ค่ำคืนที่แสนมืดมิดมีเพียงแสงของพระจันทร์ที่สว่างไสว ราวกับชีวิตของเด็กสาวที่กำลังรอคอยวันที่จะได้เห็นแสงสว่างในปลายทางข้างหน้า อีกไม่นานชีวิตที่ไม่อาจเลือกเกิดได้กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...
ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!
ปึง!
“หน้าด้าน! แกนี่มันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ” เสียงตวาดดังลั่นบ้าน ก่อนที่ร่างของเด็กสาวแสนบอบบางจะถูกผลักออกมาจากบ้านอย่างรุนแรง เนื้อตัวฟกช้ำและมีแต่แผลเต็มไปหมด
“พอเถอะจ้ะเมียจ๋า เดี๋ยวมันตายจะเป็นเรื่องใหญ่”
“กล้าดียังไงมายุ่งกับผัวกู มึงอยากลองดีกับกูเหรอ” ความโมโหทำให้อีกฝ่ายหน้ามืดตามัวจนมองไม่เห็นความจริงที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้คำโกหกของผู้ชาย
“ผัวเจ๊นั่นแหละ มันคิดไม่ซื่อกับฉัน” หญิงสาวรีบเถียงกลับ เธอไม่ยอมรับในความผิดที่ตัวเองไม่ได้ทำ ตวัดสายตาไปมองผู้ชายที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของเจ๊สร
“ไม่ต้องมากล่าวหาผัวกู มึงจะไปตายที่ไหนก็ไป!”
ต้นหนาวกระตุกยิ้มเมื่อถูกอีกฝ่ายตวาดไล่ ก่อนจะปิดประตูบ้านเต็มแรงด้วยความโมโห
คนโง่ก็ยังโง่จนวันยังค่ำ...
เมื่อเห็นโอกาสที่จะได้หนีออกไปจากที่นี่ เธอจึงรีบหอบร่างกายอันบอบช้ำเดินออกไปจากบ้านซอมซ่อที่เธออยากจะออกไปจนใจจะขาด
ต้นหนาว เธอเติบโตมาในบ้านที่ถูกเรียกว่า ‘ซ่อง’ แม่ของเธอเป็นผู้หญิงที่ทำงานอยู่ที่นี่ แต่เพราะมีบาดแผลฉกรรจ์บนใบหน้าจึงถูกใช้ให้ทำงานทั่วไปและรับใช้ทุกคนในซ่อง
เจ๊สรเป็นเจ้าของซ่องที่หลงผัวเด็กจนโงหัวไม่ขึ้น หลังจากที่แม่ของเธอจากไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ต้นหนาวก็ถูกบังคับให้ทำงานทุกอย่างแทนแม่ อีกทั้งยังถูกข่มขู่ว่าเมื่อไรที่อายุครบสิบแปดจะต้องไปขายตัวเหมือนคนอื่นๆ ที่เคยทำมาก่อน
ต้นหนาวจึงวางแผนหนีออกไปจากที่นี่มาโดยตลอด จนกระทั่งวันนี้เธอสบโอกาสแอบเข้ามาภายในบ้านของเจ๊สรและแอบเอาเงินค่าแรงที่เจ๊สรยึดเอาไว้กลับคืนมา
แต่โชคไม่ดีเอาเสียเลย ดันมาเจอกับบอล ผัวเด็กของเจ๊สรคนล่าสุด พยายามจะเข้ามาหวังทำเรื่องชั่วช้าอัปรีย์ จนกระทั่งเจ๊สรเข้ามาเห็นแล้วก็อาละวาดอย่างเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
จนต้นหนาวได้แผลใหม่มาเพิ่ม ทั้งที่แผลเก่ายังไม่ทันหายดี เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องเจอเรื่องแบบนี้
เจ๊สรมักจะเอาอารมณ์โกรธและโมโหมาลงที่เธอเสมอ
“ทำไมไม่มีรถผ่านมาเลยนะ” ต้นหนาวบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ เร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นเพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
แม้จะเจ็บปวดตามร่างกายแค่ไหน ก็ต้องกัดฟันทนและวิ่งต่อไปข้างหน้า เธอจะไม่ยอมตายตอนนี้โดยเด็ดขาด
“แสงไฟ” เธอเอ่ยด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังโกดังที่อยู่ริมทางซึ่งมีแสงไฟลอดออกมา
“บอกมาว่าพวกแกคิดจะทำอะไร” เสียงตะคอกดังไปทั่วโกดัง
ต้นหนาวรีบหลบอยู่ที่หลังเสาบริเวณใกล้ๆ พลางเงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าจะวิ่งต่อไปก็คงจะไม่รอด บางทีอาจจะแอบขึ้นรถคนพวกนี้ไปลงที่ไหนสักที่ก็ได้
“ถ้าไม่บอกมึงก็ต้องตาย อยากจะเห็นน้ำหน้าพี่ชายมึงตอนเห็นศพนัก จะยังปากดีได้เหมือนเดิมหรือเปล่า”
“ให้ตายกูก็ไม่บอก”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็...”
