “มันไม่ง่ายไปหรอครับ นั่นลูกสาวท่านทั้งคน” ทั้งที่แค่กระตุกเชือกของชุดคลุมครั้งเดียวให้ท่านประทับตราก็จบเรื่องราว แต่เลโอก็ยังไม่ไว้วางใจในท่าทางของท่านผู้นำ เขาไม่เชื่อ...ว่าอะไรๆมันจะง่ายขนาดนั้น นี่มันครั้งแรกที่เขาได้เจอท่านด้วยซ้ำ และระดับท่านผู้นำ ก็น่าจะรู้ว่าเขาทำอะไรกับเฟรย่าไปบ้าง “หึ...แล้วมันต้องยากขนาดไหนกัน” ท่านผู้นำถามกลับมาพร้อมกับแววตามีเลศนัย ยิ่งทำให้เลโอต้องรอบคอบกับทุกสิ่งที่ตัดสินใจจะพูดหรือทำลงไป “ไม่รู้สิครับ แต่ถ้ายังไงผมก็ต้องประทับตรา ท่านจะประทับให้ผม...อยู่ในฐานะอะไ...” “ยังไม่ได้คิด นี่มันแค่ตราประทับชั่วคราว” ท่านผู้นำพูดขัดออกมาด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่ท่าทางเริ่มจะเบื่อหน่ายกับคำถามมากมายของเขา เลโอเลยแกล้งพูดลองเชิงขำๆ “งั้น...ผมเลือกตำแหน่งได้รึเปล่า?” “ทำไม? อยากประทับตรงหัวเข่า?” “เปล่าครับ อยากประทับที่เดียวกับ...เมีย” พูดไป สายตาของเลโอก็จ้องไปที่ท่านผู้นำ ท่านก็ไม่ได้มีทีท่าจะรู้สึกอะไร นอกจากถามกลับมาสั้นๆ “แล้วเมียแกประทับตรงไหน?” “……” ได้ยินแบบนั้นเลโอก็เงียบไป เพราะไม่เคยหาเจอเลยไงล่ะ ตราประทับของเฟรย่าที่ท่านผู้นำถามมา แถมทุกครั้งที่ถามถึงมัน เฟรย่าก็ไม่เคยให้คำตอบเขาเลยสักครั้ง “ถ้าตอบได้ก็จะประทับให้” หมับ! และเพราะเลโอตาดี หันไปเห็นหนังสือ Dark Shadow’s Personal Stamp ที่จะระบุตราประทับของ DS Member ทุกคนเอาไว้ เลยคว้ามันขึ้นมาเปิดดู แต่มันก็ไม่ช่วยอะไร เพราะไม่มีตราประทับของเฟรย่าอยู่ในนั้น “ผม...ไม่ทราบครับ” เลโอตอบกลับไปเสียงแผ่ว เรียกให้ท่านผู้นำกระตุกยิ้มมุมปากออกมา “หึ...เป็นผัวเมียประสาอะไร” “แต่ท่านทรา...” “จำไว้! ถ้าเป็น Member ระดับสูงที่อยู่นอกกฎอย่างรักษาการน่ะ คนที่ประทับกับคนโดนประทับเท่านั้นที่รู้ ว่าตราประทับอยู่ตรงไหน สำคัญกว่านั้น... กฎของการอยู่นอกกฎ คืออย่าเปิดเผยสถานะของเรากับใคร” ท่านผู้นำพูดด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมกับส่งสายตาให้เลโอกระตุกเชือกชุดคลุมออก ซึ่งเลโอก็ทำตามนั้นแบบไม่อิดออดอะไร แต่ก็ยังสงสัย “แปลว่าท่านไม่ได้...” “รักษาการคนเก่าประทับให้เธอ” ได้ฟังแบบนั้นเลโอก็พยักหน้าเข้าใจ และค่อยๆนั่งลง หันหลังให้ท่านผู้นำที่หยิบอุปกรณ์สำหรับประทับตราขึ้นมา และถามต่อไป “ถ้าเป็นตราประทับชั่วคราว แล้วของผมนี่เป็น Member ระดับหนะ...อึก” เลโอยังพูดไม่ทันจบ คำพูดนั้นก็ขาดตอนไปทันทีที่ท่านผู้นำเริ่มประทับตราลงไปในวินาทีแรก เล่นเอาท่านส่งคำพูดเหน็บแยมมายกใหญ่ “แค่นี้ถึงกับสะอึกเลยรึไง” “ก็ท่านเล่นไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนเลยหนิครับ ผมหันหลังอยู่จะรู้ได้ไง -.-” “หึ…” แล้วพอได้ฟัง ท่านผู้นำก็หลุดขำและยังคงตั้งใจประทับตราต่อไป ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะแล้วเสร็จ ก่อนที่ท่านจะวางอุปกรณ์ลง พร้อมกับดึงผ้าคลุมที่คลุมกระจกบานใหญ่ตรงหน้าเลโอออก และพูดออกมาเสียงเข้มจนเลโอถึงกับลุกพรวด แบบที่ไม่ค่อยคุ้นชินกับการโดนเรียกชื่อเต็มยศแบบนั้นเท่าไหร่ แกร๊ก! “รฐนนท์ ธีระธาดา จงฟัง!” พรึ่บ! “เอ่อ...