ยุ่งเองก็หยุดเดินมองตามใช้ไปด้วยแววตาระคนคุ้นเคยฉายชัด เขารู้ดีว่าคนที่ใช้กำลังวิ่งไปหาคือใคร ก่อนที่หลินจะก้าวเดินต่อช้า ๆ เคียงข้างยุ่ง สายตาจับจ้องไปยังร่างของผู้ชายสองคนที่ยืนหันหลังอยู่ไม่ไกลนัก คนหนึ่งดูสูงใหญ่กว่าเล็กน้อย ส่วนอีกคนมีรูปร่างใกล้เคียงกับใช้ในตอนนี้ แต่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า
พวกเขาทั้งคู่สวมเสื้อกุยเฮงแขนยาวถูกพับทบขึ้นมาเกือบถึงข้อศอก เสื้อสีเข้มที่น่าจะเป็นสีกรมท่าหรือสีดำนั้นดูซีดจางและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นและรอยด่างจากเหงื่อไคลแตกต่างจากเสื้อนักเรียนของใช้ที่ยังดูสะอาดสะอ้านกว่ามาก
แผ่นหลังกว้างของทั้งคู่ดูแข็งแรงสมกับเป็นคนทำงานหนัก ผิวบริเวณต้นคอและแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อที่พับขึ้นนั้นคล้ำแดดจัด
เมื่อใช้วิ่งไปถึง ชายร่างสันทัดกว่าที่หลินเดาว่าน่าจะเป็น อากงของเธอก็หันมาพอดี ดวงตาเรียวคมภายใต้คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยมองลูกชายคนที่สอง
"อ้าว อาใช้ ลื้อไปไหนมาเย็นป่านนี้แล้วยังไม่เปลี่ยนชุดนักเรียนอีก" เสียงทุ้มที่ฟังดูอบอุ่นแต่แฝงความเข้มงวดเล็กน้อยดังขึ้น
"ไปกินหวานเย็นร้านอาแปะมาป๊า" ใช้ตอบเสียงใสหันไปยิ้มให้พี่ชายที่ยืนอยู่ข้างกันซึ่งสูงกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด คนที่ถูกเรียกว่าเฮียมีใบหน้าคมเข้มคล้ายผู้เป็นพ่อทว่าดูเคร่งขรึมกว่า มองน้องชายด้วยแววตาเรียบเฉยแต่ไม่ได้ดูเย็นชาแต่อย่างใด
เสื้อกุยเฮงที่เขาสวมก็มีสภาพไม่ต่างจากของผู้เป็นพ่อ เผยให้เห็นท่อนแขนแข็งแรงที่คล้ำแดดเช่นกัน ตอนนั้นเองที่หลินกับยุ่งเดินตามมาทันพอดี ใช้รีบหันมาคว้าข้อมือหลินอีกครั้งดึงเธอให้มายืนด้านข้างอย่างปกป้อง
"ป๊า! เฮีย! นี่หลิน" ใช้แนะนำเสียงดังฟังชัด
หลินเงยหน้าสบตากับชายสองคนตรงหน้าอีกครั้ง หัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ชายผู้เป็นอากงมองมาที่เธออย่างพิจารณา สายตาคมกริบกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่แววตานั้นไม่ได้ดุร้ายนักออกจะเอ็นดูด้วยซ้ำ
ส่วนแปะเฮียของป๊าทำเพียงปรายตามองเธอนิ่งก่อนจะหันไปสนใจทางอื่น ทั้งนี้เป็นเพราะแม้ว่าเขาจะรู้มาจากแม่แล้วว่าวันนี้จะมีญาติผู้น้องมาอยู่ด้วยถึงกระนั้นจากสภาพครอบครัวของตนเขาก็ไม่อยากจะรับใครเข้ามา
(เฮ้อ! ดูเหมือนแปะจะไม่ค่อยต้อนรับเราเลยแฮะ) เจ้าตัวเล็กคิดก่อนจะย่อตัวและพนมมือเอ่ยทักคนทั้งคู่อย่างน่ารัก
"สวัสดีค่ะ อากง อาแปะ" คำเรียกของหลินทำให้คิ้วของชายหนุ่มผู้เป็นอาแปะดูจะไม่พอใจเท่าที่ควร
"เรียกเฮียสิ เปี๊ยก" ใช้รีบกระซิบแก้ข้างหูหลินเบา ๆ แต่ก็ดังพอให้ทุกคนได้ยิน ชัยเพียงปรายตามองน้องชายแวบหนึ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเพิ่มเติม