ปัง!
“กรี๊ดดดดด” ต้นหนาวที่แอบมองอยู่ร้องกรี๊ดขึ้นมาด้วยความตกใจทำให้คนพวกนั้นหันมามองเธอกันเป็นตาเดียว
“เฮ้ย! ใครวะ ไปจับตัวมันมา”
“อีหนาวเอ๊ย ซวยแล้วไง” หญิงสาวรีบใส่เกียร์หมาและสับตีนแตกแบกร่างกายที่สะบักสะบอมของตัวเองหนีไปให้เร็วที่สุด
แต่สภาพร่างกายที่ไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยทำให้ต้นหนาวเริ่มหมดแรงลงเรื่อยๆ ในขณะที่คนพวกนั้นก็ใกล้ตัวของเธอเข้ามามากขึ้นเช่นกัน
ปัง!
ปัง!
ปัง!
เสียงปืนที่ดังสวนทิศมาจากอีกฝั่งทำให้ต้นหนาวแทบจะไปไหนต่อไม่ถูก ดูเหมือนว่าจะคนละพวกกับที่ตามเธอมา
หนีเสือปะจระเข้ หนีจระเข้ปะฉลามชัดๆ !!!
แม้จะไม่รู้ทิศทางที่ตัวเองกำลังวิ่งไป แต่เป็นตายยังไง เธอก็จะไม่ยอมหยุดวิ่งโดยเด็ดขาด
ปัง!
ปัง!
ปัง!
เสียงปืนยังคงปะทะข้ามไปมาไม่หยุด กระทั่งมีมือหนึ่งคว้าแขนของเธอเอาไว้และดึงกระชากไปหลบหลังต้นไม้
“โอ๊ยยย เจ็บ~”
“เงียบ!” ต้นหนาวรีบเอามือปิดปากของตัวเองไว้ เมื่อโดนคนตรงหน้าที่ถือปืนเอาไว้ในมือออกคำสั่งด้วยความกลัว
จู่ๆ ทุกอย่างก็เงียบลงผิดปกติ ก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้เธอแทบจะหยุดหายใจ
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด ก่อนที่คนตรงหน้าจะปล่อยเธอให้เป็นอิสระ
“เป็นอะไรไหมครับนาย”
“ไม่”
“แล้วนั่นใครครับ”
“ไม่รู้สิ” ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่เธอพร้อมกับตั้งคำถามว่าเธอเป็นใคร
“เธอ... เป็นใคร”
“อะ เอ่อ...” จู่ๆ เธอก็รู้สึกเวียนหัว บริเวณรอบๆ หมุนไปมา ภาพตรงหน้าเบลอลงไปทีละนิด ร่างกายของเธอพลันอ่อนแรงลงไป ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไปทันที
“อ้าว แต่ผมว่าสภาพเหมือนถูกทำร้ายมาเลยนะครับ” ยังไม่ทันจะได้ถามไถ่อะไร หญิงสาวก็เป็นลมตัดหน้าไปก่อนแล้ว
“น่าจะงั้น ก็ถือว่ายังดีที่ช่วยล่อไอ้พวกนั้นออกมาและทำให้เข้าไปช่วยไอ้โคลด์ได้ทัน”
“แล้วจะเอายังไงต่อครับ”
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง พวกนายกลับไปพักเถอะ” ชายหนุ่มช้อนร่างบางที่หมดสติไปกลับมาที่รถที่ซ่อนเอาไว้ไม่ไกลจากโกดัง ท่ามกลางสายตาแปลกใจของลูกน้องที่ไม่เคยเห็นเจ้านายยอมทำแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน
“สกปรกชะมัด”
คินน์บ่นขึ้นเมื่อเห็นสภาพร่างกายของคนที่เขากำลังอุ้มอยู่ มีแต่เศษดินเศษฝุ่นและบาดแผลเต็มไปหมด ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง
แม้จะบ่นแบบนี้แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมให้คนอื่นอุ้มผู้หญิงคนนี้เลยแม้แต่น้อย เขาตั้งใจจะช่วยเธอเอาไว้และพากลับมาที่บ้าน