ครับ” “จริงจังกว่านั้นหน่อย นี่วาระสำคัญ -_-” สีหน้าเอือมระอาถูกส่งมา เลโอก็ได้แต่คิดว่า ก็ใครมันจะไปรู้ อยู่ๆท่านก็โพล่งขึ้นมาลอยๆให้ตกใจซะได้ แล้วท่านก็ส่งเสียงเข้มมาใหม่ “หันหลัง” ได้ฟังคำสั่งนั้นเลโอก็หันหลังไปหากระจกบานใหญ่ตรงหน้าเขาอย่างว่าง่าย แต่สิ่งที่ทำให้เขาออกอาการเซ็งๆ คือแผ่นหลังกว้างที่ตอนนี้ยังเจ็บจี๊ดอยู่นิดหน่อยมันว่างเปล่าจริงจัง ไม่มีร่องรอยการขีดเขียนอะไรทั้งนั้น จะมีก็แต่รอยเลือดซิบจางๆ “นี่ท่านไม่ได้ล้อผมเล่นใช่มั้ย -_-” “……” แล้วท่านผู้นำก็ไม่ได้ตอบอะไร นอกจากดีดนิ้วหนึ่งครั้งให้ไฟในห้องประทับตราดับลงตามคำสั่ง ป๊อก! พรึ่บ! ก่อนที่ท่านจะเปิด Blacklight รอบบริเวณนั้น ปรากฏตราประทับของ Dark Shadow ขึ้นเต็มแผ่นหลังของเลโอในชั่วพริบตา ตราประทับเรืองแสงส่องสว่างออกมาจนเลโอเองก็ถึงกับกระตุกยิ้มมุมปาก พอใจที่ได้เห็นมัน “รฐนนท์ ธีระธาดา จงฟัง!” “ครับ!” ครั้งนี้เลโอขานรับคำเรียกของท่านผู้นำอย่างหนักแน่นเสียงดัง ท่านผู้นำเองก็ดูจริงจังไม่ต่างกัน “ตราประทับนี้เป็นเพียงตราประทับชั่วคราวเท่านั้น! เมื่อถึงเวลาอันควร...ทุกการกระทำที่ข้องเกี่ยวกับ Dark Shadow จงใช้ชื่อแทนตัวเองว่า... ‘รฐนนท์ ภัทรเดชา’ ตามความเห็นชอบของผู้นำคนปัจจุบัน!” “รับทราบ!” “นับจากนี้ สังกัดเดียวที่อยู่ได้และห้ามย้ายไปไหน คือสังกัดของรักษาการ!” “รับทราบ!” “และเพราะนี่เป็นตราประทับของ Member ระดับสูง! ดังนั้นตาม Dark Shadow’s Commandment หมวดที่ 8 ข้อ 13 มันจึงมาพร้อมกับภารกิจสำคัญ!” ...Member ระดับสูง? ได้ฟังแบบนั้น เลโอก็ถึงกับสมาธิหลุดไปนิดหน่อย แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น แววตาของเขาก็ยิ่งฉายให้เห็นถึงความจริงจังและความพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจ เป็นอันจบสิ้นปัญหาคาใจ... เมื่อตราประทับที่ได้มาไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ไขข้อข้องใจของเลโอว่าที่จริงท่านผู้นำไม่ได้ยกเฟรย่าให้เขาครอบครองได้ง่ายๆ แค่มันมีขั้นตอนที่ตายตัวจากท่านผู้นำและกฎของ Dark Shadow บัญญัติเอาไว้ “และภารกิจสำคัญที่แกต้องทำ...” ท่านผู้นำจ้องหน้าเลโอแบบกดดันพอควร แต่ในขณะเดียวก็ท้าทายเขาอย่างยียวน ก่อนจะพูดออกมาแบบเด็ดขาดเสียงดัง “ไปเอาชุดเจ้าบ่าวของตัวเองคืนจากมควินทร์ซะ! ทันทีที่ได้มันคืนมา...ทั้งหมดที่กล่าวไปจะมีผลตั้งแต่วินาทีแรกที่สวมใส่มัน!” “รับทราบครับท่านผู้นำ!”กลับมาที่ปัจจุบัน
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! เสียงปืนดังสนั่นปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ ในห้องเก็บตัวของสนามประลองที่มองลงไปเห็นท่านพ่อ ติณณ์ และโมเน่ต์ รวมถึง Nightshade, Nightshade’s Lady และ DS Member ทั้งหมดที่นั่งจับจ้องภาพเหตุการณ์ที่เลโอยิงกราดสู้กับชายชุดดำพยายามจะบุกเข้ามาในสนามประลองด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดขั้นสุดแบบนั้น “นาย...” ถัดจากฉันไปไม่ไกล