อากงพยักหน้ารับคำทักทายของหลิน "เออ ๆ ดีแล้ว เรียกอั๊วว่าอากงนั่นแหละ ส่วนนี่ก็เฮียชัย พี่ใหญ่ของใช้เขา" อากงช่วยแนะนำซ้ำให้ชัดเจนขึ้น สายตาที่มองหลินยังคงแฝงความเอ็นดู
"ค่ะ เฮียชัย" เด็กหญิงรีบส่งยิ้มเพื่อหวังผูกมิตร
เมื่อเห็นท่าทางนิ่งเฉยของบุตรชายคนโต "เอาละ เข้าบ้านกันเถอะ มืดค่ำแล้ว" อากงก็พูดตัดบทเพื่อไม่ให้คนตัวเล็กคิดมาก ก่อนจะออกตัวเดินนำ ทุกคนจึงเดินตามกันไปเป็นกลุ่มอยาง เงียบ ๆ
บรรยากาศระหว่างทางดูจะอึดอัดกว่าขามาเล็กน้อย หลินสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดบางอย่างที่มองไม่เห็นลอยอวลอยู่ในอากาศรอบตัว โดยเฉพาะจากชัยที่เดินเงียบขรึมอยู่ข้างอากงคล้ายมีเรื่องในใจ
และก่อนจะถึงบ้านพักของพวกเขาที่เถ้าแก่เม้งยกให้อาศัยอยู่ชั่วคราว ยุ่งก็ปล่อยมือหลินออกอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะวิ่งเข้าไปในเขตบ้านของตนซึ่งประตูบ้านได้เปิดอ้าอยู่
ถัดมาจากบ้านของยุ่งก็คือบ้านไม้ยกพื้นสูงหลังคามุงสังกะสีที่ดูเก่าถึงกระนั้นก็ดูแข็งแรงพอสมควร เมื่อเข้ามาด้านในซึ่งมีแสงไฟจากตะเกียงและหลอดไฟสีส้มนวลให้ความสว่างเพียงสลัว
หลินก็เห็นอาม่าในวัยสาวกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเย็นในส่วนที่เป็นเหมือนครัวเปิดโล่งติดกับชานบ้าน กลิ่นหอมของข้าวสวยกับไข่เจียวลอยมาแตะจมูก
"ม่าจ๋า หนูกลับมาแล้วจ้า..." เด็กหญิงวิ่งเข้าไปเกาะแขนอาม่าที่กำลังหั่นผักอยู่บนเขียงไม้เตี้ย ๆ พลางส่งเสียงเจื้อยแจ้ว "ม่าจ๋า...ให้หนูช่วยนะจ๊ะ"
อาม่าในวัยสาวยิ้มกว้างอย่างเอ็นดู มองใบหน้าเล็ก ๆ ที่เงยขึ้นมาสบตาอย่างกระตือรือร้น
"โอ้โห ขยันจังเลยนะเราน่ะ มานั่งนี่แหละไม่ต้องช่วยหรอก เดี๋ยวมีดบาดมือเอาจะลำบาก" เคี้ยงพูดพลางใช้หลังมือลูบแก้มใสของหลินแผ่วเบา แม้เธอจะกล่าวปฏิเสธแต่น้ำเสียงนั้นล้วนเต็มไปด้วยความเมตตา
หลินทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยแต่ก็ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี แล้วก็ได้นั่งจุ้มปุ๊กลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเตี้ยมองอาม่าทำงานต่อตาแป๋วขณะเดียวกันชัยที่ยืนเงียบอยู่นานก็ขยับตัว เขาไม่ได้มองมาทางหลินหรือใครเป็นพิเศษเพียงแต่พูดขึ้นลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ม๊า อั๋วไปอาบน้ำที่คลองก่อนนะ" ว่าแล้วก็เดินเลี่ยงออกไปทางหลังบ้านที่เป็นทางลงคลองทันทีไม่รอให้ใครตอบ ส่วนใช้ที่ยืนพิงเสาอยู่ไม่ไกลเห็นท่าทางประจบประแจงของหลินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปากเล็กน้อย ส่งเสียงจึ๊เบา ๆ อย่างหมั่นไส้ (ทำมาเป็นเด็กดีไปได้ เปี๊ยกเอ๊ย...)