กว่าต้นหนาวจะได้ออกจากโรงพยาบาลก็ปาไปเกือบสัปดาห์ จากตอนแรกที่จะได้แอดมิทเพียงสองสามวันเท่านั้น แต่ดันมีไข้หวัดเพิ่มขึ้นมาระหว่างที่รักษาอยู่ทำให้ต้องแอดมิทต่อ “พี่ควีนคะ หนาวไปแล้วนะคะ” ต้นหนาวในชุดนักศึกษาเอ่ยบอก ก่อนจะรีบวิ่งออกไปขึ้นรถของลุงมิ่งที่กำลังรออยู่ ใช้เวลานานกว่าสามสิบนาทีท่ามกลางการจราจรที่เริ่มจะติดขัด แต่ต้นหนาวกลับมาถึงมหาวิทยาลัยได้อย่างทันท่วงที คลาสแรกของวันนี้เริ่มตอนแปดโมงครึ่ง และระหว่างที่ต้นหนาวกำลังวิ่งอยู่นั้นเป็นเวลาแปดโมงยี่สิบนาทีแล้ว “ตายๆๆ ตายแน่ๆ” คนที่ไม่ชอบการเข้าเรียนสายอย่างต้นหนาว เกลียดช่วงเวลานี้มากที่สุด แกรก! หญิงสาวผลักประตูพร้อมกับวิ่งพรวดพราดไปนั่งที่ประจำด้านหลัง โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองเธอเลยสักนิด “ทำไมวันนี้มาสายแบบนี้ล่ะ” มะเหมี่ยวแปลกใจเมื่อเห็นต้นหนาวมาสาย ทั้งที่ปกติแล้วจะมาถึงเป็นคนแรกเสมอ “พอดีนอนเพลินไปหน่อย” “แล้วหายดีหรือยัง” “ก็ยัง แต่ว่าดีขึ้นมากแล้ว” “ฉันจดเลคเชอร์ไว้ให้ ส่วนการบ้านส่งให้ทางอีเมลแล้ว” คนพูดน้อยที่สุดในก
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของต้นหนาวเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่เดือนต่อมา เธอได้เรียนคณะบัญชีเพื่อที่จะกลับมาช่วยงานที่บริษัทของวสันต์ แต่เธอกลับมีสิ่งหนึ่งที่คาใจอยู่ ‘คินน์’ เขาหายหน้าไปจากชีวิตของเธอราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ ทุกคนก็ไม่เคยพูดถึงเขาต่อหน้าเธอเลยสักครั้ง “ต้นหนาว ขอลอกชีทของอาจารย์สิริพรรณหน่อยสิ” “ทำไมนายไม่ทำเอง มาลอกฉันอยู่ได้” “ก็มันยาก” กล้าหาญทำหน้าหงอยเมื่อโดนต่อว่า ต้นหนาวที่ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำกับเพื่อน จึงยอมยกชีทของตัวเองให้เพื่อนอย่างกล้าหาญลอกอย่างง่ายดาย แก๊งของต้นหนาวประกอบได้ด้วยสมาชิกทั้งหมดสี่คน คือ เธอ กล้าหาญ มะเหมี่ยว และสาริน ซึ่งทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีถึงดีมาก ระดับมหาเศรษฐีเลยก็ว่าได้ เพราะมหาวิทยาลัยนี้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงมากที่สุด ในตอนแรกเริ่มเธอรู้จักแค่เพียงมะเหมี่ยว แต่หลังจากนั้นก็มีสารินกับกล้าหาญเข้ามาอยู่ด้วยเพราะต้องทำงานกลุ่มด้วยกัน แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เป็นเพื่อนสนิทกันมาจนถึงตอนนี้ “หนาว เย็นนี้ไปกินชาบูกันไหม” มะเหมี่ยวที่รักการกินเป็