อีกมุมหนึ่งของห้องก็มีคนที่เคนชินมันเฝ้าสงสัยว่าหายไปอยู่ไหนอย่างมาโคร หมอนี่นั่งอยู่นิ่งๆอย่างใจเย็นและพูดจากวนประสาทฉันกลับมาแบบไม่เดือดร้อนอะไร “เรียกเจ้าบ่าวห่างเหินขนาดนั้นได้ไง” “เล่นบ้าอะไร?!” ไม่รอให้เสียเวลา ฉันตะคอกใส่มาโครออกไปยกใหญ่ เพราะคำพูดสุดท้ายที่เลย์บอกว่าจะมาเอาคืน ก็คือชุดเจ้าบ่าวที่หมอนี่สวมอยู่นี่ไง! “ก็แค่ทำตามคำสั่ง” มาโครตอบกลับมาเสียงเรียบ ในขณะที่ฉันเค่นเสียงหัวเราะเยาะออกไป แต่ตาก็ยังจ้องไปที่จอ เห็นเลย์โดนรุมด้วยคนของท่านพ่อที่ไม่ยอมรามือเลยทั้งที่สาหัสกันขนาดนั้น “ยังมีเหลืออีกรึไง พวกสภาอุบาทว์นั่น!” “หมายถึงคำสั่งของอดีตท่านผู้นำ” “สิ้นคิด!” เพราะมันน่าเบื่อเต็มที ไม่ว่าจะเรื่องสภา เรื่องปั่นประสาทของท่านพ่อ หรือเรื่องที่หมอนี่มายุ่งวุ่นวายกับฉัน ทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องน่าเบื่อทั้งนั้น! “หึ...สองรอบละนะคำนี้ ตั้งแต่แยกกัน” มาโครพูดออกมาขำๆ แต่เดี๋ยวสิ ถ้าหมอนี่อยู่ที่นี่ แล้ว... “เดียอยู่ไหน เป็นไงบ้างหลังจากวันนั้น” “ก็อยู่ในที่ที่ปลอดภัย…มากกว่ามัน” มาโครตอบกลับมาแบบออกแนวสะใจ พอมองสภาพเลย์ที่เริ่มสาหัสจากกลุ่มคนของท่านพ่อ ที่ไม่แม้แต่จะยอมให้เลย์แตะมือจับประตูของสนามประลองได้เลยด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำ สิ่งที่มันขัดตาที่สุดในรัศมีสายตาของฉัน ก็คือเสื้อสูทของชุดเจ้าบ่าวบนตัวหมอนี่ ที่มันควรจะไปอยู่บนตัวเลย์ ซึ่งเสื้อผ้าตอนนี้โชกไปด้วยเลือดจากคนของท่านพ่อแบบนั้นไง! ตึงงงง! “เรื่องระหว่างเรายังมีไรต้องเคลียร์กันอีกรึไง!” ฉันทุบโต๊ะออกไปเพราะจากการสังเกตอาการ ดูก็รู้ว่าหมอนี่ตั้งใจ ทั้งสีหน้าตอนนี้ และชุดเจ้าบ่าวที่ไม่ยอมคืนให้ แต่หมอนี่เป็นคนหักหลังฉันเอง จะมาวุ่นวายให้ได้อะไร! “ถ้ามันเอาคืนไปได้เมื่อไหร่...ก็ไม่” พรึ่บ! “เลิกวุ่นวายสักทีได้มั้ย!” เพราะแต่ละคำที่แม็คพูดมา ดูเหมือนไม่ใส่ใจว่าใครจะรู้สึกยังไง ฉันเลยตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อแม็คอย่างแรง แม็คเองก็ไม่ได้มีทีท่าตกใจกับการกระทำของฉันเท่าไหร่ “ไม่ได้...มันเป็นเงื่อนไขที่มาพร้อมกัน” “เงื่อนไข?” ฟังจากน้ำเสียงดูจริงจังแบบนั้น ทำให้ฉันชะงักไปนิดหน่อย แล้วแม็คก็ใช้จังหวะนี้คว้ามือฉันออกจากคอเสื้อเบาๆ “มันไม่ได้บอกสินะ ว่าทำไมถึงต้องมาเอา” “ก็แค่เกมส์ต่อจิ๊กซอว์งี่เง่า!” “ผิดแล้วฟาร์ดา มันเคยสำคัญที่สุดต่างหาก สิ่งนี้กับงานแต่งงานของเรา” ฉันตอบออกไปด้วยอารมณ์ แม็คเลยสวนกลับมาทันควันพร้อมกับคว้าซองจดหมายสีน้ำเงินเข้มอีกครึ่งนึงในกระเป๋าเสื้อสูทออกมาต่อหน้าฉัน แต่หมายความว่าไง...สำคัญที่สุดกับงานแต่งงานของเรา? “ครึ่งนึงของจดหมายที่มันมี เป็นข้อความยินยอมจากอดีตท่านผู้นำ” “หึ... ข้อความยินยอม? แต่กระดาษแผ่นนั้นมันว่างเปล่า!” ยิ่งฟังก็ยิ่งขำ ฉันตอบกลับคำพูดที่ดูจริงจังของแม็คในเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำ พรึ่บ! แล้วแม็คก็เลือกที่จะดึงกระดาษสีขาวด้านในออกมาตามคำพูดของฉัน แต่หมอนั่นกลับโยนมันทิ้ง เหลือไว้แค่ซองจดหมายสีน้ำเงินเข้มอีกครึ่งนึง ก่อนจะเปิดมันออกอย่างเบามือ และหันด้านในของซองจดหมายมาให้ฉัน สิ่งที่เห็นทำให้ฉันผิดคาดมาก เพราะฉันคิดมาตลอดมาท่านพ่อแค่เล่นเกมส์งี่เง่า แต่แท้จริงแล้ว...