แต่ท่าทางนั้นไม่รอดพ้นสายตาของป๊าที่นั่งมองพลางสูบยาเส้นดูอยู่นานแล้ว ก่อนที่เสียงเข้ม ๆ ดุกว่าตอนคุยกับหลินดังขึ้น
"อาตี๋เล็ก ลื้อยืนทำหน้าเมื่อยอะไรอยู่ตรงนั้น! เย็นป่านนี้แล้วยังไม่ไปเปลี่ยนชุดนักเรียนอีก มัวแต่เถลไถล ดูสิน้องเพิ่งมาถึงยังรู้จักถามไถ่ช่วยงาน แล้วลื้อล่ะ!"
ใช้สะดุ้งเล็กน้อยหันไปมองผู้เป็นพ่อทำหน้ายู่เหมือนจะเถียงแต่ก็ไม่กล้า
"ไปเลย!" อากงชี้มือไปทางหลังบ้าน "ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ แล้วลงไปอาบน้ำอาบท่าที่คลองนู่นไป๊!"
"คร้าบ ๆ ๆ" ใช้ลากเสียงยาวอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เดินกระทืบเท้าปึงปังขึ้นบันไดเรือนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะเดินตามหลังพี่ชายไปยังคลองหลังบ้าน ทิ้งให้หลินนั่งยิ้มแป้นอยู่กับอาม่าในครัวเพียงลำพังกับอากงที่กลับไปสนใจยาเส้นในมือต่อ
ส่วนหลินก็มองด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อไป ซึ่งเธอเองก็เริ่มรู้สึกคันเนื้อคันตัวขึ้นมาบ้างแล้ว
"อาหมวย ลื้ออยากอาบน้ำหรือลูก" เคี้ยงถามหลานสาวผู้มาจากแดนไกลตามที่เจี่ยเจี่ยพูดให้ฟังในฝัน
"ค่ะม่า ที่นี่มีห้องน้ำไหมคะ" เธอถามพลางมองซ้ายขวา เพื่อหาสิ่งที่ต้องการ
เคี้ยงหัวเราะอย่างเอ็นดูให้กับท่าทางของหลานสาวคนใหม่ นางวางมือจากการหั่นผักชั่วครู่แล้วหันมาตอบด้วยรอยยิ้มใจดี
"ห้องน้ำอย่างในเมืองที่เอาไว้อาบน้ำน่ะที่นี่ไม่มีหรอกอาหมวย" นางพูดพลางส่ายหน้า
หลินทำตาโตเอียงคอเล็กน้อย "แล้ว...แล้วอาบน้ำที่ไหนคะ"
"นู่นไงลูก" เคี้ยงชี้นิ้วไปทางหลังบ้านที่มืดสลัวลงทุกขณะ ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่ชัยและใช้เพิ่งเดินไป
"เห็นคลองหลังบ้านเราไหม ที่นี่น่ะ ทั้งผู้ใหญ่เด็กผู้ชายผู้หญิง เราก็อาบน้ำซักผ้ากันที่คลองนั่นแหละ เย็นสบายชื่นใจดีออก" น้ำเสียงของเธอบ่งบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในชีวิตประจำวัน
หลินเบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิม ภาพการอาบน้ำในคลองเปิดโล่งดูจะเป็นเรื่องแปลกใหม่และน่าประหลาดใจสำหรับเด็กหญิงที่มาจากอีกยุคสมัย
แต่เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติของอาม่าและนึกถึงความรู้สึกเหนียวตัวไม่สบายตัวของตนเอง เธอก็พยักหน้ารับอย่างจำใจ
"อ๋อ...ค่ะ"
"หนูอยากอาบแล้วใช่ไหม" อาม่าถามอย่างรู้ทัน "รอม่าเก็บของในครัวนี่ก่อนนะ เดี๋ยวเตรียมผ้าถุงเตรียมสบู่ แล้วม่าจะพาลงไปอาบที่ท่าน้ำเอง ปล่อยให้ลงไปคนเดียวไม่ได้หรอกเดี๋ยวลื่นตกคลองไปจะยุ่ง" เคี้ยงพูดพลางหันกลับไปจัดการกับข้าวในครัวต่อแต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมายิ้มให้หลานสาวอีกครั้ง
หลินมองตามแผ่นหลังของอาม่า ความคิดในหัวตีกันยุ่งการอาบน้ำในคลอง... มันคงจะแตกต่างจากการอาบในห้องน้ำมีฝักบัวที่เธอคุ้นเคยมาก