วันนี้ต้นหนาวได้ไปสอบเทียบเข้ามหาลัย ทุกอย่างก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่นและต้นหนาวก็มั่นใจว่าทุกอย่างจะออกมาดีเหมือนที่เธอคิดเอาไว้ คินน์กลับมาบ้านและรับหน้าที่เป็นคนขับรถพาเด็กสาวไปสอบแล้วก็พาเธอไปเดินห้างสรรพสินค้าต่อหลังจากที่สอบเสร็จ อีกทั้งยังพาเธอไปกินโน้นกินนี่แต่ต้นหนาวก็ไม่เอะใจเพราะมัวแต่สนุกสนานกับการกินและเที่ยวจนแทบจะลืมไปว่ามีคินน์มาด้วย “นึกยังไงถึงต้นหนาวมาเที่ยวคะ” ต้นหนาวเอ่ยถามระหว่างที่กำลังเดินเข้าบ้าน “ไม่ต้องอยากรู้” คินน์ตอบด้วยน้ำเสียงดุๆ ทำให้ต้นหนาวหน้างอเล็กน้อย แต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเขาส่งสายตาดุดันมาที่เธอ “อ้าว พี่คินน์กลับมาเมื่อไหร่คะ” ควีนที่เป็นห่วงกลัวว่าต้นหนาวอยู่บ้านคนเดียวหลังจากสอบเสร็จแล้วจะเหงาจึงแวะกลับมาพร้อมกับอาหารและขนมเต็มไม้เต็มมือ “เมื่อวานน่ะ” “ต้นหนาวพี่ซื้อของกินมาฝาก” ควีนชูขนมและของกินมากมายในมือให้ต้นหนาวดู ทว่าเจ้าตัวกลับรู้สึกอิ่มจนกินอะไรต่อไม่ลงแล้ว “เอ่อ... พี่ควีนกินอะไรมาหรือยังคะ” “พี่กินมาแล้วจ้ะ” “ถ้างั้นเดี๋ยวหนาวเก็บ
ต้นหนาวก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน หลังจากที่คินน์ตกลงให้หญิงสาวมาทำงานที่นี่ วสันต์และอรดาที่เป็นเสาหลักของบ้านต่างก็เอ็นดูต้นหนาวตามๆ กัน เพราะเหมือนได้ลูกสาวมาเพิ่มอีกคน ควีนโล่งใจขึ้นและเข้าใจว่าคินน์เสนอจ้างงานต้นหนาวเพื่อให้เด็กสาวไม่ยึดติดว่าเป็นหนี้บุญคุณต่อครอบครัวของเขา ปล่อยให้ต้นหนาวได้ใช้ชีวิตอย่างดีเสมือนส่วนหนึ่งในครอบครัว แม้จะเป็นงานแต่ก็เป็นงานที่มีความสุขที่สุด ส่วนโคลด์ก็เอ็นดูต้นหนาวเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่งไม่ต่างจากควีนเช่นกัน หลังจากผ่านความตายมาได้อย่างเฉียดฉิวก็ต้องขอบคุณต้นหนาวที่เบี่ยงเบนความสนใจของคนพวกนั้นจนทำให้เขาไม่ต้องกลายเป็นศพไปเสียก่อน แต่ก็อาการสาหัสเอาเรื่อง “ต้นหนาว พรุ่งนี้ไปเที่ยวกับพี่ไหม” ควีนเอ่ยชวนเด็กสาวที่กำลังช่วยจัดเอกสารภายในห้องทำงานของเธอ พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดี ควีนเลยถือโอกาสจะพาต้นหนาวไปเที่ยวสักหน่อย ถ้าได้พาเด็กสาวออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็น่าจะดีกว่าอยู่แต่ในบ้าน “ไปสิคะพี่ควีน เอ่อ... ว่าแต่คุณคินน์เขาจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอคะ” ตลอดเวลาที่ต้นหนาวตกลงทำงานอยู่ที่นี่มานานเกือบห้