มันมีตัวอักษรสีทองยาวเหยียด ถูกเขียนด้วยลายมือที่ฉันคุ้นเคย บนพื้นผิวของซองจดหมายด้านในนั่น “นี่มัน…” “อืม ข้อความยินยอมจากท่าน...” “แม่... นานแค่ไหน? มันมีมานานแค่ไหนแล้ว? ไอ้จดหมายบ้านั่น” พรึ่บ! หวืดดด! ฉันเอื้อมมือไปจะคว้าซองจดหมายอีกครึ่งนึงในมือแม็ค แต่แม็คดึงมันหลบไป ก่อนจะตอบกลับมาเสียงเรียบ “ก็ตั้งแต่ได้ชุดมา” “แล้วทำไมไม่เคยบอกกัน” “……” ถึงตรงนี้แม็คหยุดคิดไปพักใหญ่และเอาแต่จ้องหน้าฉัน ส่วนฉันก็เอาแต่จ้องไปที่จอ มองเลย์ที่กำลังฟาดฟันกับคนของท่านพ่อ ที่ต่อให้เลย์จัดการไปเท่าไหร่ จำนวนคนที่เข้าไปกันประตูไว้ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น และพอละสายตาจากจอกลับมา ก็เหมือนเดิม...แม็คเอาแต่จ้องหน้าฉัน “มันไม่ใช่เรื่องของเจ้าสาว ถ้าเอาซองจดหมายสองชิ้นมาต่อกัน ตรงกลางจะมีคำให้สัตย์ปฏิญาณของเจ้าบ่าว ที่ต้องกล่าวก่อนได้รับการแต่งตั้ง” ยอมรับว่าพอได้ฟังแบบนั้นก็เหนือความคาดหมายของฉันเหมือนกัน แต่.. “งั้นคงต้องขอบคุณพระเจ้า โชคดีที่นายไม่ทันได้พูด” “มันก็น่าจะไม่เหมือนกัน” ถึงจะไม่ใช่เวลา แต่ฉันก็ใช้จังหวะนี้แขวะไป แล้วแม็คก็ตอบมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมกันกับที่ภาพในจอปรากฏชัดว่าเลย์กำลังโดนรุมจนทรุดลงกับพื้นทำให้ฉันลุกพรวด นั่งไม่ติดเก้าอี้พอเห็นแบบนั้น... พรึ่บ! หมับ! แต่พอฉันจะเดินออกไปช่วยเลย์ และบอกท่านพ่อให้หยุดเรื่องบ้าๆนี่ แม็คก็ลุกมาคว้าแขนฉันไว้เต็มแรงและกระชากกลับไป พรึ่บบบ! “ก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องของเจ้าสาวไง!” “หุบปาก! นี่มันผิดกฎ เลย์เป็น Member ระดับสูง ต้องให้ขยายความมั้ยว่าต่อให้สู้แพ้ เลย์จะสั่งลงโทษนายก็ยังดะ...” “แล้วไง? ในเมื่อมันเป็นความเห็นชอบของ Leader, Sub Leader และอดีตท่านผู้นำ” ...ว่าไงนะ? ฟังแม็คพูดจบฉันก็หันไปหาท่านพ่อกับติณณ์ที่นั่งมองจอนิ่งๆ ไม่มีทีท่าจะแสดงความรู้สึกใดๆ ส่วนคิระ ถ้าแม็คพูดแบบนี้แปลว่าหมอนั่นมาแน่ แต่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน แล้วจังหวะที่ฉันชะงัก ก็เหมือนมือแม็คยิ่งกำข้อมือที่จับฉันไว้แน่นขึ้นมาก และจ้องลึกเข้ามาในแววตาด้วยความรู้สึกบางอย่าง...ที่ยากจะอธิบาย “มันไม่ได้สำคัญว่าไอ้เลโอจะเป็นใคร ที่มันสำคัญคือถ้าไอ้เลโออยากเป็นเจ้าบ่าวของเธออย่างถูกต้อง มันต้องมาเอาไปให้ได้!” ปังงงงง! แล้วพอสิ้นสุดคำพูดของแม็ค เสียงประตูสนามประลองก็ถูกผลักเข้ามาจากข้างนอกดังลั่นด้วยสภาพของเลย์ที่เหนื่อยหอบ เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดจนเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใส่แดงเถือก เรียกเสียงเฮจาก DS Member นับร้อยที่นั่งดูเหตุการณ์เลโอฟาดฟันกับพวกข้างนอกอย่างบ้าระห่ำ แม็คเองพอเห็นแบบนั้นก็พร้อมลงสนามประลองและปล่อยมือฉัน ก่อนจะพูดออกมาสั้นๆ “อยากขอไรมั้ย?” “ถามจริงทั้งหมดที่ทำ...” คงเพราะแววตาสุดท้ายที่มองฉันมันดูมีอะไร ฉันเลยตัดสินใจถามไปแบบนั้น แล้วคำตอบที่ได้ ก็ทำให้ฉันนึกฉุน...