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับประสบการณ์ใหม่ที่กำลังจะมาถึงในโลกใบเก่าใบนี้ที่เธอจะต้องพยายามปรับตัวเข้ากับมันให้ได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย... จากทารกน้อยที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนยิ้มแต้ในเปล บัดนี้ "อาหมวยน้อยหลิน" เติบโตขึ้นเป็นเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ฉลาดและน่ารักเกินวัย เธอกำลังจะเตรียมตัวเข้าโรงเรียนอนุบาลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเด็กหญิงได้เห็นกิจการของครอบครัวเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง ร้าน "อาม่า หมูกระทะริมบึง" ได้ขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการที่เป็นระบบระเบียบของใช้และผู้จัดการอาทิตย์ และด้วยความมั่นคงนี้เอง หลินก็ได้เริ่ม "ภารกิจ" ใหม่ของเธอ เธอมักจะแนะนำแบบอ้อม ๆ ให้ป๊านำเงินกำไรไปลงทุนซื้อที่ดินแปลงสวย ๆ ในทำเลที่มีแนวโน้มว่าจะเจริญในอนาคตเก็บไว้ โดยเด็กหญิงมักอ้างว่า "หนูฝันเห็น" หรือ "หนูรู้สึกว่าตรงนี้มันสวยดี" ซึ่งใช้ที่เชื่อใน "ความโชคดี" และสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของลูกสาวคนนี้อย่
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี...ชีวิตของทุกคนในครอบครัวตงและครอบครัวสาขาต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตามที่อาทิตย์จัดการ ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของทุกคนยิ่งมั่นคง และแล้วข่าวดีที่ทุกคนรอคอยก็มาเยือนครอบครัวตงอีกครั้ง เมื่อสวยภรรยาของใช้ได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง! และด้วยความเจริญทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น ทำให้การไปฝากครรภ์ในครั้งนี้พวกเขาสามารถรู้เพศของทารกในครรภ์ได้ล่วงหน้า... และผลก็คือ พวกเขากำลังจะได้สมาชิกใหม่เป็น "เด็กผู้ชาย"! สร้างความยินดีให้กับอากงตงและอาม่าเคี้ยงเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีหลานชายมาสืบสกุลเพิ่มอีกคน สำหรับหลินน้อยที่ตอนนี้อายุได้หนึ่งขวบกว่าแล้ว แม้ร่างกายจะเป็นเพียงทารกที่เพิ่งจะเริ่มหัดเดินเตาะแตะและ หัดพูดเ
เวลาผ่านไปอีกหกเดือน... หลินน้อยเติบโตขึ้นเป็นทารกที่จ้ำม่ำน่ารักน่าชัง ผิวขาวผ่องและมีดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส เป็นที่รักและเป็นแก้วตาดวงใจของทุกคนในครอบครัวใหญ่ ทั้งอากงตงและอาม่าเคี้ยงที่ตอนนี้มีความสุขกับการได้เลี้ยงหลานคนแรกของลูกชายคนเล็กอย่างเต็มที่ รวมถึงลุงชัยและป้าจำปีที่มักจะพาลูก ๆ ทั้งสองคนมาเยี่ยมเยียนและเล่นกับน้องหลินอยู่เสมอ ชีวิตของทุกคนดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะทั้งสาขาใหญ่และสาขาย่อยต่างก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง และในช่วงเวลานี้เองกระแสแห่งความเจริญจากเมืองหลวงก็ได้เริ่มคืบคลานเข้ามายังตัวอำเภอที่เคยดูจะเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด และสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือการมาถึงของ "ห้างสรรพสินค้า" ขนาดใหญ่และทันสมัยแห่งแรกของจังหวัด!