คินน์ คณิณกรณ์ นักธุรกิจหนุ่มวัยยี่สิบเก้าปีที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นรองประธานบริษัทตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัวรวยล้นฟ้า มีธุรกิจมากมายหลายอย่างไม่ว่าใครก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักนามสกุลของเขา ‘วงศ์วรกุลกิตติ์’ แต่ภายใต้หน้ากากของนักธุรกิจ ครอบครัวของเขายังเป็นมาเฟียที่มีอิทธิพลมากอีกด้วยคินน์อุ้มร่างของหญิงสาวแปลกหน้าที่เป็นลมไป เข้ามาภายในบ้านอย่างรีบร้อน “พี่คินน์ นั่นใครคะ” น้องสาวคนเล็กสุดของบ้านอย่าง ‘ควีน’ รีบพุ่งตรงเข้าไปช่วยเหลือทันที เมื่อเห็นว่าในอ้อมแขนของพี่ชายอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วย “ไม่รู้สิ แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ทำให้เข้าไปช่วยโคลด์เอาไว้ได้ทัน พี่ก็เลยพามาด้วย” “แต่ทำไมเธอถึงมีรอยแผลเยอะขนาดนี้ล่ะคะ ไม่ใช่ว่าไปโดนใครทำร้ายมาเหรอคะเนี่ย” ปลายนิ้วเรียวสัมผัสร่างกายมอมแมมอย่างไม่รังเกียจ “งั้นพี่ฝากควีนช่วยจัดการให้หน่อยนะ” “ได้ค่ะ แต่จะพาเธอไปไว้ห้องไหนล่ะคะ” ตอนนี้ทุกห้องในบ้านก็มีคนอยู่ครบ ห้องรับแขกก็ไม่ได้ทำความสะอาดเอาไว้คงจะมีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด “ห้องพี่ก็ได้” “หา! เอางั้นเหรอคะ?” ควีนเผลอส่งเสียงร้องตกใจออกมา
ค่ำคืนที่แสนมืดมิดมีเพียงแสงของพระจันทร์ที่สว่างไสว ราวกับชีวิตของเด็กสาวที่กำลังรอคอยวันที่จะได้เห็นแสงสว่างในปลายทางข้างหน้า อีกไม่นานชีวิตที่ไม่อาจเลือกเกิดได้กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล... ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ! ปึง!“หน้าด้าน! แกนี่มันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ” เสียงตวาดดังลั่นบ้าน ก่อนที่ร่างของเด็กสาวแสนบอบบางจะถูกผลักออกมาจากบ้านอย่างรุนแรง เนื้อตัวฟกช้ำและมีแต่แผลเต็มไปหมด “พอเถอะจ้ะเมียจ๋า เดี๋ยวมันตายจะเป็นเรื่องใหญ่” “กล้าดียังไงมายุ่งกับผัวกู มึงอยากลองดีกับกูเหรอ” ความโมโหทำให้อีกฝ่ายหน้ามืดตามัวจนมองไม่เห็นความจริงที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้คำโกหกของผู้ชาย “ผัวเจ๊นั่นแหละ มันคิดไม่ซื่อกับฉัน” หญิงสาวรีบเถียงกลับ เธอไม่ยอมรับในความผิดที่ตัวเองไม่ได้ทำ ตวัดสายตาไปมองผู้ชายที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของเจ๊สร “ไม่ต้องมากล่าวหาผัวกู มึงจะไปตายที่ไหนก็ไป!”ต้นหนาวกระตุกยิ้มเมื่อถูกอีกฝ่ายตวาดไล่ ก่อนจะปิดประตูบ้านเต็มแรงด้วยความโมโห คนโง่ก็ยังโง่จนวันยังค่ำ... เมื่อเห็นโอกาสที่จะได้หนีออกไปจากที่นี่ เธอจึงรีบหอบร่างกายอันบอบช้