กับสิ่งที่ได้ฟัง “เพราะเธอ...รักมัน” “แต่นายก็รักเดียเหมือนกัน” ฉันสวนกลับคำพูดนั้นแบบไม่ช่วงหายใจเลยซ้ำ ได้ฟังแบบนั้นแม็คก็ทำเฉย ลุกขึ้นเงียบๆ แต่ยังให้โอกาสฉันขออีกครั้ง “ไม่ขออะไรใช่มั้ย?” “…..” ครั้งนี้ฉันไม่ได้ตอบอะไร แม็คก็ทวนประโยคนั้นซ้ำๆอยู่ได้ “ถามว่าไม่ขออะไรใช่มั้....” “ไม่ต้องออมมือ ไม่ว่ายังไง” ฉันตัดสินใจตอบกลับด้วยคำขอนั้นออกไป แล้วคำตอบของฉันก็ทำให้แม็คนิ่ง มันคงเป็น...ประโยคที่ตรงข้ามกับสิ่งที่หมอนี่คิด เพราะถ้าเป็นใครเจอคนรักของตัวเองในสภาพแบบเลย์ ก็คงขอให้หมอนี่ปรานีด้วยการไม่สู้ใช่มั้ย... “รู้ตัวรึเปล่า ว่ากำลังพูดอะไร” “รู้สิ” ฉันพูดและหันไปหาเลย์ที่จ้องมาที่เราจากด้านล่าง แววตาคู่นั้นมันบอกชัดว่าเลย์กำลังไม่พอใจ “เรารู้จักกันดีกว่าใคร พูดแบบนี้ไม่กลัวมันตาย?” แม็คพูดออกมาราวกับให้โอกาสฉันพูดใหม่ เอาจริงไม่ปฏิเสธหรอกนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงใช่... มาโครเป็นคนที่รู้จักฉันดีกว่าใคร แต่... “เปล่า… แค่กลัวนายไม่ตาย เพราะทำให้เลย์เดือดขั้นสุดไม่ได้ต่างหาก!” พรึ่บ! แล้วเสี้ยวนาทีในหลังจากนั้น มือหนาของแม็คที่บันดาลโทสะก็ถูกส่งมาบีบแก้มฉันอย่างแรง และกัดฟันพูดบางอย่างออกมาเหมือนกำลังเดือดมาก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน “มั่นใจจังนะ ว่ามันจะเอาชุดนี้ไปดะ...” “ทั้งหมดก็เพราะรักไง” คราวนี้เป็นฉันที่จ้องลึกเข้าไปในตาแม็คเอง ฉันจ้องแม็คในขณะที่เลย์จ้องเรา และดูเป็นเดือดเป็นร้อนมากที่แม็คทำแบบนี้กับฉัน แล้วคำพูดนี้ก็ทำให้แม็คสะบัดมือออก ก่อนจะหันหน้าหนีไปอย่างหงุดหงิด เจอแล้วล่ะ...คำว่ารักสินะ ที่ทำลายสมาธิของนายได้ในระยะเวลาสั้นๆ “ไม่จริงรึไง นายได้คำยินยอมจากท่านพ่อท่านแม่ไปก่อน เพราะนายเองก็เคย...รัก” ฉันพูดความจริงที่เกิดขึ้นออกไป และชี้ไปที่กระเป๋าเสื้อสูทที่มีจดหมาย นั่นทำให้แม็คเงียบ มองฉันด้วยสายตาที่อ่านความหมายไม่ออก อาจเพราะระบบประมวลผลของฉันมัน Translate แววตาของคนที่ไม่ได้รักกันไม่ได้แล้วล่ะมั้ง “และที่เลย์จะมาเอามันไป เพราะเลย์เองก็กำลัง...รัก” ไม่รอให้เสียเวลา ฉันพูดต่อและหันไปหาเลย์ด้วยรอยยิ้มบางๆ เรียกให้เลย์ที่มองมาใจชื้นขึ้นหน่อย ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ และส่งยิ้มบางๆตอบกลับมา ซึ่งทุกการกระทำของพวกฉัน ก็อยู่ในสายตาของแม็คที่มองเราเหมือนกันไง และเหนือสิ่งอื่นใด.... “ส่วนที่เรามาถึงจุดนี้ได้ เพราะคนที่เคยรักนาย...” “หมดรักไปแล้ว...