ในสายตาของใครหลายคน ชัยอาจจะดูเป็นลูกชายคนโตที่ทอดทิ้งครอบครัวไปในยามที่ลำบาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวของเขาก็เต็มไปด้วยความรัก ความผิดพลาด และการเรียนรู้ที่ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ย้อนกลับไปในวันที่ชัยอายุเพียงสิบแปดปี เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ร้อนรนด้วยความรักที่มีต่อ "จำปี" หญิงสาวที่เขาหมายปอง ในสายตาของเด็กหนุ่มตอนนั้น ครอบครัวของจำปีดูจะมีฐานะมั่นคงจากการเป็น "ผู้รับเหมาก่อสร้าง" (ตามที่เขาเข้าใจผิดไปเอง) การแต่งงานกับหล่อนดูเหมือนจะเป็นการสร้างอนาคตที่สดใส ความรักทำให้เขาหน้ามืดตามัวทำจำปีท้องด้วยความไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ การชิงสุกก่อนห่ามทำให้เกิดผลที่คาดไม่ถึงตามมา เขารบเร้าขอให้พ่อแม่ช่วยจัดงานแต่งงานให้โดยไม่ได้รับรู้ถึงความลำบากใจและความฝืดเคืองของครอบครัวในขณะนั้นอย่างแท้จริง&nb
หลังจากที่แขกเหรื่อทยอยกันกลับ และผู้ใหญ่ได้ทำพิธีส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าหอตามประเพณีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศภายในเรือนไม้สักริมบึงบัวก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ เหลือเพียงครอบครัวและเพื่อนสนิทที่ยังคงนั่งพูดคุยกันอยู่ด้วยความสุขใจ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังอิ่มเอมกับความสำเร็จและความสุขอยู่นั้น ในใจของหลินกลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าใจหาย... มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับตอนที่เธอถูกดึงให้ย้อนเวลากลับมาในอดีตไม่มีผิด ร่างกายของเธอรู้สึกเบาหวิวขึ้น และความผูกพันที่เธอมีต่อโลกใบนี้... มันดูเหมือนจะค่อย ๆ เลือนรางลง... (หรือว่า... จะถึงเวลาแล้วสินะ...) หลินคิดในใจ หัวใจของเธอกระตุกวูบด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปกัน ทั้งดีใจที่ภารกิจสำเร็จลุล่วง และใจหายที่จะต้องจากทุกคนที่เธอรักไป น้ำตาหยดหนึ่งค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากดวงต
หลังจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้ไปหาฤกษ์งามยามดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันมงคลสมรสที่ทุกคนรอคอยของใช้และสวยก็มาถึง เช้าตรู่ของวันนั้น บรรยากาศที่บ้านของฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งก็คือร้านขายผ้าของเถ้าแก่มิ่งคึกคักเป็นพิเศษ มีการจัดเตรียมสถานที่สำหรับพิธีสงฆ์ในช่วงเช้าและพิธีรดน้ำสังข์ไว้อย่างสวยงามตามฐานะ ญาติสนิทมิตรสหายของฝ่ายหญิงต่างก็มาช่วยงานกันอย่างแข็งขัน ส่วนทางด้านบ้านตึกแถวในตลาดของฝ่ายเจ้าบ่าวก็คึกคักไม่แพ้กัน เคี้ยงและตงอยู่ในชุดผ้าไหมสีทองอร่ามสมฐานะเจ้าภาพ กำลังดูแลความเรียบร้อยของขบวนขันหมากเป็นครั้งสุดท้าย และที่โดดเด่นสะดุดตาในวันนี้ คือภาพของใช้ เจ้าบ่าวที่อยู่ในชุดสูทกางเกงสีครีมทั้งชุดซึ่งเป็นสไตล์ที่ดูทันสมัยแบบสากล เนื้อผ้าเนี้ยบกริบตัดเย็บอย่างประณีต ทำให้ร่างสูงโปร่งของเขาดูสง่างามและภูมิฐานเป็นอย่างยิ่ง