ใช่มั้ย” ฉันยังพูดไม่ทันจบ แม็คก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แววสั่นคลอนจนฉันรู้สึกได้ แต่ไม่หรอก... ไม่น่าจะใช่ ความรู้สึกดีๆจากคนทรยศน่ะ ต่อให้มันจะดีแค่ไหน มันก็เรียกว่า ‘ความรัก’ ไม่ได้หรอกนะ “ใช่…” ฉันตอบกลับแม็คด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เรียบเฉยพอๆกับที่หมอนี่ถามออกมาด้วยโทนเสียงแบบนั้นไง “ก็ความรักมันใช้เป็นข้ออ้างในการทำสิ่งๆต่างเสมอนี่นะ…เหมือนนายกับเดียไง” ตึงงงง! แล้วยังไม่ทันที่แม็คจะตอบอะไร คินมันก็ผลักประตูเข้ามาแบบไม่สนใจว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน “มันมาละ” คำพูดนั้นทำให้แม็คหันมองฉันนิ่งๆอยู่นานเกือบนาที ก่อนจะพูดออกมาสั้นๆและเดินออกจากห้องไป “อืม เพราะรักไง” ฉันมองตามแผ่นหลังของแม็คที่เดินจากไปในชุดเจ้าบ่าว แม้จะไม่ได้รู้สึกเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้อยากให้ใครมาตายในงานแต่งตัวเองหรอกนะ ฉัน...แค่พูดไปงั้นๆอ่ะ ‘โห่….’ และไม่กี่นาทีหลังจากที่แม็คเดินลงสนามประลองไป ก็มีเสียงโห่จาก DS Member ดังขึ้นไปทั่วทั้งอัฒจันทร์ เอาจริงมันไม่ได้แปลกหรอก เพราะหมอนั่นอยู่ในสังกัดที่ยอมรับไม่ได้อีกแล้ว ...สังกัดสภากฎงี่เง่านั่นไง “เงียบ!” “…...” แล้วติณณ์ในฐานะผู้นำคนปัจจุบันก็ส่งเสียงห้ามปรามออกมา จน DS Member สงบลงตามคำสั่งนั้น ก่อนที่ติณณ์มันจะประกาศกร้าวออกมาเสียงดัง “Dark Shadow Member ทุกคนจงฟัง! ประกาศเสร็จสิ้นภารกิจ Member ระดับสูง พร้อมเรียกตัวคืนสู่สังกัด ‘มควินทร์ ภัทรเดชา’ ในฐานะมือขวาคนปัจจุบันของอดีตท่านผู้นำ!” กึก! เดี๋ยวนะ... มือขวาของท่านพ่อ? เรียกตัวกลับ? เสร็จสิ้นภารกิจ? คำพูดของติณณ์ทำให้ฉันหันไปหาคินที่ยังอยู่ในห้อง และจ้องมาที่ฉันอย่างพิจารณาอยู่อย่างนั้น “คิระ นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”“คิระ นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”ไม่ใช่แค่ฉันหรอก แต่ DS Member ทุกคนก็ดูสับสนพอกัน ถ้าเรียกตัวคืนสู่สังกัด แปลว่ามาโครอยู่สังกัดของเรา? แต่จะเป็นไปได้ไงก็ในเมื่อแม็ค...“ว่ากันว่า...ถ้าจะหลอกศัตรูให้ตายใจ ก็ต้องหลอกพวกเดียวกันให้ได้ซะก่อน”คิระเดินตรงเข้ามาหาฉัน และมองลงไปที่กลางสนามประลอง เห็นแม็คกับเลย์ยืนอยู่ข้างล่างท่ามกลางความเงียบงันที่ไม่มีใครพูดอะไร ยิ่งไปกว่านั้น สองคนนั้นกับติณณ์และท่านพ่อ ก็ยังหันมาดูปฏิกิริยาของฉันด้วยซ้ำพรึ่บ! หมับ!ได้ฟังแบบนั้นฉันก็ก้าวขาจะเดินลงไปข้างล่าง แต่คินมันดันมาคว้าแขนไว้ และกระชากกลับไปอย่างแรง พร้อมกับพูดด้วยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ติณณ์“ครั้งนี้ไม่เอาตัวแถม ถ้าพวกมันรักเธอ...พวกมันก็มีเรื่องต้องเคลียร์กัน!”แล้วพอคินพูดจบ อยู่ๆติณณ์ก็โยนดาบคาตานะสองเล่มให้แม็คกับเลย์ที่ก็ยื่นมือไปรับมัน นั่นทำให้ฉันวิตกขึ้นมา เพราะแม็คน่ะ...ใช้ดาบคาตานะคล่องมากอยู่ละ แต่เลย์กับดาบคาตานะน่ะ...“ศิษย์สำนักเดียวกัน ไม่เห็นต้องทำหน้าเหวอขนาดนั้น”“สำนักเดียวกัน?” ฉันหันไปหาคินด้วยสีหน้างงๆ“ก็ใครสอนไอ้แม็ค? ใครประทับตราให้มัน?”คิระตอบกลับคำถามขอ
สองวันต่อมา...@ Dark Shadow Castle (JAPAN)“โห สวยมากกกก เจ๊คือสวยในสวย สวยโคตรๆ สวยแบบถ้าเลย์เห็นต้องยกเลิกงานแต่ง ลากไปขังไว้ในห้องไม่ให้ออกมาพบผู้คนแน่ๆ O[]O”เสียงนิลลาอวยฉันที่ยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกไปมาในชุดเจ้าสาวที่เคยใส่แล้ว แต่วันนี้มันดูแปลกตากว่าครั้งนั้น คงเพราะทรงผมที่ทำมันไม่เหมือนกันล่ะมั้ง“หรอ -/////- แต่นั่นน่าจะเป็นนิสัยดิบเถื่อนของพายุมากกว่า”“แหะๆ อย่าเปิดประเด็นนินทาพายสิคะ รายนั้นยิ่งชอบเจ้ากี้เจ้าการ บังคับให้แต่งๆอยู่ได้ ไม่สนใจคนรอบข้างเลยอ่ะ -*-”“อ้าวโรส เฮียพายมาหรอ”“เย้ยยย ไอ้ด้า! เดี๋ยวกูตบกบาล”อ๋อ! รู้ละอีกอย่างนึงที่มันต่าง คือความครื้นเครงในห้องแต่งตัวเจ้าสาวตอนนี้ ที่เต็มไปด้วยบรรดา Nightshade’s Lady มาช่วยตรวจความเรียบร้อยให้ แถมยังตื่นเต้นกว่าฉันที่สวมชุดเองซะอีก“ก็สวยจริงๆนั่นแหละนะ”โมเน่ต์พูดไปแล้วจัดระเบียบชุดเจ้าสาวของฉันไปด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นแบบเคลียร์ใจกันทั้งหมดแล้วก็นะ เพราะฉันกับติณณ์อายุห่างกันนิดหน่อย แถมยังเรียนมหาลัยปีเดียวกัน เราเลยคงสรรพนามเดิมคือเรียกชื่อกันเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องเรียกเจ๊หรืออะไรจริงจัง เพราะทั้งติณณ์และคิระ ถ้า
หลายวันต่อมา...@ Dark Shadow Castleหลังผ่านการพิพากษาคิระ ซึ่งทุกอย่างก็เหมือนจะจบลงด้วยดี เพียงแต่...ไอ้สองพี่น้องขี้เก๊กนั่นมันก็ยังไม่ยอมเปิดใจคุยกันตรงๆสักทีก็...แล้วแต่นะ การกระทำมันสำคัญกว่าคำพูดอยู่แล้วนี่อ้อ...ลืมบอกไปนิด ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นฉันนี่แหละ ที่เป็นคนประทับตรา Dark Shadow ให้โมเน่ต์ตามคำขอของติณณ์ ซึ่งเราก็ไม่เห็นหน้ากันตรงๆหรอกนะ ฉันเข้าไปประทับให้ตอนที่เธอหันหลัง เพราะยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน และอย่างที่รู้... โมเน่ต์กับฉันก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันหรอกตั้งแต่ที่ชมรมละแต่ไม่รู้ไปประทับอะไรผิดพลาดรึเปล่า เพราะอยู่ๆโมเน่ต์ก็ขอให้ติณณ์พามาที่ Castle ตั้งแต่กลับจากญี่ปุ่นตลอด Nightshade เองก็แวะเวียนมาที่นี่แทบทุกวัน จนตอนนี้กลายเป็น Ztudio Nightshade นั่นแหละที่ร้าง ในขณะที่ Castle ฝั่งติณณ์...ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!เสียงลั่นไกในห้องซ้อมยิงปืนจาก CCTV ที่เคนชินมันต่อเข้ามานั่งดูในห้องโถงของ Castle ฝั่งฉัน ดังสนั่นแบบที่ไอ้หมอนี่ไม่เห็นหัวเจ้าของ Castle ที่นั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่นี่เลยด้วยซ้ำ -_-แถมลูกน้องของฉันอีกหลายคนก็กำลังสุมหัว รอลุ้นวิถีกระสุนของโมเน่ต์
อีกด้านหนึ่งของ Dark Shadow Castleก๊อก ก๊อก ก๊อก...ฉันเคาะประตูห้องทำงานของติณณ์ที่ถูกเปิดแง้มเอาไว้ และถือวิสาสะเดินเข้ามาข้างในซึ่งก็มีติณณ์นั่งรออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่แววตาก็เป็นอย่างที่คาดไว้หมอนี่...กำลังเสียใจก่อนที่ฉันจะยื่นอัลบั้มรูปในมือที่ตอนไปค้นรูปคิระให้ลิซ บังเอิญไปเจออัลบั้มที่มีรูปติณณ์กับคินถ่ายด้วยกันสมัยเด็กๆก็ไม่รู้หรอกว่าหมอนี่อยากได้มั้ย...แต่ในสถานการณ์แบบนี้น่ะ ฉัน...อยากให้“ไม่ฆ่ามันก็บุญเท่าไหร่”พรึ่บ!ติณณ์พูดออกมาเสียงเรียบ แล้วเลย์ที่มาด้วยกันก็วางเอกสารทั้งหมดที่ฉันได้จากเคนชินเรื่องสภาค้ายาลงบนโต๊ะแบบไม่พูดอะไรแต่ความเป็น Nightshade มันบอกชัด ว่าเลย์ก็ไม่ได้สบายใจที่ติณณ์มันอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่...จุกแต่พูดอะไรไมได้“หลายอย่างน้องมันอาจตั้งใจ แต่บางการกระทำก็มีเหตุผลให้เป็นไป”ฉันพูดออกไป แล้วพอได้ฟังแบบนั้นติณณ์มันก็มองมานิ่งๆ และไม่มีทีท่าจะเปิดดูทั้งอัลบั้มรูปและเอกสารที่พวกฉันหอบมาให้สักนิด ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของหมอนี่อยู่แล้วแหละ ที่จะดูหรือไม่ดูก็ได้“เข้าด้วยมั้ย?”คำถามคลุมเครือจากติณณ์ถูกส่งมา ด้วยแววตาที่ดูเหมือนกำลังหาที่พึ่ง
หลายชั่วโมงต่อมา...“ยุติสถานการณ์บนเกาะพร้อมเคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้วครับนายหญิง”เสียงลูกน้องคนหนึ่งของฉันมารายงานผลด้วยการกระซิบเบาๆเล่นเอาโล่งใจไปตามๆกัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของลิซที่กำลังนั่งดูรูปคิระที่หน้าบูดตั้งแต่เด็กอยู่คนเดียว“คิกๆๆ ตาลุงคนนี้นี่หน้าตาโกตั๊กจังเลยนะคะเนี่ย ^_^”“แล้วสองคนนั้น?”ฉันถามออกไปเบาๆ เพราะเท่าที่ดูเหมือนลิซไม่รู้ว่าคิระเป็นใครด้วยซ้ำ ทั้งที่ตอนนั้นเกือบโดนคนของสภาเอาตัวไป แต่ไม่รู้คินมันหลอกน้องหรือความไร้เดียงสาทำให้ลิซคิดว่าฉันรวยมากเลยจะโดนจับไปเรียกค่าไถ่ -.-ส่วนเหตุผลที่มาที่นี่ก็พีคกว่าไง น้องมันโดนไอ้คินชวนมาล่าท้าผี เป่าหูลิซว่าที่นี่คือปราสาทร้อยปี แถมยังมีขนนกนำโชคที่จะทำให้พบรักแท้ซะด้วย หึหึ... เป็นประวัติ Castle ที่ช่าง...น่าสนใจ =_=^“คุณเตโชกับคุณคิระบาดเจ็บนิดหน่อย แต่โดยรวมปลอดภัยดีครับ Nightshade กับ Nightshade’s Lady ก็กลับมาที่นี่แล้ว อ้อ ส่วนคุณเลโอก็สบายมากหายห่วง ลูกพี่เคนชินขอตัวไปเปลี่ยนชุด แล้วจะกลับมาทำหน้าที่ต่อครับ ^_^”น้ำเสียงกับสีหน้าระรื่นของลูกน้องที่มารายงานถูกส่งมาให้ฉันแบบสวมรอยเคนชินมาชัดๆ หึ... ไอ้ล
ครึ่งชั่วโมงต่อมา...“คนของเราวางบอมบ์ได้ 60% จากพื้นที่ทั้งหมดแล้วครับ พิกัดแรกเราจะระเบิดคลังยาที่…”“คุณโมเน่ต์อาการไม่ดีเลยครับนายหญิง”ระหว่างที่ฉันกำลังสนใจสัญญาณที่คนของเราให้มาเป็นระยะว่าจะระเบิดคลังยานรกแต่ละที่ตอนไหน เคนชินที่หันไปเห็นโมเน่ต์จากภาพใน CCTV ที่เราเลิกสนใจตั้งแต่ติณณ์เดินออกไปก็พูดขึ้นมาได้ฟังแบบนั้นฉันเลยละความสนใจและหันไปดูโมเน่ต์ที่เดินวนไปวนมาโดยมีมือถือเครื่องหนึ่งแนบหู ซึ่งก็คงพยายามโทรหาติณณ์ที่ชิ่งออกไปแบบให้คำตอบคลุมเครือนั่นแหละนะถ้าให้ทาย“คนของเราอยู่ในนั้นแล้วใช่มั้ย?”“ครับ แฝงตัวเข้าไปตอนรายงานพิกัด”“งั้นก็ไม่มีไรต้องกังวลนี่”แล้วจังหวะที่ฉันกำลังหมุนตัวกลับไปดูพิกัดวางระเบิดหลังคุยเรื่องโมเน่ต์กับเคนชิน เสียงคนของเราที่ Castle ฝั่งติณณ์ก็ตะโกนเรียกออกมาดังลั่น‘นายหญิงครับ นายหญิง!!!’ “ว่า?”“คุณโมเน่ต์อยู่ๆก็หมดสติไปครับ”ตึงงงง!ได้ยินคำตอบจากเคนชินที่ตอบแทนลูกน้องที่อยู่ข้างใน ทำให้ฉันรีบผลักประตูและวิ่งข้ามทางเชื่อมตรงไปที่ Castle ฝั่งติณณ์ทันที“เคนชินเรียกรถพยาบาล! โมเน่ต์เป็นอะไร?”ฉันหันไปถามลูกน้องติณณ์ที่กำลังอุ้มร่างโมเน่ต์ที่ไร้ส